|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
ย้อนกลับไปก่อนปี 2527 ก่อนที่แบรนด์ ส.ขอนแก่นถือกำเนิดขึ้น ช่วงนั้นเวลามีใครเดินทางไปไหนมาไหนมักจะมีเพื่อนฝูง หรือญาติพี่น้องให้ซื้อสินค้าที่ขึ้นชื่อจากถิ่นนั้นๆกลับมาฝากด้วยเป็นประจำ อย่าง ไข่เค็มต้องสุราษฏร์ธานี ผ้าไหมต้องบุรีรัมย์ หากหมูหยอง หมูยอ ก็ต้องนครราชสีมา หรือขอนแก่น
ตอนนั้น เจริญ รุจิราโสภณ ยังไม่ได้เป็นประธานกรรมการ บริษัท อุตสาหกรรมอาหาร ส.ขอนแก่น จำกัด (มหาชน) เหมือนดั่งทุกวันนี้ แต่เป็นเพียงนักการตลาด ผู้ปลุกและสร้างตลาดไก่ย่าง ไส้กรอก ลูกชิ้น ให้กับบริษัทเจริญโภคภัณฑ์ หรือซีพี
“ผมในฐานะนักการตลาดสังเกตว่า พฤติกรรมของคนกรุงเทพเวลามีใครไปทางอีสานมักจะฝากซื้อหมูหยอง หรือกุนเชียงเป็นประจำ จึงคิดว่าถ้าเรายกสินค้าจากขอนแก่นมาขายที่กรุงเทพได้ ก็คงไม่มีคนคอยฝากซื้ออีก จึงคิดหาวิธีที่จะทำให้สินค้าพวกนี้มาขายในนี้ให้ได้ เลยไปติดต่อสินค้าที่มีเชลล์ชวนชิมให้มาขาย โดยเราเป็นเอเยนต์” เจริญ รำลึกความหลังเมื่อ 20 ปีที่แล้วให้ฟัง
จุดเริ่มต้น ส.ขอนแก่น
พ.ศ. 2527 เป็นปีแรกที่บริษัท ส.ขอนแก่นเกิดขึ้นอย่างเป็นเรื่องเป็นราว
เจริญ ที่เปลี่ยนสถานภาพจากผู้จัดการในองค์กรขนาดใหญ่มาเป็นเถ้าแก่เอง ต้องเดินทางไปรับสินค้าจากบริษัทรถทัวร์เพื่อนำไปจำหน่ายอีกทอดหนึ่ง ซึ่งข้อดีจากการเป็นเอเยนต์ก็คือ ประการแรก ได้เรียนรู้ตลาด แม้ว่าจะมีประสบการณ์จากซีพีมาแล้ว แต่ตลาดไก่ย่างกับสินค้าพื้นเมืองเป็นคนละเรื่องกัน ที่สำคัญก่อนหน้านี้เจริญทำตลาดภายใต้ชายคาซีพีที่มีเครือข่ายอันกว้างขวาง และชื่อเสียงเป็นที่รู้จักของตลาดเป็นอย่างดีอยู่แล้ว
ประการที่สอง ช่วงที่เจริญออกมานั้นมีเงินอยู่ในมือราว 3 แสนบาท แม้จะไม่น้อยแต่ก็ไม่มากพอตั้งเป็นโรงงานได้ การทำธุรกิจในลักษณะซื้อมาขายไป จึงเป็นทางออกที่ดีที่สุดของชายอายุ 36 ที่ต้องการเป็นเจ้าของกิจการในเวลานั้น
แต่การซื้อมา-ขายไปของซีอีโอส.ขอนแก่นในวันนี้ไม่ธรรมดา เพราะ “เขา” นำสินค้าที่สั่งซื้อมาเปลี่ยนชื่อเสียงเรียงนามเสียใหม่ว่า “ส.ขอนแก่น” แม้จะไม่เลิศหรู แต่ได้อารมณ์ของการเป็นสินค้าพื้นเมืองดีนัก
