เธอคือเจ้าของธุรกิจสิ่งพิมพ์ชั้นแนวหน้าแห่งเบย์ แอเรีย เจ้าของภัตตาคารชื่อดังในซานฟรานซิสโกที่เป็นเสมือนสโมสรทางการเมืองนอกทำเนียบแห่งไชน่าทาวน์
และบารมีทางการเมืองของเธอนั้น เป็นที่ยอมรับกันว่า ไม่ใช่เรื่องที่จะมองข้ามกันได้ง่าย
ๆ
เวลาอาหารกลางวันที่ภัตตาคารแกรนด์พาเลซในซานฟรานซิสโก แน่นไปด้วยลูกค้าพนักงานบริการเคลื่อนตัวอย่างรวดเร็วไปมาตามทางเดินระหว่างโต๊ะอาหาร
มือทั้งสองข้างประคองจานเป็ดปักกิ่งและเนื้อมองโกเลีย ท่ามกลางสรรพสำเนียงและความเคลื่อนไหว
ฟลอเรนซ์ ฟาง เจ้าของภัตตาคารทอดสายตามองไปทั่วร้านอย่างเงียบ ๆ เธอหยุดทักทายแขกชั่วครู่ก่อนจะเดินไปสั่งงานกับหัวหน้าบริการ
แกรนด์พาเลซเปิดดำเนินงานมาตั้งแต่ปี 1983 ฟางซื้อกิจการมาจากเจ้าของเก่าที่ล้มละลายตามคำแนะนำของจอห์น
ผู้สามี ทุกวันนี้ แกรนด์พาเลซเป็นภัตตาคารที่ชื่อเสียงมากที่สุดแห่งหนึ่งของซานฟรานซิสโก
และฟางก็เป็นเจ้าของร้านอาหารที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักมากที่สุดคนหนึ่งเช่นกัน
แต่สิ่งที่ทำให้เธอมีชื่อไปทั่วตอนเหนือของแคลิฟอร์เนียไม่ใช่ความลือเลื่องในรสชาติอาหารของแกรนด์พาเลซเท่านั้น
ที่จริงแล้ว ฟางคือหนึ่งในตัวแทนแห่งอำนาจหรือพาวเวอร์ โบรกเกอร์ (POWER
BROKER) ที่โดดเด่นคนหนึ่งในซานฟรานฯ
ฟลอเรนซ์ ฟาง เป็นประธานกลุ่มธุรกิจสิ่งพิมพ์แพน เอเชีย เวนเจอร์ แคปปิตอล
ซึ่งเป็นเจ้าของหนังสือพิมพ์ "ดิ อินดีเพนเดนท์" และ "เอเชี่ยน
วีค" ดิ อินดีเพนเดนท์ตีพิมพ์สัปดาห์ละ 3 ครั้ง และแจกฟรีให้กับผู้อ่าน
ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชนชั้นกลางหลาย ๆ เชื้อชาติ ซึ่งมักจะเป็นพวกที่มีความคิดแบบอนุรักษ์นิยมที่อาศัยอยู่ทางฟากตะวันตกของตัวเมือง
ความสำเร็จของหนังสือพิมพ์ฉบับนี้อยู่ที่การนำเสนอเนื้อหาที่ให้ความสำคัญกับความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นในท้องถิ่น
เช่น ข่าวตำรวจ การศึกษา ภาษี การบริการของเทศบาล รวมทั้งการบริหารที่ผิดพลาดของรัฐบาลกลาง
ส่วนเอเชี่ยนวีค ซึ่งเป็นนิตยสารรายสัปดาห์ระดับชาติสำหรับชุมชนชาวเอเชียฉบับแรกในอเมริกามีกลุ่มผู้อ่านที่ใหญ่กว่า
ส่วนใหญ่เป็นคนที่มีความรับรู้ทางการเมืองและมีความคิดที่ต้องการให้คนเอเชียอเมริกามีส่วนร่วมในทางอำนาจด้วย
เนื้อหาหลักเป็นเรื่องเกี่ยวกับปัญหาของชุมชนชาวจีน ญี่ปุ่น ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม
หนังสือทั้งสองเล่มนี้เป็นสื่อที่ขาดไม่ได้สำหรับนักธุรกิจและนักการเมืองในย่านเบย์
แอเรีย ของซานฟรานซิสโก
