แม้สาธารณูปโภคจะอยู่ในสภาพใกล้อัมพาต ระบบไฟฟ้าเกือบจะใช้การไม่ได้แล้วหลังหกโมงเย็น
น้ำไม่ไหล ระบบธนาคารไม่มี แต่สำหรับคนที่มีวิญญาณของผู้ประกอบแล้ว กัมพูชาคือดินแดนที่อุดมสมบูรณ์สำหรับการลงทุนอย่างน้อยที่สุดก็ในเวลานี้
แซม อุม หรือชื่อในภาษาเขมรว่า สม อุม วิ่งอย่างรวดเร็วไปที่ประตูร้านฟาสฟู้ดส์ของเขาที่ตั้งอยู่ในย่านดาวทาวน์ของกรุงพนมเปญ
มือที่หอบหนังสือกองใหญ่และกระเป๋าไนล่อนที่สะพายอยู่บนไหล่ ทำให้เขาคล้ายนักศึกษามหาวิทยาลัยมากกว่านักธุรกิจวัย
40 เขาคว้าผ้าคาดเอวกันเปื้อนและหมวกแก๊ปสีแดงจากหลังเคาน์เตอร์ ปากก็ตะโกนสั่งลูกน้อง
แน่นอนว่า ต้องเป็นภาษาเขมร เพราะภาษาอังกฤษที่พนักงานในร้านรู้จักมีเพียง
2 คำเท่านั้น คือ "เบอร์เกอร์" กับ "เฟร้นซ์ไฟรส์"
เสร็จจากร้านฟาสฟู้ดส์ เขาวิ่งออกไปที่ซุปเปอร์มาร์เก็ตที่อยู่ติดกัน ซึ่งมีปัญหาเร่งด่วนที่เขาเท่านั้นจะจัดการได้
พอทุกอย่างเรียบร้อยก็กระหืดกระหอบกลับมาต้อนรับลูกค้า "เอาโค้กด้วยไหมครับ"
เขาถามด้วยภาษาอังกฤษสำเนียงอเมริกัน มือก็ปาดเหงื่อที่ไหลย้อยลงมาที่คิ้ว
เรานั่งอยู่ใกล้หน้าต่างกระจกบานใหญ่ หน้าร้านมีรถบรรทุกสีขาวคันใหญ่ ซึ่งข้างรถมีคำว่า
UN และรถจิ๊ปทหารกัมพูชาจอดอยู่ ฝั่งตรงข้ามร้าน คือ ที่ทำการไปรษณีย์กลางพนมเปญ
ถัดจากนั้นไปอีกหนึ่งช่วงตึก คือ บริเวณที่เป็นศูนย์กลางการปฏิบัติงานของกองกำลังรักษาสันติภาพสหประชาชาติบนพื้นถนนที่สกปรกเต็มไปด้วยขยะและดินโคลน
แต่ภายในร้าน แมคแซม เบอร์เกอร์ กลับสะอาดหมดจด ในบรรยากาศแบบเดียวกับร้านฟาสฟู้ดส์ชื่อดังของอเมริกา
"ลูกค้าของเราเป็นพวกอันแท็ค 70 เปอร์เซ็นต์ อีก 30 เปอร์เซ็นต์คือเอ็นจีโอ"
อุมกล่าว "แมคแซม เป็นธุรกิจร่วมทุนระหว่างผมกับเพื่อนจากสิงคโปร์ ซึ่งต้องการประมูลงานจากอันแท็ค
แต่ไม่ได้ เราจึงตัดสินใจเปิดร้านนี้แทน เพราะเราคิดว่าร้านฟาสฟู้ดส์แบบตะวันตกจะเป็นที่ต้องการของชาวต่างชาตินับพัน
ๆ คนที่มาทำงานที่นี่"
ทหารกลุ่มหนึ่งในชุดพรางซึ่งติดเครื่องหมายบนบ่าที่บ่งบอกว่าเป็นทหารแคนาดาและออสเตรเลียผลักประตูร้านเข้ามา
ทหารเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของชาวต่างชาตินับพัน ๆ คนในกัมพูชาที่เข้ามาปฏิบัติงานในนามของสหประชาชาติเพื่อจัดการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา
แม้ว่าการเลือกตั้งจะผ่านพ้นไปด้วยดี โดยพรรคฟุนซินเปคได้รับเลือกตั้งเข้ามามากที่สุด
และรัฐบาลผสมระหว่างพรรคฟุนซินเปคกับพรรคประชาชนของฮุน เซน จะได้รับการจัดตั้งขึ้น
แต่ปัญหาก็ยังไม่จบ เพราะเมื่อสหประชาชาติถอนตัวออกไปก็ไม่แน่นักว่า เขมรแดงจะยอมรับรัฐบาลผสมนี้