“ความที่ผมเป็นนักการตลาดจึงให้ความสำคัญกับการตั้งชื่อ ที่ใช้ชื่ออย่างนี้เพราะอยากให้ผู้บริโภครู้ว่าสินค้าพวกนี้มาจากขอนแก่น เพราะทุกคนเชื่ออยู่แล้วว่าสินค้าจากขอนแก่นอร่อย ทำให้เขาอยากจะลอง อยากจะซื้อ ที่สำคัญชื่อนี้ยังหนักแน่น จำง่าย พร้อมสื่อความหมายได้ด้วย โดย ส. เป็นตัวย่อที่อาจมาจากคำว่า สินค้า หรือสูตรก็ได้ ส่วนขอนแก่นก็มาจากจังหวัด หลายคนคิดว่า ส. เป็นชื่อเจ้าของสินค้า แต่ไม่ใช่”
ส.ขอนแก่นขายได้อย่างราบรื่นจนล่วงเข้าเดือนที่ 8 ก็เกิดปัญหาสินค้าขายดีเกินไป ทำให้ไม่สามารถควบคุมคุณภาพการผลิตได้
“เรามาวิเคราะห์ว่าโรงงานที่ผลิตให้เป็นอุตสาหกรรมครัวเรือนที่ไม่สามารถผลิตเป็นเชิงอุตสาหกรรม ในแต่ละวันผลิตได้ 100-200 กิโลกรัม หากมากกว่านี้ไม่สามารถคุมอะไรได้ ถ้าขายดีแต่คุมไม่ได้หากมีปัญหาจะล้มกันทั้งระบบ ไม่มีทางได้เกิด สุดท้ายเราจึงคิดตั้งโรงงานในกรุงเทพฯขึ้นมาเอง เพื่อ 1.ควบคุมคุณภาพได้ 2. มองในเรื่องการตลาดได้เปรียบต้นทุนค่าขนส่ง”
แม้แบรนด์ ส.ขอนแก่นจะค่อนข้างไปได้ดีในแง่ยอดขาย และการตลาด แต่ในเรื่องของการขอเงินกู้จากธนาคารกลับเป็นคนละเรื่อง เจริญ เล่าให้ฟังว่า ต้องยอมรับว่าตอนที่จนกู้เงินลำบากมาก เอาหลักทรัพย์ไปค้ำก็ไม่ได้ สุดท้ายต้องแก้ปัญหาด้วยตัวเอง คือ ทำสินค้าแพง กำไรมาก ไปวางจำหน่ายในช่องทางที่ขายด้วยเครดิต อย่างห้างสรรพสินค้า ขณะเดียวกันก็ทำสินค้าราคาถูก ซึ่งได้กำไรมาก ไปขายแบบเงินสด
ในที่สุด โรงงานผลิตหมูหยอง กุนเชียง ฯลฯ ที่ก่อสร้างบนพื้นที่ 7 ไร่ด้วยเงินที่ซื้อมาจำนวนล้านกว่าบาทก็เริ่มเป็นรูปเป็นร่างขึ้น
จับสินค้าพื้นเมืองเข้าห้าง
ยกระดับแบรนด์ขึ้นพรีเมียม
จะว่าไปแล้วไม่ใช่เพียงแค่ชื่อแบรนด์ที่บ่งบอกถึงถิ่นผลิตเท่านั้นที่ทำให้ยอดขาย ส.ขอนแก่น เติบโตมาตลอดในช่วงแรกของการจำหน่าย แต่ยังเป็นเรื่องของการวางตำแหน่ง และใส่กลยุทธ์เข้าไปอย่างที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อนในธุรกิจนี้
หลายสิ่งหลายอย่างที่ ส.ขอนแก่นได้ทำมาก่อนหน้านี้ ก็คือ ประการแรก เป็นแบรนด์แรกที่หยิบเรื่องการสร้างความแตกต่างทั้งระดับมาตรฐานสินค้า บรรจุภัณฑ์ ตลอดจนการส่งเสริมการขายระหว่าง ส.ขอนแก่น กับแบรนด์อื่นที่มีวางจำหน่ายอย่างเกลื่อนกล่นในท้องตลาดมาใช้ ประการที่สอง การวางภาพลักษณ์ของสินค้าให้ดูเป็นสากล เพื่อจับผู้บริโภคระดับสูง ด้วยราคาที่แพงกว่า
“การตั้งราคาสินค้าของเราสูงกว่าคู่แข่ง เนื่องจากถือว่าขายคนรวย คนรวยต้องการบรรจุภัณฑ์สวย ต้องอร่อยจริง เราจึงเริ่มแต่งตัวนับจากเคาน์เตอร์ แบนเนอร์ การแต่งตัวของพนักงานเป็นการยกระดับอย่างชัดเจน เพื่อให้คนรวยมีความรู้สึกดีเวลาทาน พร้อมดึงคนมีชื่อเสียงเรื่องอาหารอย่างหม่อมถนัดศรีมาการันตีความอร่อย”
