|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
หากภาพเขียนที่เพิ่งถูกค้นพบของ Frida Kahlo ถูกพิสูจน์ว่าเป็นของปลอม นี่จะเป็นการปลอมแปลงงานศิลปะครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์
นักวิชาการหลายคนที่ศึกษางานของ Frida Kahlo เชื่อว่า Kahlo เป็นจิตรกรที่โด่งดังที่สุดในโลก ไม่ใช่เพียงจิตรกร “หญิง” ที่มีชื่อเสียงที่สุด ไม่ใช่เพียงจิตรกรชาวเม็กซิกันที่มีชื่อเสียงที่สุด และไม่ใช่เพียงจิตรกรพิการที่มีชื่อเสียงที่สุด แต่เธอเป็นทั้งหมดที่กล่าวมา (ยังไม่นับการมีรสนิยมทางเพศแบบ bisexual การเป็นคอมมิวนิสต์ และเป็นชู้กับ Leon Trotsky นักทฤษฎีคอมมิวนิสต์ที่ ลี้ภัยมาจากรัสเซีย) ในปีนี้ ภาพทิวทัศน์เล็กๆ ภาพหนึ่งของ Kahlo เพิ่งถูกประมูลไปที่ Christie’s ในราคามากกว่า 1 ล้านดอลลาร์ หรือ 10 เท่าของราคาประเมิน แม้แต่ Google ยังฉลองวันเกิดครบ 100 ปีให้เธอ (โดยไม่รู้ว่าเธอโกงอายุ) บางคนถึงกับเปรียบว่า การได้ครอบครองงานของ Kahlo เปรียบเสมือนการได้ครอบครองแม้แต่เพียงเศษเสี้ยวของสัตยกางเขน (True Cross กางเขนที่องค์ พระเยซูถูกตรึง) นั่นเลยทีเดียว
ดังนั้น จึงดูเหมือนว่าการพบคลังแห่งภาพเขียนและสิ่งของส่วนตัวของ Kahlo ที่มีทั้งจดหมายส่วนตัว ไดอารี่ที่มีการเขียนถึง เรื่องทางเพศ ภาพร่าง สูตรอาหาร เสื้อผ้า และของกระจุกกระจิก อื่นๆ ที่รวมถึงกล่องใส่นกฮัมมิงเบิร์ดสตาฟที่เก็บอยู่ในหีบขนาดใหญ่หลายใบในห้องข้างหลังของร้านขายของโบราณแห่งหนึ่งในเม็กซิโก น่าจะเป็นการค้นพบที่สร้างความตื่นเต้นดีใจให้แก่ผู้เชี่ยวชาญเรื่อง Kahlo
แต่ไม่มีใครรู้เรื่องการค้นพบนี้เลย จนกระทั่งปี 2009 เมื่อ New York Times ประกาศว่า กำลังจะตีพิมพ์หนังสือชื่อ Finding Frida Kahlo ซึ่งรวมรูปถ่ายคลังภาพเขียนและสิ่งของส่วนตัวของ Kahlo ดังกล่าว โลกศิลปะจึงเพิ่งรู้ข่าวการค้นพบนี้ แต่ทว่าผู้เชี่ยว ชาญเรื่อง Kahlo มากกว่า 10 คน กลับลงนามในหนังสือร่วมกันประณามการค้นพบดังกล่าว และบริษัทที่ดูแลลิขสิทธิ์ผลงานของ Kahlo ทำหนังสือร้องเรียนถึงรัฐบาลเม็กซิโก ให้สอบสวนที่มาที่ไปของภาพเขียนที่อ้างว่าเป็นของ Kahlo เหล่านั้น อีกทั้งยังพยายามขัดขวางไม่ให้วางจำหน่ายหนังสือดังกล่าว กลุ่มนักค้างานศิลปะ นักวิชาการและผู้เชี่ยวชาญหลายคนที่มองตัวเองว่าเป็นผู้พิทักษ์ผลงานของ Kahlo กล่าวหาว่า ภาพเขียนเหล่านั้นรวมถึงข้าวของส่วนตัวของ Kahlo ล้วนเป็นของปลอมทั้งเพ และสามีภรรยาที่เป็นเจ้าของอาจเป็นผู้ปลอมแปลง หรืออาจตกเป็นเหยื่อถูกหลอกลวงมาอีกต่อหนึ่ง หากเรื่องการปลอมแปลงนี้เป็นความจริง จะนับเป็นการปลอมแปลงงานศิลปะครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์
Carlos และ Leticia Noyola เป็นเจ้าของร้านขายวัตถุโบราณที่ดัดแปลงมาจากโรงงานเก่า ชื่อร้าน La Buhardilla และอาศัยอยู่ในเมือง San Miguel de Allende เมืองเล็กๆ ในเม็กซิโก ภาพเขียนและสิ่งของส่วนตัวมากมายของ Kahlo ถูกเก็บอยู่ในหีบ ในห้องด้านหลังของร้านมาตลอด แม้จะไม่ได้นำมาไว้หน้าร้าน แต่สองสามีภรรยาก็ชอบที่จะอวดคลังสมบัติของ Kahlo กับนักท่องเที่ยว
สองสามีภรรยาอ้างว่า พวกเขาไม่เคยคิดจะขายงานของ Kahlo และต้องการมอบให้แก่พิพิธภัณฑ์ ทั้งสองมีความเห็นต่อการถูกกล่าวหาว่าครอบครองงานปลอมว่า พวกผู้เชี่ยวชาญยอม รับไม่ได้ถึงลักษณะดิบๆ ที่ปรากฏอยู่ในภาพเขียนและสิ่งของส่วนตัวของ Kahlo เนื่องจากว่าค้านกับประวัติชีวิตและผลงานของ Kahlo ที่ทุกคนรู้จักดี แต่ถึงเวลาแล้วที่กลุ่มนักค้างานศิลปะและนักวิชาการเพียงหยิบมือ จะต้องเลิกทำตัวเป็นผู้ควบคุมผลงาน มรดกของศิลปินเสียที “พวกผู้เชี่ยวชาญรู้จักแต่ Frida ที่เปิดเผย” Carlos Noyola กล่าว แต่เขาครอบครอง Frida ตัวจริง Frida ที่เป็นส่วนตัว “พวกเขามีแต่ Frida ที่ถูกสร้างโดยตลาดนิวยอร์ก”
ผู้เชี่ยวชาญยืนยันว่า ในกรณีที่มีความสงสัยว่าผลงานศิลปะ ชิ้นใดชิ้นหนึ่งอาจเป็นของปลอม จะถือว่างานนั้นเป็นของปลอมจน กว่าจะสามารถพิสูจน์ความเป็นของแท้ได้ และสองสามีภรรยา Noyola ก็ทำไม่ได้
การพิสูจน์ความเป็นของแท้ของงานศิลป์มี 3 ปัจจัยหลักคือ หนึ่งมีหลักฐานยืนยัน ซึ่งหมายถึงเอกสารที่แสดงว่าผู้ครอบครอง ได้รับผลงานชิ้นนั้นมาจากศิลปินอย่างไร ปัจจัยต่อมาคือความเห็นของผู้เชี่ยวชาญ และสุดท้ายคือการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ แต่ปัจจัยสุดท้ายจะทำก็ต่อเมื่อผ่านการพิสูจน์ 2 ปัจจัยแรกแล้ว และผลออกมาว่า งานนั้นน่าจะเป็นของแท้ จึงทำการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์เพื่อยืนยันให้แน่ใจ