หรือสงครามกลางเมืองจะเกิดขึ้นอีกครั้งหนึ่งหรือไม่
ปัจจัยหลักที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศที่ยากจนมากที่สุดประเทศหนึ่งอย่างกัมพูชาในเวลานี้
คือ เงินตราต่างประเทศ แต่ก็มีความหวาดกลัวอย่างเห็นได้ชัดว่า ทุกสิ่งทุกอย่างอาจจะหายวับไปกับตาได้ในทันที
ทั้งนี้เพราะกฎหมาย ระเบียบ กติกาที่กำหนดโดยทางการนั้นมีอยู่น้อยมาก บรรยากาศเช่นนี้ไม่อาจดึงดูดการลงทุนระยะยาวหรือการลงทุนที่ต้องใช้เงินทุนมาก
กระนั้นก็ตาม โอกาสก็ยังมีอยู่อย่างเหลือเฟือสำหรับผู้ประกอบการที่ชาญฉลาดอย่างเช่น
สา อุม
อุมพูดถึงความยากลำบากของการทำธุรกิจในประเทศอย่างกัมพูชา ทุก ๆ เดือนเขาต้องสั่งวัตถุดิบจำนวน
200-300 หีบจากสหรัฐฯ โดยผ่านสิงคโปร์ เขาบอกว่าการพึ่งพาซัพพลายเออร์ภายนอกเป็นเรื่องที่มีความเสี่ยง
"เราใช้มะเขือเทศและหัวหอมที่นี่ แต่อย่างอื่นต้องนำเข้าหมด ตอนนี้สินค้าของผมมารออยู่ที่ท่าเรือสีหนุวิลล์แล้ว
แต่ยังเอาออกไม่ได้ เพราะต้องรอให้เจ้าหน้าที่ศุลกากรตรวจตู้คอนเทนเนอร์เสียก่อน
ระหว่างนี้ผมต้องซื้อของจากร้านอื่น หรือไม่ก็ขนส่งเข้ามาทางอากาศ ทำให้ต้นทุนผักกาดต้นหนึ่งสูงถึง
10 เหรียญ นั่นหมายถึงว่า ผักแต่ละชิ้นที่ใส่เข้าไปกับแฮมเบอร์เกอร์มีราคา
10 เซนต์"
เขาเปิดเผยว่า การเริ่มต้นทำธุรกิจที่นี่ไม่ใช่เรื่องยาก เขาไม่มีปัญหาในการซื้อตึกแถวเก่า
ๆ ซึ่งเป็นที่ตั้งของร้านฟาสฟู้ดส์ขณะนี้ เพราะว่ากฎหมายที่ดินเปิดไว้กว้างมาก
เขายื่นแผนการปรับปรุงอาคาร และขอใบอนุญาตประกอบธุรกิจอาหารจากเทศบาลพนมเปญ
โดยเสียค่าใช้จ่ายทั้งที่เป็นค่าธรรมเนียมทางการและค่าน้ำร้อนน้ำชาเป็นเงินเพียงไม่กี่ร้อยเหรียญ
"ถ้าต้องการให้การเดินเรื่องเร็วขึ้น ก็ใช้วิธีจ้างหน้าม้าที่รู้จักคนในหน่วยงานรัฐ
ผมจ้างคนไว้สองคนสำหรับติดต่อเรื่องใบอนุญานำเข้าและส่งออกกับเรื่องภาษี
ผมเพียงแต่เซ็นชื่อและจ่ายเงินเท่านั้น" อุมอธิบาย
วิธีการเช่นนี้นำไปสู่คำถามเกี่ยวกับการฉ้อโกงของข้าราชการ อุมกล่าวว่า
"การคอร์รัปชั่นยังไม่สูงมากนัก เบี้ยบ้ายรายทางที่จ่ายไปนั้นเป็นเงินน้อยมาก
พอ ๆ กับค่าอาหารกลางวันในประเทศตะวันตก ผมไม่ถือว่านั่นคือการติดสินบน แต่เป็นการช่วยเหลือกันมากกว่า
สำหรับข้าราชการที่กินเงินเดือนแค่เดือนละ 20 เหรียญ ผมไม่คิดว่าเป็นปัญหา
โดยทั่ว ๆ ไปแล้ว รัฐบาลจะไม่เข้ามายุ่งกับการดำเนินธุรกิจของผม จากประสบการณ์จนถึงตอนนี้
ทุกอย่างตรงไปตรงมา ไม่ค่อยจะมีซิกแซกกันเท่าไร"
ปัญหาใหญ่ที่สุดของอุม คือ เรื่องแรงงาน ซึ่งขาดทักษะพื้นฐานและมีอัตราการเข้าออกจากงานสูง
"ถ้าคุณจ้างคนสัก 20 คนวันนี้ แล้วเหลืออยู่หนึ่งหรือสองคนตอนสิ้นเดือน