ให้ความสำคัญด้านวิจัย
“ตั้งแต่วันแรกที่ทำ เราพยายามหลีกเลี่ยงการเป็น me too product หากทำเช่นนั้นเราก็เป็นลูกไล่ให้เขา จึงต้องพัฒนาตนเอง เช่น คนอื่นเก็บของได้ 10 วันของเราเก็บได้ 15 วัน เพราะมีการวิจัยและพัฒนา รู้จักทำความสะอาด ใส่สารที่ช่วยรักษาให้อยู่นาน นำการบริหารจัดการสินค้ามาใช้เพื่อให้สินค้าดูดี หีบห่อสวยงาม พวกนี้มาจากการวิจัยและพัฒนาทั้งนั้น”
แต่กว่าจะทำเช่นนี้ได้ ส.ขอนแก่นก็ต้องมีโรงงานก่อน จะว่าไปแล้วก็ไม่ได้นานนัก เพียงแค่ปีเศษเท่านั้นเอง ซึ่งในช่วงรอยต่อของการไม่มีโรงงาน เจริญจำเป็นต้องไปคัดเลือกสินค้าจากเจ้าที่เขาเชื่อว่ามีคุณภาพดีที่สุดที่มีคนรับประกัน จวบจนกระทั่งมีโรงงานแล้วนั่นแล จึงค่อยมาลุยเรื่องวิจัยพัฒนาอย่างจริงจัง ถึงขนาดที่ยอมจ่ายเงินแพงกว่าบริษัทใหญ่นับหมื่นบาท เพื่อดึงตัวนักวิจัยให้เข้ามาทำงานด้วย เพราะในช่วงเวลานั้นต้องยอมรับว่าคงไม่มีนักวิจัยคนไหนยอมออกมาทำงานกับบริษัทที่เพิ่งก่อร่างสร้างตัว และมีโรงงานขนาดเล็กอย่างส.ขอนแก่น
จากการทำวิจัยตลาดมาตลอดทุกครั้งที่จะออกสินค้า หรือรุกไปยังตลาดใหม่ๆนั้นเอง จึงทำให้ส.ขอนแก่นเป็นบริษัทที่ไม่ค่อยมีปัญหาเหมือนรายอื่น อาจเป็นเพราะการเป็นบริษัทที่สามารถควบคุมได้ตั้งแต่ต้นน้ำ คือ นับตั้งแต่มีฟาร์มหมูเป็นของตนเองไปจนถึงมีโรงงานผลิต และสิ้นสุดที่การกระจายสินค้า
ทำให้เพียงเวลา 9 ปีที่แบรนด์ส.ขอนแก่นโลดแล่นในตลาด พร้อมแตกแบรนด์ลูกหลานออกมาราว 6-7 แบรนด์ อาทิ บ้านไผ่ ห้วยแก้ว ฯลฯ แต่แบรนด์ที่ทำรายได้เป็นกอบเป็นกำ มีส่วนแบ่งในตลาดสินค้าพื้นเมืองสูงสุดก็คือ ส.ขอนแก่น สร้างรายได้ถึง 300 ล้านบาทในแต่ละปี ทำรายได้ให้บริษัทเกือบครึ่ง ก็กลายร่างเป็นบริษัทมหาชนที่พรั่งพร้อมไปด้วยเงิน การตลาด และการผลิตตั้งแต่ต้นน้ำไปยันปลายน้ำ
"ตอนนั้นเรากินแชร์ของตลาดไปเกือบครึ่ง ถือว่าใหญ่มากแล้วเลยต้องเข้าตลาดหลักทรัพย์เพื่อเอาเงินมาทำธุรกิจอื่น มาลงทุนในเรื่องอาหารทะเล และศูนย์อาหารด้วย"
การรุกของส.ขอนแก่นนับจากนั้นจึงน่ากลัว และน่าจับตายิ่ง เพราะนับจากวันนั้นถึงวันนี้ ส.ขอนแก่นมีแบรนด์ที่ส่งไปป่วนตลาดทั้งในและต่างประเทศแล้วเกือบ 50 แบรนด์ ไม่ว่าจะเป็น แต้จิ๋ว, เฮง เฮง, โอเด้ง, ยู-มิ, หมูดี, ไทยนิยม, พอร์กี้, บ้านไผ่, กวางเจา เป็นต้น