ในกรณีของสองสามีภรรยา Noyola เพียงปัจจัยแรกก็ดูเหมือนจะมีข้อกังขาเสียแล้ว สองสามีภรรยาอ้างว่า ซื้อภาพเขียนและคลังสมบัติส่วนตัวของ Kahlo มาจากทนายคนหนึ่ง ซึ่งซื้อมา จากช่างแกะสลักไม้ที่เคยทำงานให้กับสามีของ Kahlo คือ Diego Rivera อีกต่อหนึ่ง สองสามีภรรยามีจดหมายที่อ้างว่าเขียนโดย Kahlo ถึงช่างแกะสลักไม้ผู้นั้นเป็นเครื่องยืนยัน ในจดหมายนั้น Kahlo บอกว่า ขอมอบสิ่งของดังกล่าวแทนการจ่ายเงินค่าจ้างให้แก่ช่างไม้คนนั้น แต่ผู้เชี่ยวชาญโต้ว่า ไม่มีเอกสารอื่นใดที่สามารถยืนยันความเกี่ยวข้องของช่างแกะสลักไม้ผู้นั้นกับ Kahlo ได้ ที่สำคัญจดหมายที่อ้างว่า Kahlo เขียนเองนั้นอาจจะปลอมก็ได้
หนึ่งในคนที่ไม่เชื่อครอบครัว Noyola อย่างสิ้นเชิงคือ Mary Ann Martin นักค้างานศิลปะ ผู้ก่อตั้งแผนกงานศิลปะ Latin America ในสำนักประมูล Sotheby’s และเป็นเจ้าของและซื้อขายงานของ Kahlo มานาน Martin ได้เห็นสิ่งที่สองสามีภรรยา Noyola ครอบครองเป็นครั้งแรกที่งาน Dallas Art Fair เมื่อเดือน มีนาคม ซึ่งทั้งครอบครัว Noyola และสำนักพิมพ์ที่พิมพ์หนังสือ Finding Frida Kahlo ที่รวมรูปถ่ายภาพเขียนและสิ่งของส่วนตัวของ Kahlo ที่สองสามีภรรยาครอบครอง ก็เข้าร่วมงานดังกล่าวด้วย ภาพเขียนที่ Martin ได้ดูคือ ภาพที่ Kahlo ประคองขาพิการของตัวเอง อันเป็นภาพที่สอดคล้องกับประวัติส่วนตัวของ Kahlo ซึ่งป่วยด้วยโรคโปลิโอมาตั้งแต่เด็ก และยังถูกตัดขาขวาช่วงล่างไม่นาน ก่อนที่จะเสียชีวิต Martin บอกว่า ภาพจริงที่เธอเห็นนั้น “ยังแย่ยิ่งกว่าที่เห็นจากที่เป็นรูปถ่ายในหนังสือ (Finding Frida Kahlo) เสียอีก” ส่วน James Oles ศาสตราจารย์ด้านประวัติศาสตร์ศิลป์ ใน Wellesley และผู้เขียนหนังสือเกี่ยวกับศิลปะเม็กซิกันบอกกับ สองสามีภรรยา Noyola ว่าพวกเขาถูกหลอก และไม่มีข้อสงสัยใดๆ ว่านี่จะต้องเป็นของที่ปลอมแปลงขึ้น เมื่อสองสามีภรรยาบอกกับ Oles ว่า ผลการตรวจทางวิทยาศาสตร์ออกมาว่า วัสดุที่ใช้นั้นอยู่ในยุคสมัยของ Kahlo จริงๆ แต่ Oles กลับตอบว่า เขาไม่สนผลการตรวจทางวิทยาศาสตร์
