ปัจจุบันตลาดทีวีในบ้านเรามีปริมาณความต้องการอยู่ที่ 3 ล้านเครื่อง โดยในปีที่ผ่านมาสัดส่วน ซีอาร์ที ทีวี หรือทีวีจอแก้ว ยังคงมีสัดส่วนสูงถึง 70% ทว่าในปีนี้มีสัดส่วนลดลงเหลือเพียง 60% และคาดว่าในปีถัดไปสัดส่วนดังกล่าวจะลดลงเหลือเพียง 30-50% เป็นผลมาจากการเติบโตของตลาดแฟลตพาแนล หรือทีวีจอแบนบาง ซึ่งประกอบด้วย พลาสม่าทีวี และแอลซีดีทีวี โดยแอลซีดีทีวีมีการย่อยเซกเมนต์ตามเทคโนโลยีในการให้แสงสว่าง ถ้าแบล็กไลต์ใช้หลอดฟลูออเรสเซนต์ก็จะเป็นแอลซีดีทีวีธรรมดา แต่ถ้าใช้หลอดแอลอีดีก็มักจะเรียกว่าแอลอีดีทีวี ซึ่งในความเป็นจริงแล้วก็คือเซกเมนต์หนึ่งของแอลซีดีทีวีนั่นเอง เนื่องจากเทคโนโลยีที่เป็นหน้าจอหรือพาแนล ผลิตมาจากผลึกคริสตัลเหมือนกัน
ทั้งนี้ จีเอฟเค รีเทล แอนด์ เทคโนโลยี บริษัทวิจัยตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้า เผยผลสำรวจตลาดครึ่งปีแรก ระบุว่า ความต้องการทีวีจอแก้วคิดเป็นสัดส่วน 58% ของปริมาณความต้องการทีวีทั้งหมด ขณะที่แอลซีดีทีวีมีสัดส่วนอยู่ที่ 37% โดยเป็นแอลอีดีทีวี 1% ส่วนพลาสม่าทีวีมีสัดส่วนอยู่ที่ 5%
สมรภูมิทีวีมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา นับตั้งแต่ตลาดเริ่มผลัดใบเข้าสู่ยุคของแอลซีดีทีวี ความละเอียดของจอภาพ หรือค่า Resolution ของทีวีที่มีหลายระดับตั้งแต่ VGA, XGA, WXGA และสูงสุดในปัจจุบันคือ Full HD ซึ่งกลายเป็นคุณสมบัติที่สำคัญของตลาดทีวีในประเทศไทยที่หลายค่ายหยิบยกมาเป็นจุดขายและเป็นตัวสร้างความแตกต่างจากทีวีรุ่นก่อนๆ และเป็นคุณสมบัติที่ทำให้ทีวีที่มีความละเอียดระดับ Full HD หรือ HD TV มีราคาสูงกว่าทีวีทั่วไป
วันนี้ Full HD กำลังจะกลายเป็นคุณสมบัติเบสิกที่แฟลตพาแนลทุกเครื่องต้องมี โดยเฉพาะทีวีจอใหญ่ขนาด 40 นิ้วขึ้นไป ซึ่งที่ผ่านมา หลายค่ายก็มีการปรับคุณสมบัติของทีวีจอใหญ่ให้เป็น Full HD กันเกือบหมด โดยมีเทคโนโลยี 3 มิติ เป็นเทรนด์ใหม่เข้ามาแทนที่ ปัจจุบันตลาดแอลซีดีทีวีในบ้านเรามีความต้องการอยู่ที่ 1.4 ล้านเครื่อง โดยเป็นทีวี 3 มิติ 3% ส่วนในปีหน้าคาดว่าความต้องการแอลซีดีทีวีจะเพิ่มเป็น 1.6 ล้านเครื่อง และคาดว่าสัดส่วนทีวี 3 มิติจะเพิ่มเป็น 10%