กลยุทธ์ “รักฉันรักหมาของฉันด้วย”
การเติบโตในยอดจำหน่ายของส.ขอนแก่นแบบพรวดๆ มาจากการวางตำแหน่งที่แตกต่าง และการใส่กลยุทธ์การตลาดอย่างที่ไม่มีสินค้าประเภทนี้เคยทำมาก่อน
“เราเป็นสินค้าพื้นเมืองเจ้าแรก ที่เอาการตลาดมาช่วยจัดการทำให้สินค้าแจ้งเกิดได้” เจริญกล่าวเช่นนั้น
ส่วนประสมทางการตลาดที่ ส.ขอนแก่นนำมาใช้เวลานั้น ประกอบด้วย การมีสินค้าที่หลากหลาย คือ หมูหยอง กุนเชียง ไส้กรอกอีสาน หมูยอ เพื่อสนองตอบผู้บริโภคได้มากขึ้น และสร้างโอกาสในการขายได้มากขึ้นด้วย เป็นการกันไม่ให้ผู้บริโภคหันไปซื้อสินค้าพื้นเมืองยี่ห้ออื่น ขณะเดียวกันก็ยกระดับสินค้าด้วยแพกเกจจิ้ง
“เท่าที่จำได้ สินค้าพื้นเมืองจะเป็นกระดาษเปล่า มีกระดาษอีกแผ่นบอกยี่ห้อใส่ในถุงแล้วใช้หนังยางรัดปากถุง แต่ของเราพิมพ์ 4 สี แล้วมีดีไซน์ให้ดูแปลกตาน่าซื้อ”
แต่บางครั้งการใช้แพกเกจจิ้งมาเรียกร้องความสนใจ ใช่ว่าจะได้รับความสำเร็จเสมอไป เมื่อต้องมาเจอกับคู่แข่งที่ขึ้นชื่อว่าเป็นต้นตำรับความเก่าแก่ของสินค้าหมูหยองมาหลายชั่วอายุคนมาการันตีความอร่อย งานนี้ ส.ขอนแก่นต้องแก้เกมด้วยการ นำหมูหยองไปผัด ณ จุดขายซะเลย ด้วยเหตุผลที่ว่า ประการแรก เคล็ดลับการทำสินค้าเข้าปากก็คือ ทำทุกวิถีทางเพื่อให้ผู้บริโภคได้ลองชิม หากมั่นใจว่าสินค้าของตนอร่อยกว่าคู่แข่ง เมื่อลองชิมแล้วเกิดติดใจ จะหันมาซื้อโดยอัตโนมัติ เนื่องจากสินค้าประเภทนี้ผู้บริโภคมีความจงรักภักดีต่อแบรนด์ต่ำมาก
ประการที่สอง เนื่องจากเวลานั้นผู้บริโภคเชื่อว่าหมูหยองไม่สะอาด ดังนั้น การนำกระบวนการผลิตหมูหยองมาผัดให้เห็นถึงที่ จึงเป็นการปรับเปลี่ยนมุมมอง และการรับรู้ผู้บริโภคเกี่ยวกับสินค้าตัวนี้เสียใหม่
“เป็นกลยุทธ์ที่เราเรียกว่า love me love my dog คือเมื่อผู้บริโภคเชื่อว่าหมูหยองของเราสะอาด เขาก็จะเชื่อว่าสินค้าอื่นๆของเราสะอาดทั้งหมด เมื่อคนเชื่อแบรนด์นี้แล้ว หากนำสินค้าอื่นมาขายภายใต้แบรนด์นี้ก็จะได้รับความน่าเชื่อถือด้วยเช่นกัน”
Umbrella Brand
By ส.ขอนแก่น
หลังจากประสบความสำเร็จจากการบุกตลาด โดยเฉพาะจากการวางแบรนด์ ส.ขอนแก่นเอาไว้ในใจผู้บริโภคว่าเป็นสินค้าพื้นเมืองระดับพรีเมียม จนสามารถสร้างยอดขายในเซ็นทรัล ชิดลมได้ถึง 20,000 บาทในช่วงเดือนแรกๆ ก็ถือว่าแบรนด์นี้ได้รับการยอมรับทางด้านภาพลักษณ์ในระดับหนึ่ง และเมื่อผู้บริโภคเชื่อมั่นแล้ว การจะนำแบรนด์ ส.ขอนแก่นไปใช้ endorse สินค้าอื่น แม้จะเป็นคนละแบรนด์ คนละเกรดผู้บริโภคก็ซื้อ