คำตอบของ Oles ไม่ใช่เรื่องแปลกในโลกของการพิสูจน์ความแท้จริงของผลงานศิลปะที่ผู้เชี่ยวชาญอาจตัดสินผลงานปลอม เพียงแค่พูดว่า ก็แค่รู้สึกว่ามันไม่ใช่ของจริง สำหรับผลงานของศิลปินใหญ่ที่เสียชีวิตไปแล้ว ซึ่งขายได้เป็นล้านๆ ดอลลาร์นั้นจะมีผู้เชี่ยวชาญเพียงหนึ่งหรือสองคนเท่านั้น และมักจะเป็นญาติพี่น้อง เกี่ยวดองกับศิลปินผู้นั้นที่มีอำนาจออกใบรับรองความเป็นของแท้ของผลงานนั้น หรือตัดสินว่างานนั้นมีค่าพอที่จะตรวจพิสูจน์ต่อไปหรือไม่ วิธีการตัดสินของผู้เชี่ยวชาญเหล่านั้น ฟังดูเหมือนกับใช้เพียงความรู้สึกเป็นหลัก อย่างการพูดถึง “พลัง” การบอกว่างานนั้น “ไม่พูด” กับเขา อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญงานศิลป์ยืนยัน ว่า ปฏิกิริยาของพวกเขาเกิดจากสัญชาตญาณ ซึ่งเป็นผลจากการที่พวกเขามีความรู้อย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับผลงานของศิลปินนั้นๆ ไม่ว่า จะเป็นวัสดุที่ใช้ฝีแปรง การใช้สี หรือแม้กระทั่งการถนัดขวาหรือซ้ายของศิลปิน กระนั้นก็ตาม ก็ยังมีบางกรณีที่ผลงานที่ผู้เชี่ยวชาญ รับรองแล้วว่าแท้ แต่ต่อมากลับปรากฏว่าเป็นของปลอมก็มี หรือในทางกลับกัน ผู้เชี่ยวชาญกลับสามารถจับผิดในผลงานที่ปลอมแปลงได้ ในขณะที่การตรวจพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์กลับพลาดไป
สองสามีภรรยา Noyola ได้ส่งสิ่งของหลายอย่างในคลังงานของ Kahlo ที่พวกเขาครอบครองไปตรวจพิสูจน์ที่ห้องแล็บ McCrone ในชิคาโก บริษัทที่ปรึกษาซึ่งใช้กล้องจุลทรรศน์และการตรวจทางเคมี ห้องแล็บแห่งนี้เคยยืนยันว่า รอยเปื้อนบนผ้าห่อ ศพแห่งตูริน (Shroud of Turin) ที่เชื่อกันว่าเป็นผ้าห่อพระศพพระเยซูนั้น เกิดจากผงแร่และสีฝุ่นสีแดง ไม่ใช่รอยพระโลหิตอย่างที่เชื่อกัน เนื่องจากทางรัฐบาลเม็กซิโกกำลังสอบสวนกรณีภาพเขียนของ Kahlo ของครอบครัว Noyola อยู่ สองสามีภรรยา จึงยังไม่เปิดเผยผลการตรวจสอบทั้งหมดของห้องแล็บดังกล่าว แต่ดูเหมือนทั้งสองจะมั่นใจว่าจะเป็นฝ่ายชนะ
และฝ่ายที่เชื่อว่าผลงานของ Kahlo ที่สองสามีภรรยาครอบครองอยู่เป็นของแท้ ยังรวมถึงผู้เชี่ยวชาญด้านลายมือที่เชื่อว่า ลายมือในจดหมายที่เขียนให้ช่างแกะสลักไม้นั้นเป็นลายมือของ Kahlo จริง และยังมีหลานสาวของ Diego Rivera สามีของ Kahlo ที่ได้รับรองผลงานความเป็นของแท้ให้แก่ผลงานของ Kahlo ในครอบครองของ Noyola ก่อนที่เธอจะเสียชีวิตในปี 2007 นอกจากนี้ยังมีศิลปินสองสามีภรรยาอีกคู่หนึ่งที่ใกล้ชิดกับ Kahlo ที่เชื่อว่าเป็นของแท้ Arturo Bustos หนึ่งในลูกศิษย์ของ Kahlo กลุ่มที่เรียกว่า Fridos เขาและภรรยา Rina Lazo ซึ่งเคยเป็นผู้ช่วยของ Rivera เคยออกใบรับรองความเป็นของแท้ให้แก่งานของ Kahlo มามากมาย ทั้งสองซึ่งขณะนี้สูงวัยถึง 80 แล้ว ยังเป็นคนแรกๆ ที่ ได้เห็นผลงานของ Kahlo ในครอบครองของ Noyola อีกด้วย