บริษัทโฮลดิ้งของตระกูลฟางยังเป็นเจ้าของไชนีส ทีวี ไกด์, เรียลเอสเตท เอ็กซเพรส
และมิชชั่น ไลฟ์ ซึ่งเป็นนิตยสารรายเดือนภาษาอังกฤษ และสเปนในเล่มเดียวกัน
นอกจากนี้ ยังมีโรงพิมพ์อีก 2 แห่ง ธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ บริษัทการลงทุน
และสำนักพิมพ์ด้วย
แพน เอเชียมียอดขายประมาณปีละ 20 ล้านเหรียญ จัดว่าเป็นหนึ่งในอาณาจักรธุรกิจสิ่งพิมพ์ทางฝั่งตะวันตกของสหรัฐฯ
ที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดแห่งหนึ่ง
การก้าวเข้าไปสู่วงจรแห่งอำนาจในซานฟรานซิสโกของฟางเกือบจะเป็นเรื่องที่ไม่เกิดขึ้น
ตอนที่มาถึงซานฟรานซิสโกในปี 1961 พร้อมกับปริญญาด้านธิเบตศึกษาจามหาวิทยาลัยเชงชีของไต้หวัน
ฟางวางแผนที่จะไปศึกษาต่อที่ยูนิเวอร์ซิตี้ ออฟ วอชิงตันในซีแอตเติล บังเอิญเธอได้พบกับจอห์น
ฟาง ซึ่งอพยพจากเซี่ยงไฮ้มาอเมริกาเมื่อปี 1953 และได้เข้าไปเรียนวิชาการหนังสือพิมพ์ที่มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย
เบอร์คเล่ย์ ทั้งคู่แต่งงานกัน และมีลูกชายคนแรกจึงตัดสินใจล้มเลิกแผนการศึกษาต่อและปักหลักใช้ชีวิตอยู่ที่ซานฟรานซิสโกเป็นการถาวร
จอห์นเป็นผู้ก่อตั้ง แกรนท์ พริ้นติ้ง เฮ้าส์ โดยเริ่มจากห้องแถวเล็ก ๆ
ก่อนที่จะพัฒนามาเป็นโรงพิมพ์ที่ใหญ่ที่สุดโรงหนึ่ง ของซานฟรานฯ ในปัจจุบัน
แต่กว่าที่จะมาถึงขั้นนี้ หนทางไม่ได้ราบเรียบโดยตลอด จอห์นล้มป่วยลงในช่วงทศวรรษ
1970 ทำให้ธุรกิจเริ่มคลอนแคลน ช่วงนี้เองที่ฟางซึ่งทำหน้าที่แม่บ้านอยู่ต้องเข้ามาดูแลแทนสามีอย่างไม่ค่อยจะเต็มใจนักในตอนแรก
"ฉันยังจำวันแรกที่ไปที่โรงพิมพ์ได้" ฟางซึ่งมีอายุ 30 กว่าปีในตอนนั้น
พูดถึงความหลัง "ไม่รู้เรื่องอะไรเลย แม้กระทั่งเขียเช็คก็เขียนไม่เป็น"
สัปดาห์แรกเธอพิมพ์นามบัตรได้เพียงชุดเดียว ได้ค่าจ้างมาแค่ 6 เหรียญ "ฉันเรียนรู้ท่ามกลางความยากลำบาก
มันแสนสาหัสจริง ๆ " ฟางเล่า
ฟางเป็นคนที่เรียนรู้เร็ว เวย์น หู เพื่อนเก่าแก่ของฟาง ซึ่งเป็นนักพัฒนาโครงการเรียลเอสเตท
เล่าว่า นักธุรกิจจีนในไชน่าทาวน์เชื่อว่าพวกตนไม่อาจจะเอาชนะอุปสรรคที่ขัดขวางการขยายธุรกิจเล็ก
ๆ ให้เติบใหญ่ออกไปนอกชุมชนชาวจีนได้ ฟางกลับไม่คิดเช่นนั้น "ฟลอเรนซ์
ซึ่งเป็นผู้มาทีหลัง ไม่รู้จักคำว่าอุปสรรค เธอรู้จักแต่คำว่า โอกาส"
หูกล่าว
ตอนต้นทศวรรษ 1970 ทรัพย์สินของตระกูลฟางมีเพียงชุดตัวเรียงพิมพ์เพียงชุดเดียวเท่านั้น
เวลาพิมพ์งานยังใช้เครื่องพิมพ์ที่พิมพ์ด้วยมืออยู่ งานที่เข้ามาก็เป็นงานชิ้นเล็ก
ๆ เท่านั้น เธอตัดสินใจขอกู้เงิน 60,000 เหรียญจากหน่วยงานบริหารธุรกิจขนาดย่อม