“เมื่อคนเชื่อว่า ส.ขอนแก่นผลิตสินค้าที่มีคุณภาพ เราก็เอาโรงงานของเราผลิตสินค้าเกรดบี และซี ใช้ความเชื่อมั่นขายสินค้า ซึ่งผมได้ศึกษาผู้บริโภคมากมายถึงการใช้อัมเบลล่าแบรนด์ ซึ่งหลายคนบอกว่าซื้อเพราะชื่อของส.ขอนแก่นกินแล้วไม่ผิดหวัง”
สินค้าพื้นเมืองที่อยู่ภายใต้อัมเบลล่า แบรนด์ ของ ส.ขอนแก่น ได้แก่ บ้านไผ่จับผู้บริโภคกลุ่มบี ขณะที่หมูดีจับผู้บริโภคกลุ่มซี ซึ่งพฤติกรรมการบริโภคสินค้าแต่ละแบรนด์จะแตกต่างกัน โดยคนกิน ส.ขอนแก่นจะมีความจงรักภักดีต่อตราสินค้าสูง เมื่อสินค้าหมดจะไม่หันไปบริโภคแบรนด์อื่น แต่อาจมีบ้างในบางกลุ่มที่หันมาบริโภคบ้านไผ่แทน ขณะที่กลุ่มผู้บริโภคในแบรนด์บ้านไผ่จะไม่ค่อยจงรักภักดีมากนัก ส่วนลูกค้าแบรนด์หมูดีไม่มีความจงรักภักดีต่อตราสินค้าเลย โดยจะให้ความสนใจกับเรื่องราคาเป็นหลัก
“หากเราแบ่งกลุ่มเป้าหมายตามสถานภาพทางสังคม และฐานะทางเศรษฐกิจคนไทยรวยสุดที่อยู่บนยอดมีประมาณ 5% คนชั้นกลางอีก 20-25% ส่วนล่างอีก 40-50% ระดับเอเราใช้แบรนด์พรีเมี่ยมคือ ส.ขอนแก่น ระดับบีเราใช้บ้านไผ่เพราะคนเห็นเห็นราคาแล้วกล้ากิน ส่วนบางคนที่ซื้อไปเพื่อเป็นวัตถุดิบผลิตขนมก็จะมีหมูดีให้เลือกราคาถูกลงมาอีก เรียกว่าครบทุกตลาด พอเป็นอย่างนี้เราก็หันไปกินตลาดใหม่ คือรับจ้างห้างในประเทศไทยผลิต ไม่ว่าโลตัส แม็คโคร ทุกที่ซื้อจากเราหมด”
ขยายไลน์ออกจากพื้นเมือง
“ส.ขอนแก่นทำไป 3 ปีคนก็เริ่มคุ้น คนที่กินสินค้าพื้นเมืองก็วนไปวนมา ไม่กินหมูหยองก็ก๋วยเตี๋ยว ดังนั้นเราจึงออกลูกชิ้นภายใต้แบรนด์แต้จิ๋ว แต่ก็ใช้ส.ขอนแก่นครอบไว้เพื่อรับประกันคุณภาพ”
ในการเข้าสู่สินค้าอาหารทะเล เจริญ ก็เริ่มจากการทดลองตลาดด้วยส่งส่งสินค้าภายใต้ชื่อ”แต้จิ๋ว” เพื่อรุกตลาดในระดับพรีเมี่ยมเพื่อสร้างการยอมรับก่อน จากนั้นจึงค่อยส่ง “กวางเจา” เพื่อลุยตลาดระดับบี และ “โอเด้ง” เพื่อจับตลาดระดับซี
เป็นสิ่งที่น่าสนใจในการขยายไลน์ของส.ขอนแก่นในแต่ละครั้งก็คือ จะไม่ไปซ้ำรอยสินค้าของของซีพีที่ทำอยู่ก่อนแล้ว เรื่องนี้ เจริญ ให้เหตุผลว่า เมื่อผมทำซีพีมาแล้วผมจะไม่ย้อนรอย อันไหนที่ซีพีทำผมจะไม่ทำ ตัวอย่างเขาทำไส้กรอกฝรั่งผมทำไส้กรอกอีสาน เขาทำลูกชิ้นไก่ ผมทำลูกชิ้นปลา แม้จะเป็นช่องทางเดียวกัน แต่แยกแคธิกอรีกันชัดเจน