อย่างไรก็ตาม นอกจาก Bustos จะไม่ได้รู้สึกว่างานของ Kahlo “พูด” กับเขาแล้ว ตรงข้าม เขากลับตกตะลึงอย่างมาก ที่ภาพเขียนของ Kahlo ในครอบครองของสองสามีภรรยา Noyola ช่างแตกต่างจากภาพเขียนของ Kahlo ที่รู้จักกันดีอย่างสิ้นเชิง แต่การที่ผลงานนั้นไม่ใช่ masterpiece หรือเป็นงานที่ยังไม่เสร็จ ก็ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นของปลอม ภาพเขียนของ Kahlo นี้ เหมือนเป็นภาพที่ศิลปินวาดเล่นๆ แต่ไม่ได้ตั้งใจที่จะโชว์ใคร
แต่คำอธิบายนี้ดูเหมือนจะยิ่งทำให้เกิดข้อกังขา หาก Kahlo ไม่ต้องการจะโชว์ภาพเขียนดังกล่าวกับใคร แล้วทำไมจึงมอบให้ช่างแกะสลักไม้ อย่างไรก็ตาม เป็นความจริงที่ผลงานทุกชิ้นของศิลปินคนหนึ่งๆ อาจไม่ใช่ masterpiece ทุกครั้งไป ผลงานบางชิ้นยังแทบไม่มีสไตล์ของศิลปินนั้นๆ อย่างที่คนทั่วไปคุ้นเคยด้วยซ้ำ อย่างเช่นภาพทิวทัศน์ชื่อ Survivor ของ Kahlo ที่เพิ่งถูกประมูลไปในราคาสูงกว่า 1 ล้านดอลลาร์ แทบไม่มีสิ่งใดคล้ายกับงานเขียน ที่โด่งดังอื่นๆ ของ Kahlo เลย และไม่มีแม้กระทั่งลายเซ็น แต่สิ่งที่ไม่เหมือนกับงานของ Kahlo ในครอบครอง Noyola คือ Survival มีเอกสารรับรองอย่างถูกต้อง
ถ้าหากปรากฏว่างานที่สองสามีภรรยา Noyola ครอบครองเป็นของปลอม ก็มีคำถามว่า ใครกัน ที่ยอมเสียเวลานั่งปลอมงานเหล่านั้น ซึ่งไม่ได้มีเพียงภาพเขียน แต่ยังรวมถึงของกระจุกกระจิกส่วนตัวของ Kahlo มากมายเป็นหีบๆ คนปลอมคงจะต้องทำกันเป็นกลุ่ม ซึ่งอาจเป็นไปได้ เพราะ Kahlo อาศัยอยู่ในบ้านหลังใหญ่ที่มีคนรับใช้และครอบครัวอาศัยอยู่ด้วยหลายครอบครัว และยังมีศิลปินคนอื่นๆ อีกมากหน้าหลายตาแวะเวียน มาอยู่เสมอ Mary Ann Martin นักค้างานศิลปะที่ไม่เชื่อว่าสิ่งที่ Noyola ครอบครองเป็นของ Kahlo ตั้งข้อสงสัยว่า จดหมายที่อ้างว่า Kahlo เขียนนั้นมีคำผิดมากมาย แต่เรารู้กันอยู่แล้วว่า Kahlo เป็นผู้หญิงที่มีการศึกษา
แม้การพิสูจน์หลักฐานด้วยการวิเคราะห์ทางวิทยาศาสตร์ จะมีความก้าวหน้าอย่างมากในยุคนี้ แต่อย่างมากก็สามารถพิสูจน์ ได้เพียงวันเวลาและสถานที่ที่ภาพเขียนนั้นถูกวาดขึ้น แต่ยังไม่อาจพิสูจน์ได้ว่า “ใคร” ที่เป็นคนวาดภาพนั้น แม้แต่การทำให้ภาพวาดดูเหมือนเป็นภาพเก่า ก็สามารถจะปลอมแปลงได้เหมือนจริงมาก จนแม้แต่วิทยาศาสตร์ก็ยังจับผิดได้ยาก หรือไม่ก็คนที่ปลอม งาน ไปเอาวัสดุจริงๆ ที่ใช้ในยุคนั้นมาใช้เขียนภาพปลอม