ซึ่งเป็นองค์การรัฐบาลที่ให้สินเชื่อกับธุรกิจขนาดเล็ก ฟางโละเครื่องมือเก่าที่ใช้อยู่
และนำเงินกู้ก้อนนี้ไปซื้อแท่นพิมพ์แบบเวบมาแท่นหนึ่ง
"โรงพิมพ์เล็ก ๆ มีจำนวนมากเกินไป เราต้องไปแย่งขนมปังชิ้นเล็ก ๆ กับคนอื่น
ฉันต้องการทำในสิ่งที่แตกต่างออกไป เพื่อที่จะได้รวบขนมปังมาอยู่กับเราทั้งก้อนเลย"
ฟางพูดถึงแนวความคิดในการพลิกโฉมหน้าโรงพิมพ์ของตัวเอง
เมื่อมีแท่นพิมพ์ทันสมัย ตระกูลฟางก็ใช้ประโยชน์จากมันอย่างเต็มที่ จอห์นออกหนังสือเอเชี่ยนวีค
ในปี 1979 ซึ่งปรากฏว่าทำกำไรได้มากมายให้กับโรงพิมพ์ ในระหว่างนั้นฟางก็ขยายธุรกิจเพิ่มโดยการสั่งแท่นพิมพ์และอุปกรณ์เข้ามาขายเป็นรายได้พิเศษด้วย
หลังจากจอห์นมีสุขภาพดีขึ้น สามารถทุ่มเทให้กับธุรกิจด้านสิ่งพิมพ์ได้อย่างเต็มตัว
ฟางก็เริ่มมองหากิจการอื่น ๆ ซึ่งเธอก็ได้พบแกรนด์พาเลซในปี 1983 จากผู้ประกอบการโรงพิมพ์มาเป็นเจ้าของภัตตาคาร
เธอประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว ฟางเปิดเผยว่า เพียง 3 ปี พนักงานจำนวน 1
ใน 4 ของร้าน มีรายได้มากพอที่จะซื้อบ้านเป็นของตัวเอง เมื่อถึงปี 1989 ภัตตาคารของเธอ
ซึ่งมีห้องครัว 4 ห้องมีลูกค้าเข้าร้านถึงวันละ 1 พันคน ในจำนวนนี้มีไม่น้อยที่เป็นนักการเมืองชั้นนำของซานฟรานซิสโกด้วย
ทศวรรษ 1980 ย่างเข้ามา พร้อม ๆ กับที่ชื่อเสียงบารมีของฟางแผ่ไปทั่วชุมชนชาวเอเชีย
คนจีนในไชน่าทาวน์ของซานฟรานฯ ต้องประสบปัญหาไฟดับมาเป็นเวลานาน ในปี 1985
ฟางยื่นฟ้องบริษัทแปซิฟิค แก๊ส แอนด์ อิเล็คทริค ซึ่งเป็นบริษัทที่ให้บริการด้านไฟฟ้าและแก๊สสำหรับความร้อนที่ใหญ่ที่สุดในแคลิฟอร์เนีย
ทางแปซิฟิคฯ ต้องขอเจรจาด้วย ก่อนที่คดีจะถูกนำขึ้นสู่การพิจารณาของศาล ผลปรากฎว่าแปซิฟิคฯ
ยอมเดินสายไฟฟ้าเมนในไชนาทาวน์ใหม่ และยอมคืนเงินให้ผู้ใช้ไฟด้วย
ตระกูลฟางยังมีบทบาทสำคัญในกลุ่มผู้สนับสนุนพรรครีพับลิกันด้วย ฟางเป็นสมาชิกของกลุ่มรีพับลิกัน
อีเกิล ซึ่งคนที่จะเข้าเป็นสมาชิกได้ต้องบริจาคเงินให้พรรคอย่างน้อย 15,000
เหรียญ ปี 1986 เธอได้รับการคัดเลือกจากประธานาธิบดีโรนัลด์ เรแกน ให้เป็นตัวแทนไปร่วมประชุมเกี่ยวกับธุรกิจขนาดย่อมที่ทำเนียบขาว
สองปีต่อมาระหว่างการรณรงค์หาเสียงรับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีของจอร์ช
บุช ฟางใช้ภัตตาคารแกรนด์พาเลซเป็นสถานที่จัดงานระดมทุนหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นเริ่มขนานนามแกรนด์พาเลซว่า
เป็น "สโมสรการเมืองประจำไชน่าทาวน์"
ดิ อินดีเพนเดนท์ มีส่วนสำคัญต่อการสร้างอิทธิพลในวงการเมืองท้องถิ่นของตระกูลฟาง