บางคนอาจบอกว่าเป็นเรื่องของความเก่งบวกเฮงที่ทำให้การทำธุรกิจภายใต้แบรนด์ ส.ขอนแก่น ตั้งแต่วันแรกที่ดำเนินธุรกิจจนถึงวันนี้ไม่ค่อยมีปัญหาให้ผู้ก่อตั้งบริษัทต้องมานั่งกุมขมับมากนัก แต่จริงๆแล้วกว่าบริษัทจะส่งสินค้าแต่ละตัวเข้ามาในตลาดต้องทำวิจัย และศึกษาตลาดกันขนาดหนัก
“เราจำกัดวงว่าเป็นสินค้าอะไร ส.ขอนแก่นเป็นสินค้าพื้นเมือง ผมเป็นหมอดูการตลาด วิเคราะห์ swot ก่อน สิ่งที่ทำหากแข่งกับซีพีผมทำไม่ได้ แต่ถ้าแข่งกับห้องแถวก็สบายเพราะเป็นอุตสาหกรรมพื้นบ้าน ขณะที่อุตสาหกรรมใหญ่อย่างซีพีหากจะลงมาทำก็ทำได้ แต่ไม่คุ้ม นี่เป็นเหตุผลหนึ่งที่เราต้องคิดว่าจะยืนที่ตรงไหน ต้องหาจุดแข็งของตัวเองให้ครบ ที่สำคัญทำธุรกิจทุกอย่างอยู่ที่วิสัยทัศน์และไม่เอาบริษัทที่ทำไปเสี่ยง ธุรกิจที่ทำจะเกี่ยวข้องกับปากท้องประชาชน ทุกคนต้องกินของเรา ทำอะไรที่เกี่ยวข้องกับประชาชนทุกอย่างมั่นคง ผมทำหมูหยอง หมูแผ่น เป็นธุรกิจที่ดี เพราะกินกันมาหลายชั่วคน หรือแม้แต่ทำลูกชิ้น มีก๋วยเตี๋ยวร้านไหนบ้างที่ไม่มีลูกชิ้น ที่สำคัญเราต้องรู้ขนาดของตลาดก่อนว่าขนมก้อนนี้ใหญ่แค่ไหน แล้วกลับมาดูตัวเราว่าถ้าเข้าไปแล้วจะแย่งส่วนแบ่งได้กี่เปอร์เซนต์”
Trendy Company
แม้จะเป็นสินค้าพื้นเมือง แต่ทุกครั้งเวลาตลาดมีความเคลื่อนไหวแปลกๆใหม่ๆ ส.ขอนแก่นต้องขอเข้าร่วมโหนกระแสไปกับตลาดด้วยทุกครั้ง เช่นในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจ ส.ขอนแก่นได้เปลี่ยนสโลแกนใหม่เป็น "ไทยไม่ช่วยไทย แล้วใครจะมาช่วยเรา" เพื่อปลูกฝังค่านิยมผู้บริโภคให้หันมาบริโภคของไทยๆ เพื่อช่วยเหลือคนไทยด้วยกันเอง
หรือแม้แต่ในช่วงนี้ที่กระแสคนรักสุขภาพเริ่มแพร่ขยายไปทั่ว แน่นอนว่าผลิตภัณฑ์แหนมที่ผลิตจากหมูที่ยังไม่ผ่านการปรุงให้สุกย่อมได้รับผลกระทบจาก"คอแหนม" ผู้ห่วงใยในสุขภาพด้วยเช่นกัน และแน่นอนว่า "ส.ขอนแก่น" ย่อมไม่พลาดรถไฟเที่ยวนี้ เพราะคู่แข่งบางเจ้าได้นำเทคโนโลยีไบโอเทคเข้ามาใช้กับผลิตภัณฑ์เพื่อให้ปลอดจากพยาธิกันแล้ว เพียงแต่ ส.ขอนแก่นหันมาใช้การฉายรังสีแทน พร้อมสร้างแบรนด์ใหม่ที่ชื่อ "3 เหรียญทอง" โดยมี ส.ขอนแก่นการันตีความอร่อยเช่นเดิม
"เราเจอมาแล้วคนที่ต่อต้านรังสีมีเปอร์เซนต์สูงมาก เพราะคนกินกลัวจะเป็นหมัน เราจึงออก 3 เหรียญทองมายันไว้ ขายได้ก็ดีไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ส.ขอนแก่นไม่กระเทือน แต่ผลที่ออกมาประสบความสำเร็จเช่นกัน เพราะเราขายคนที่เป็นหมอ มีความรู้สูง"