ทุกวันนี้ แม้กระทั่งพิพิธภัณฑ์ใหญ่ๆ ยังยอมรับว่า งานศิลปะที่มีอยู่ในพิพิธภัณฑ์บางชิ้นอาจเป็นของปลอม และเริ่มหันมา ให้ความสนใจศิลปะการปลอมแปลงงานศิลป์อย่างจริงจัง เพราะตราบใดที่ศิลปินยังสร้างงาน ก็ย่อมต้องมีคนจ้องที่จะปลอมงานอยู่ตราบนั้น มีการจัดนิทรรศการแสดงงานศิลป์ที่รู้จักกันดีว่าเป็นของปลอมเมื่อเร็วๆ นี้ที่พิพิธภัณฑ์ Victoria and Albert Museum ในลอนดอน และที่ National Gallery ในลอนดอนเช่นกัน ความจริงแล้ว ศิลปินในยุค Renaissance ต่างมีผู้ช่วยกันทุกคน ผู้ช่วย เหล่านี้มีส่วนอย่างมากในการวาดหรือปั้นผลงานที่เป็นงานจริงของศิลปินนั้นๆ ศิลปินใหญ่อย่าง Dali เซ็นชื่อลงบนผ้าใบเปล่าๆ Picasso และ Corot จะเซ็นชื่อลงบนผลงานปลอม ที่พวกเขาเห็นว่าดี ในโลกของงานศิลปะ มีทั้งผลงานที่จู่ๆ ก็โผล่ขึ้นมาในตลาด และได้รับการยอมรับว่าเป็นงานชิ้นโบแดงที่เพิ่งถูกค้นพบ และผลงานอีกมากมายที่จงใจทำปลอม หวังหลอกกินเงินจากนักสะสมงานศิลป์
เราจะอธิบายความรู้สึกซาบซึ้ง เมื่อคนได้เห็นภาพเขียน ที่ต่อมาภายหลังกลับปรากฏว่าเป็นของปลอมได้อย่างไร ในหนังสือ The Man Who Made Vermeers เขียนโดย Jonathan Lopez ซึ่งกล่าวถึงการปลอมงานศิลปะบอกว่า ในการปลอมแปลงผลงานของศิลปินที่เสียชีวิตไปนานแล้ว นักปลอมแปลงมักจะสะท้อนรสนิยมและทัศนคติในยุคสมัยของตัวเองลงไปในผลงานนั้นโดยไม่รู้ตัว แต่ผู้ชมก็มองไม่ออกเช่นกัน ปฏิกิริยาที่ผู้ชมมีต่อภาพเขียน เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นโดยสัญชาตญาณ ต่อสิ่งที่พวกเขารู้สึกคุ้นเคยและรู้สึกเข้าถึง ที่ปรากฏอยู่ในผลงานนั้นๆ แม้ว่าผลงานนั้นจะมีอายุเก่าแก่นับร้อยๆ ปีแล้วก็ตาม
คนที่รู้จักเรื่องราวชีวิตของ Kahlo ดี จะพยายามมองหาร่องรอยชีวิตของเธอในผลงานของเธอ แต่ความจริงแล้ว ปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นกับผู้ชมภาพวาด หาใช่เป็นการได้มองเห็นเสี้ยวหนึ่งในชีวิตของศิลปิน หากแต่เป็นการได้มองเห็นเสี้ยวหนึ่งในชีวิตของพวกเขาเอง
แปล/เรียบเรียง เสาวนีย์ พิสิฐานุสรณ์
เรื่อง นิวสวีค
|
|
|
|
|