โชติ โภควนิช กับ ทวี อัมพรมหา หรือขาวผ่อง สิทธิชูชัย นั้นมีอะไรคล้ายๆ
กันอย่างน้อยก็อย่างหนึ่ง แม้ว่าคนแรกจะมีอาชีพเป็นนักบิรหารในวงการธุรกิจไม่ได้สวมนวมตะบันหน้าใครเหมือนกับคนหลังก็เถอะ
ทวีหรือขาวผ่องเพิ่งจะถูกยกย่องให้เป็นนักมวยคนแรกในประวัติศาสตร์ของวงการกีฬาไทย
ที่สามารถคว้าเหรียญเงินมาครองอย่างสมภาคภูมิในมหกรรมกีฬาโอลิมปิค ซึ่งระหว่างบรรเลงต้นฉบับอยู่นี้
ชื่อเสียงของขาวผ่องก็ดังคับเมืองไปแล้ว แต่กว่า "ผู้จัดการ" จะตีพิมพ์ออกวางจำหน่ายเจ้าตัวจะยังดังอยู่ต่อไปหรือไม่นั้น
ก็สุดที่จะเดาได้ เอาเป็นว่ายังไง…ยังไงขาวผ่องก็เป็นนักชกเหรียญเงินโอลิมปิคคนแรกของประเทศไทยก็แล้วกัน
ส่วนโชติ โภควนิช ก็เป็นคนแรกในประวัติศาสตร์เหมือนกัน และคือสิ่งที่ว่ามีส่วนคล้ายกันอยู่
โชติ ปัจจุบันอายุ 42 ปี ตำแหน่งเป็นผู้อำนวยการฝ่ายการเงินของบริษัท อี๊สต์เอเชียติ๊ก
ประเทศไทย บริษัท การค้าระหว่างประเทศที่มีอายุการก่อตั้งถึงปีนี้ก็ 100
ปีพอดิบพอดี ขณะนี้มีสำนักงานใหญ่หรือตัวบริษัทแม่อยู่ที่กรุงโคเปนเฮเกนประเทศเดนมาร์ก
หนึ่งศตวรรษของอี๊สต์เอเชียติ๊กนั้น เป็นหนึ่งศตวรรษของการเจริญเติบโตจนสามารถแตกกิ่งก้านสาขาออกไปหลายสิบประเทศ
แต่ไม่ว่ากาลเวลาจะผันเปลี่ยนเพิ่มอายุให้แก่กิจการอย่างไร สิ่งหนึ่งที่ตลอดหนึ่งศตวรรษไม่เคยเปลี่ยนก็คือ
ผู้บริหารระดับสูงไม่ว่าจะเป็นบริษัทแม่หรือบริษัทลูกล้วนต้องเป็นคนเชื้อสายเดนมาร์กหรือไม่เช่นนั้นก็ควรจะมีสายเลือดแองโกร-แซกซันเหมือนๆ
กันซึ่งจะเป็นเพราะความบังเอิญที่ยังหานักบริหารประเภทเลือดต่างสีไม่ได้หรือจะเป็นเพราะนโยบายก็สุดที่จะทราบ
อย่างไรก็ตาม ถ้าสิ่งนี้เป็นจารีต จารีตนี้ก็ให้มีอันต้องถูกยกเลิกไปเสียแล้ว
เนื่องจากเมื่อไม่นานมานี้ ทางสำนักงานใหญ่ของอี๊สต์เอเชียติ๊กได้แถลงว่า
นับแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2527 เป็นต้นไป ตำแหน่งกรรมการผู้จัดการของบริษัทอี๊สต์เอเชียติ๊กที่สิงคโปร์จะถึงวาระของหนุ่มนักบริหารเชื้อสายไทยที่ชื่อ
โชติ โภควนิช
โดยโชติจะไปแทน K.V. MORCH ซึ่งจะย้ายกลับไปประจำที่สำนักงานใหญ่กรุงโคเปนแฮเกนบ้านเกิดของเขา
โชติจึงเป็นคนไทยคนแรกที่ได้รับการโปรโมตขึ้นไปรับตำแหน่งระดับนั้นและเป็นกรรมการผู้จัดการชาวต่างชาติคนแรกที่ไม่ใช่เดนนิชหรือมีเชื่อสายแองโกร-แซกซันอีกด้วย