หลังจากที่กระโดดเข้ามาร่วมกระแสคนรักสุขภาพแล้ว ส.ขอนแก่นยังกระโดดอีก แต่คราวนี้ข้ามมายังสนามสแน็ก ตลาดมูลค่ากว่าหมื่นล้านบาทที่มีการแข่งขันรุนแรงยิ่งนัก
บันไดขั้นที่สอง
พลิกแบบ360องศา
"เราปรับนโยบายการตลาดใหม่ โดยจะให้ความสำคัญกับการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารประเภทขบเคี้ยวเป็นหลัก" เป็นคำกล่าวของ เจริญ ในวันแถลงข่าวเปิดตัวหมูแผ่นบาร์บีคิวอบกรอบตรา "ออง-เทร่" (Entre) เมื่อหลายปีก่อน ถือเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญของส.ขอนแก่น เพราะเป็นครั้งแรกในรอบ 20 ปีที่ขยายไลน์จากอาหารสดเข้ามาสู่ตลาดขนมขบเคี้ยว แม้จะเป็นตลาดใหญ่ แต่เป็นที่รู้กันในหมู่นักการตลาดว่าหินยิ่งนัก
เหตุผลของการขยับเข้ารุกตลาดของขบเคี้ยวของส.ขอนแก่น เนื่องมาจากตัวเลขการเติบโตในอาหารพื้นเมือง หรืออาหารทะเลมีไม่เกิน 5% มาตลอดระยะเวลา 5-6 ปีที่ผ่านมา ด้วยคนที่บริโภคสินค้าพื้นเมืองค่อนข้างจำกัดวงอยู่กับผู้บริโภครุ่นเก่า ขณะที่ผู้บริโภครุ่นใหม่เปลี่ยนพฤติกรรมหันมาบริโภคขนมปังแทนข้าวต้ม จากความเร่งรีบจากการเดินทาง และไม่มีเวลาปรุงอาหารทานเอง ทำให้ผลิตภัณฑ์บรรดาหมูขายไม่ดีเหมือนก่อน แม้ ส.ขอนแก่นจะขายหมูหยองเพื่อนำไปใส่ในขนมปังด้วยก็ตาม
ถึงแม้ ออง-เทร่ จะมีชื่อเสียงเรียงนามเป็นภาษาต่างประเทศเพื่อให้ดูทันสมัยขึ้น แต่แบรนด์ ส.ขอนแก่นก็ยังมีบทบาทในฐานะของผู้การันตีความอร่อยเหมือนเดิม ที่สำคัญการรุกตลาดสแน็กครั้งนี้ก็ยังอยู่ภายใต้การนำสินค้าเดิม คือหมูแผ่นมาพัฒนาให้ทันสมัยมากขึ้น โดยมองว่ายังไม่มีผู้ประกอบการรายใดในบ้านเรานำเนื้อหมูมาแปรรูปเป็นขนมขบเคี้ยว และอาหารทานเล่นเลย
"ส.ขอนแก่น 20 ปีที่ผ่านมาคนคุ้นแล้ว ภาพพจน์ของแบรนด์คนจะรู้สึกว่า แหนม หมูยอ อร่อย แต่หากจะนำแบรนด์ส.ขอนแก่นมาทำสแน็กมันคนละขั้วกันเลย ถือว่าเป็นการปรับแนวการตลาดแบบ 360 องศา เพราะกลุ่มที่ชอบแบรนด์ส.ขอนแก่นส่วนมากเป็นคนรุ่นเก่า ส่วนคนรุ่นใหม่ไม่ค่อยนิยมมากนัก แต่จะชอบสแน็ก"
การขยับตัวจากอาหารพื้นเมือง และอาหารทะเล มาทำสินค้าประเภทสแน็ก ในมุมมองของ เจริญ ถือว่าเป็นการพลิกตัวของ ส.ขอนแก่นแบบ 360 องศาเลยทีเดียว เพราะเป็นการเขยิบจากบันไดขั้นที่ 1 ซึ่งเป็นสินค้าพื้นเมืองที่เริ่มอิ่มตัวเข้าสู่บันไดขั้นที่ 2 คืออาหารร่วมสมัย ที่ยังมีตัวเลขการเติบโตถึง 15% ของตลาดมูลค่า 1.1 หมื่นล้านบาท