อย่างไรก็ดี เนื่องจากคอนเทนต์รายการทีวีในบ้านเรายังไม่มีการปรับปรุงระบบออกอากาศไปสู่ช่องรายการ 3 มิติ ทำให้ผู้ผลิตทีวี 3 มิติแต่ละราย ต่างพยายามทำการตลาดแบบโซลูชั่นเพื่อให้ผู้บริโภคได้ใช้ฟังก์ชั่นของทีวี 3 มิติ ล่าสุด โซนี่ ส่งแคมเปญ Sony 3D World พร้อมทำแพกเกจขายพ่วง โดยจับคู่แอลซีดีทีวีบราเวีย 3 มิติ ขนาด 40-60 นิ้ว กับเครื่องเล่นบลูเรย์ และเครื่องเล่นเพลย์สเตชั่น 3 โดยมีราคาเริ่มต้นที่ 94,990 บาท ไปจนถึง 179,990 บาท ทั้งนี้ หากเทียบเคียงรุ่นกับซัมซุงแล้ว โซนี่จะมีราคาสูงกว่า 5,000 บาท แต่โซนี่ชูความคุ้มค่าที่มากกว่า 5,000 บาท คือลูกค้าจะได้เครื่องเล่นบลูเรย์ หรือไม่ก็เครื่องเล่นเกมเพลย์สเตชั่น 3 ซึ่งมีราคาเป็นหลักหมื่นบาท
ทั้งนี้ โซนี่เชื่อว่าประสบการณ์ 3 มิติ ไม่ได้มีเพียงการดูภาพยนตร์ แต่การเล่นเกมจะทำให้ผู้บริโภคได้อรรถรสและเข้าถึงเทคโนโลยี 3 มิติได้มากกว่า โดยโซนี่มีบริษัทในเครือคือโซนี่พิคเจอร์ และเพลย์สเตชั่น ซึ่งต่างมีแผนที่จะผลิตภาพยนตร์ 3 มิติ และเกม 3 มิติออกสู่ตลาดมากขึ้น
ฮารุฮิโตะ ทานิกาว่า ผู้อำนวยการด้านการตลาดผลิตภัณฑ์คอนซูเมอร์ โซนี่ อิเลคทรอนิกส์ เอเชีย แปซิฟิก เปิดเผยว่า “โซนี่เป็นผู้คิดค้นพัฒนาเทคโนโลยี 3D มาอย่างต่อเนื่อง และในฐานะผู้สนับสนุนหลักฟีฟ่าอย่างเป็นทางการ โดยเฉพาะช่วงการแข่งขันฟุตบอลโลกเวิลด์คัพ 2010 ที่ผ่านมา ซึ่งโซนี่ได้นำเสนอประสบการณ์ความบันเทิง 3D ตั้งแต่การถ่ายทำ ไปจนถึงถ่ายทอดการแข่งขันในระบบ 3 มิติ รวมถึงเปิดโอกาสให้ผู้ชมทั่วโลกได้สัมผัสประสบการณ์ 3D จาก แอลซีดีทีวีบราเวีย 3 มิติ ผ่านช่องทางหน้าร้านจำนวนกว่า 4,150 จุดทั่วทุกมุมโลก รวมถึงประเทศไทย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์การตลาดสำหรับกลุ่มผลิตภัณฑ์ Sony 3D World ภายใต้แนวความคิด 3D Lens to the Living Room หรือจากเลนส์ 3 มิติสู่ประสบการณ์ความบันเทิงในบ้านแบบสมจริง”
ในขณะที่ซัมซุงซึ่งถือเป็นเจ้าแรกที่เปิดตลาด 3 มิติ แบบครบเครื่องในเมืองไทย เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา โดยผลิตภัณฑ์ 3 มิติ มีทั้งแอลซีดีทีวี แอลอีดีทีวี พลาสม่าทีวี เครื่องเล่นบลูเรย์ โฮมเธียเตอร์ โดยรุ่นพรีเมียมของซัมซุงคือ แอลอีดีทีวี C9000 3D ขนาด 55 นิ้ว มีราคาสูงถึง 279,990 บาท