ระหว่างการรณรงค์หาเสียงเพื่อชิงตำแหน่งนายกเทศมนตรีซานฟรานซิสโก ดิ อินดิเพนเดนท์ให้การสนับสนุนแฟรงค์
จอร์แดน ผู้สมัครจากพรรครีพับลิกัน ในการท้าชิงตำแหน่งจากนายกเทศมนตรี อาร์ท
แอลนอส ลูกชายของฟางที่ชื่อเท็ด ซึ่งมีอายุ 28 ปี และเป็นผู้จัดการแกรนด์
พริ้นติ้ง ออกค่าใช้จ่ายทุกอย่างในการพิมพ์หนังสือต่อต้านแอกนอส สมาคมพ่อค้าไชน่าทาวน์
ซึ่งฟางก่อตั้งขึ้นหลังแผ่นดินไหวในซานฟรานซิสโกเมื่อปี 1989 ก็หนุนจอร์แดนด้วย
เมื่อจอร์แดนได้รับชัยชนะในเดือนพฤศจิกายน 1991 ตระกูลฟางก็ได้รับการตอบแทน
เจมส์ ลูกชายคนโตของครอบครัววัย 30 ปีได้รับการเสนอชื่อให้เป็นกรรมการในคณะกรรมการการค้าระหว่างประเทศของซานฟรานซิสโก
แต่อีกไม่กี่เดือนให้หลัง หนังสือพิมพ์ เดอะ ซานฟรานซิสโก เอ็กซาไมเนอร์ก็เปิดโปงว่า
เจมส์ซึ่งอ้างตัวเองว่า เป็นทนายความไม่เคยจบการศึกษาจากโรงเรียนกฎหมาย และไม่เคยผ่านการสอบรับอนุญาตให้ว่าความในแคลิฟอร์เนียด้วย
เสียงวิพากษ์วิจารณ์ที่หนาหูขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้นายกเทศมนตรีคนใหม่ต้องหารือกับเจมส์และเท็ด
ซึ่งเป็นบรรณาธิการผู้พิมพ์โฆษณาของดิ อินดิเพนเดนท์ มาตั้งแต่ปี 1987 เท็ดพูดอย่างแข็งกร้าวว่า
ตระกูลฟาง จะไม่ยอมให้เจมส์ถูกกดดันจนต้องลาออกจนในที่สุดจอร์แดนก็ยอมแพ้
และเจมส์ได้อยู่ในตำแหน่งต่อไป
ชัยชนะของตระกูลฟางในกรณีนี้ เป็นสัญญาณอย่างชัดแจ้งว่า อย่าได้ดูเบาอิทธิพลของครอบครัวนี้ในซานฟรานซิสโก
สตีฟ บลูม เลขานุการฝ่ายสื่อมวลชนของจอร์แดน กล่าวว่า นี่คือการสะท้อนอำนาจของฟลอเรนซ์ดดยตรง
เฮนรี่ เดอร์ หัวหน้ากลุ่มคนจีนที่สนับสนุนการขจัดการแบ่งแยกระหว่างคนต่างสีผิวในซานฟรานซิสโกกล่าวว่า
"แน่นอนว่าทุกวันนี้ อิทธิพลของเธอลดน้อยลงไปจากเดิม แต่ตระกูลฟางก็ยังมีบารมีที่จะทำอะไรได้ด้วยตัวเอง
อย่าเพิ่งมองข้ามครอบครัวนี้"
การขยายตัวออกสู่ต่างประเทศอาจจะเป็นก้าวต่อไปของตระกูลฟาง หลังจากที่สามีของเธอเสียชีวิตไปในปี
1992 ฟางก็ได้เจรจาที่จะตั้งโรงพิมพ์ในเซี่ยงไฮ้ตลอดมา และบางทีสิ้นปีนี้ผลการเจรจาอาจจะสำเร็จ
นอกจากนั้นยังมีแผนที่จะตั้งโรงงานผลิตวัสดุสร้างบ้าน ขายให้กับประเทศในย่านสองฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิค
เท็ดเชื่อมั่นว่า ธุรกิจใหม่ของแม่จะต้องประสบความสำเร็จอย่างแน่นอน "แม่เกิดที่แผ่นดินใหญ่
จึงรู้จักคนจีนเป็นอย่างดี และแม่ก็อยู่ที่นี่มาตั้งแต่ผมเกิด จึงรู้ซึ้งถึงวิธีที่จะนำไปสู่ความสำเร็จในดินแดนสองฟากฝั่งแปซิฟิค
แม่ถูกกำหนดให้เป็นผู้สร้างสรรค์สิ่งต่าง ๆ ให้เป็นจริงโดยเฉพาะ" เท็ดพูดถึงแม่ของเขา…ฟลอเรนซ์
ฟาง หญิงเหล็กแห่งซานฟรานซิสโก…