จากการที่ออง-เทร่ เป็นสแน็กประเภทหมูแผ่นที่ไม่มีค่ายใดทำมาก่อน เพราะหากมองสินค้าประเภทสแน็กในกลุ่มเนื้อสัตว์ที่วางจำหน่ายในบ้านเราเกือบทั้งหมดจะทำมาจากเนื้อปลา จึงทำให้ในช่วงทดลองตลาดสินค้าก็ไม่พอกับความต้องการเสียแล้ว
แผนการของเจริญที่วางไว้ก็คือ ต้องการให้ออง-เทร่เป็นแบรนด์หลักในการบุกตลาดของขบเคี้ยวเช่นเดียวกับส.ขอนแก่นที่เป็นแบรนด์หลักในการบุกตลาดสินค้าพื้นเมือง ซึ่งแบรนด์ใหม่ภายใต้สโลแกน “หมูอร่อย ไม่ธรรมดา” ไม่เพียงแต่จะบุกตลาดเมืองไทยเท่านั้น แต่ยังมีแผนส่งออกไปจำหน่ายยังต่างประเทศอย่าง ฮ่องกง จีน สิงคโปร์ ฟิลิปปินส์ ด้วยเช่นกัน
สู่บันไดขั้นที่สาม
น่าสนใจว่า ส.ขอนแก่นต้องใช้เวลาถึง 20 ปี กว่าจะสร้างฐานความเป็นเจ้าตลาดสินค้าพื้นเมืองจนแน่น แต่กลับใช้เวลาไม่นานในการสร้างฐานอาหารร่วมสมัย เพื่อก้าวไปสู่อาหารแช่แข็ง ซึ่งก็คืออาหารล้ำสมัยตามความหมายของเจริญนั่นเอง
“ขั้นที่สองเราปูทางมาประมาณ 5 ปี แต่ขั้นที่ 3 เพิ่งเริ่มปูมา 3 ปี”
“อร่อยด่วน” คือ แบรนด์ที่สร้างขึ้นเพื่อเป็นหัวหอกบุกตลาดอาหารแช่แข็งที่สามารถตอบสนองพฤติกรรมผู้บริโภครุ่นใหม่ที่เร่งรีบ และไม่ค่อยทำอาหารทานเองที่บ้าน
แผนการรุกตลาดขั้นที่สามของเจริญ มุ่งบุกตลาดต่างประเทศก่อน ด้วยเหตุผลที่ว่าบ้านเราสามารถหาอาหารประเภทข้าวแกงทานได้ง่ายๆ ดังนั้น การจะนำข้าวแกงมาใส่ในกล่องแช่แข็งวางจำหน่ายกล่องละ 30-40 บาทคงเป็นเรื่องยากที่จะให้ผู้บริโภคหันมาให้ความสนใจอร่อยด่วนได้ เพราะขนาดแบรนด์อื่นๆที่ทำตลาดมาก่อนหลายต่อหลายรายยังไม่ประสบความสำเร็จเท่าไรนัก ด้วยประการฉะนี้จึงทำให้เจริญจำเป็นต้องส่งอร่อยด่วนไปจำหน่ายยังต่างประเทศก่อน
“หากเราขายในประเทศก่อนก็เหมือนกับเอามะพร้าวห้าวไปขายสวน แกงเขียวหวานบ้านเราหากินง่าย ข้าวแกงร้อนๆราคาแค่ 20 บาท ไปเมืองนอกข้าวกล่องราคา 50 บาทถูกมาก นี่คือเหตุผลที่เราไปต่างประเทศก่อนแล้วถึงค่อยมาเมืองไทย ต้องขายของที่เขาขาดแคลน เช่น ทอดมันปลากราย เป็นไทยฟูดส่งไปฮ่องกง ยุโรป”
อย่างไรก็ตาม การรุกตลาดอาหารแช่แข็งในเมืองไทยอาจจะไม่ราบเรียบ และหอมหวานเหมือนการรุกตลาดอาหารพื้นเมือง และสินค้าสแน็ก ที่เจริญสามารถดึงความแตกต่างของตัวสินค้ามาเป็นจุดขายได้ เพราะเป็นที่รู้กันดีว่าตลาดอาหารแช่แข็งนั้นสุดหินปานใด
|
|
|
|
|