ส่วนแอลจี มีการทำโซลูชั่น 3 มิติ ร่วมกับ กล้องฟูจิ โดยจำหน่ายเป็นแพ็ก ประกอบด้วย ทีวี 3 มิติ แอลจี เครื่องเล่นบลูเรย์ และกล้องถ่ายรูป 3 มิติ ฟูจิ จากราคาปรกติ 183,970 บาท ลดเหลือ 149,990 บาท โดยจะจำหน่ายผ่านช่องทางระดับพรีเมียมของแอลจี 50 ช่องทาง ห้าง 30 ช่องทาง และเป็นร้านเครื่องใช้ไฟฟ้าอีก 20 ช่องทาง หากแบ่งตามโลเกชั่น จะกระจายอยู่ในต่างจังหวัด 30 แห่ง และอยู่ในกรุงเทพฯ อีก 20 แห่ง โดยแอลจีตั้งเป้าว่าจะสามารถจำหน่ายทีวี 3 มิติ คู่กับกล้อง 3 มิติ ฟูจิ ได้เดือนละ 100 ชุด
ด้านพานาโซนิค ซึ่งชูความเป็นผู้นำเทคโนโลยีพลาสม่าก็มีการทำแคมเปญ 3D Set โดยลูกค้าที่ซื้อพลาสม่าทีวีรุ่น TH-P65VT20 ขนาด 65 นิ้ว ในราคา 219,990 บาท หรือรุ่น TH P50VT20 ขนาด 50 นิ้ว ในราคา 119,990 บาท ก็จะได้รับเครื่องเล่นบลูเรย์ 3 มิติ มูลค่า 19,990 บาท แผ่นหนัง 3 มิติ 2 เรื่อง แว่นตา 3 มิติ 2 อัน และสาย HDMI มูลค่า 990 บาท ฟรี เพื่อให้ผู้บริโภคได้สัมผัสประสบการณ์ 3 มิติอย่างแท้จริง
นอกจากนี้ยังมีชาร์ป ในฐานะผู้ริเริ่มพัฒนาเทคโนโลยีแอลซีดีทีวีเป็นรายแรกของโลก ก็เตรียมที่จะลอนช์แอลอีดีทีวี 3 มิติ ขนาด 60 นิ้ว ในเร็วๆ นี้
สมรภูมิรบ 3 มิติ เพิ่งเริ่มเปิดฉาก เพราะเทคโนโลยี 3 มิติยังไปได้ไกลกว่าที่เป็นอยู่ในท้องตลาด โดยรูปแบบของทีวี 3 มิติ สามารถจำแนกออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆ ประกอบด้วย Active Shutter Glass และ Passive Polarized 3D Glass โดยแบบแรกคือ ทีวี 3 มิติ ที่เราคุ้นเคยกัน คือต้องใส่แว่นตา 3 มิติ ส่วนแบบหลังเป็นเทคโนโลยีการแสดงผล 3 มิติที่ไม่ต้องใช้แว่นตา 3 มิติ ซึ่งหลายๆ ค่ายกำลังพัฒนา โดยคาดว่าในปีหน้าจะเริ่มมีการทำตลาดทีวี 3 มิติ แบบไม่ต้องใส่แว่นตาออกมาให้เห็นกันมากขึ้น ทว่า Passive Polarized 3D Glass จะมีราคาสูงกว่าแบบ Active Shutter Glass 20% อีกทั้งยังมีปัญหาเรื่องความสว่างและคอนทราสต์ที่ลดน้อยลง นอกจากนี้ยังมีน้ำหนักและความหนาที่มากกว่า จุดด้อยเหล่านี้ยังรอการแก้ไข เพื่อให้ทีวี 3 มิติ สามารถสร้างอรรถรสความบันเทิงได้อย่างสมบูรณ์แบบ
|