โชติเป็นศิษย์เก่าอัสสัมชัญสำเร็จวิชาการบัญชีจากอังกฤษ โดยเป็น MEMBER
OF THE ASSOCIATION OF CERTIFIED ACCOUNTANTS, ENGLAND และเคยผ่าน PROGRAM
FOR MANAGEMENT DEVELOPMENT ของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นหลักสูตรระยะสั้นสำหรับผู้ที่จะก้าวขึ้นไปเป็นนักบริหารระดับสูง
หลังจากผ่านการเป็นนักเรียนเก่าอังกฤษที่คร่ำหวอดอยู่นานถึง 9 ปี โชติเริ่มงานชิ้นแรกกับบริษัทรับตรวจสอบบัญชีและที่ปรึกษาชื่อ
LOWE, BINGHAM & MATIHEWS ในฮ่องกงจากนั้นก็กลับบ้านมาร่วมงานกับ PRICE
WATERHOUSE & CO. ที่กรุงเทพฯ และเคยทำงานกับ HAWKER SIDDELEY VAIATION
ที่ลอนดอน พักหนึ่ง
เขาเริ่มงานกับอี๊สต์เอเชียตี๊กประเทศไทยเมื่อเดือนธันวาคมปี 2511 ตำแหน่งแรกคือสมุห์บัญชีประจำบริษัท
หลังจากนั้นก็ก้าวหน้าในตำแหน่งด้านนี้มาโดยตลอดจนเมื่อ 2 ปีที่แล้วก็ขึ้นรั้งตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายการเงิน
ซึ่งว่าไปแล้วก็คือมือขวาของกรรมการผู้จัดการบริษัท
การย้ายโชติไปเป็นกรรมการผู้จัดการสาขาสิงคโปร์ครั้งนี้มีเสียงวิจารณ์ติดตามมาพอสมควรโดยเฉพาะคำวิจารณ์ที่ว่า
การไปครั้งนี้เป็นการส่งโชติไปหาประสบการณ์ข้างนอก ก่อนจะกลับเข้ามารับตำแหน่งกรรมการผู้จัดการสาขาประเทศไทย
ดูเหมือนจะพูดกันหนาหูที่สุด
อี๊สต์เอเชียติ๊กประเทศไทยเพิ่งตัดสินใจสมัครเข้าเป็นบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ของไทยเมื่อไม่กี่ปีมานี้
และบริษัทมีนโยบายที่พยายามจะเปลี่ยนสีสันของการเป็นบริษัทสาขาของต่างประเทศ
ให้เป็นบริษัทที่มีคนไทยเข้าไปเกี่ยวข้องมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการขายหุ้นส่วนหนึ่งให้หรือการโปรโมตคนเจ้าของประเทศขึ้นมาในตำแหน่งนักบริหารระดับสูง
สิ่งที่เกิดขึ้นกับโชติจึงถูกมองว่าน่าจะมีส่วนสัมพันธ์อย่างแยกไม่ออกจากนโยบายดังกล่าว
ซึ่งแน่นอนย่อมผนวกกับความสามารถเฉพาะตัวของโชติด้วย
ปลายปี 2527 นี้อี๊สต์เอเชียติ๊กจะจัดงานเฉลิมฉลองเป็นการใหญ่โต ในฐานะที่ก่อตั้งกิจการขึ้นมาจนมีอายุครบ
100 ปี
และเรื่องของโชติ โภควนิช ในวันนี้จะถูกบันทึกไว้ในหน้าแรกของประวัติศาสตร์ในปีที่
101