ก็ถือว่าโชคดีแล้ว" อุมบ่น "คุณต้องสอนพวกเขาอยู่ตลอดเวลา คนที่นี่กระตือรือร้นที่จะทำงาน
แต่ว่าไม่มีทักษะในเรื่องธุรกิจและการบริการ เด็กอายุ 16 ปีในอเมริกา สามารถทำงานได้เท่ากับคน
10 คนที่นี่"
ไม่เฉพาะแมคแซมเท่านั้นที่มีปัญหาเรื่องแรงงานเมื่อปีกลาย ลิลลี่ แซกเซอร์จากดีทแฮล์ม
ทราแวลที่กรุงเทพฯ เข้ามาเปิดสาขาในพนมเปญ เธอจ้างหญิงสาวชาวกัมพูชาคนหนึ่งเป็นผู้ช่วยในออฟฟิศวันแรกของการทำงาน
เธอสั่งให้หญิงสาวคนนั้นนำจดหมายไปส่งยังที่ทำการไปรษณีย์
"เธอกลับมาโดยที่ไม่มีจดหมาย แต่เงินที่ฉันให้ไปยังอยู่ ฉันถามว่า
แล้วซื้อแสตมป์ยังไง เธอถามกลับว่า แสตมป์คืออะไร"
กัมพูชานั้นเต็มไปด้วยปัญหาที่เป็นอุปสรรคต่อการดำเนินธุรกิจและการลงทุนจากต่างชาติ
ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดปัญหาหนึ่ง คือ สาธารณูปโภคระบบน้ำประปาและไฟฟ้านั้นตกค้างมาจากยุคที่ยังเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศสอยู่
ในตอนกลางวันน้ำจะไหลอ่อนมาก และหลังจากหกโมงเย็นไปแล้วจะไม่ไหลเลย ธุรกิจทุกแห่งต้องมีถังเก็บน้ำและปั๊มน้ำเอาไว้
ถ้าเป็นกิจการใหญ่ ๆ ก็ถึงกับต้องสร้างระบบประปาของตัวเองเลยทีเดียว ส่วนระบบไฟฟ้าก็ยิ่งเลวร้ายกว่า
ไฟตกและไฟดับนั้นคือส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันในพนมเปญ ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า
ถ้าไม่มีการยกเครื่องโรงไฟฟ้าภายในปีนี้ ระบบไฟฟ้าทั้งหมดก็จะใช้การไม่ได้เลย
ในระดับประเทศก็ขาดแคลนโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็น ไม่ว่าจะเป็นท่าเรือที่ทันสมัย
ถนนระบบโทรคมนาคม และโรงเรียน กัมพูชาไม่มีทั้งเงินและความชำนาญทางเทคนิคที่จะแก้ไขปัญหาเหล่านี้
ในการประชุมที่โตเกียวเมื่อเดือนมิถุนายน 1992 องค์กรที่เกี่ยวข้องกับการให้เงินช่วยเหลือหลาย
ๆ แห่งให้คำมั่นว่า จะให้เงินช่วยเหลือเพื่อการฟื้นฟูกัมพูชาจำนวน 810 ล้านเหรียญ
แต่อีกหนึ่งปีถัดมา กัมพูชาได้รับเงินเพียง 30% เท่านั้น
ส่วนโครงสร้างพื้นฐานของระบบการเงินก็อยู่ในสภาพที่ล้าหลัง ระบบธนาคารถูกล้มเลิกและถูกยึดทรัพย์สินไปตั้งแต่ปี
1975 ซึ่งเป็นปีที่เขมรแดงขึ้นสู่อำนาจ เมื่อระบอบเฮงสัมรินซึ่งเวียดนามหนุนหลังอยู่เข้ามาแทนที่
ก็ไม่สนใจและไม่มีความชำนาญที่จะสร้างระบบธนาคารขึ้นมาใหม่ ธนาคารพาณิชย์เอกชนเพิ่งจะเกิดขึ้นเมื่อสองปีที่แล้ว
แต่ก็ยังไม่ได้รับความเชื่อมั่นจากประชาชน ดูเหมือนว่าคนกัมพูชาพอใจที่จะเก็บเงินไว้กับตัวเองด้วยวิธีการฝังดินไว้ในสวน
"ประชาชนยังไม่ไว้วางใจในระบบพอ" นักธุรกิจคนหนึ่งกล่าว "หลังจาก
20 ปีของความขัดแย้ง พวกเขายังตกอยู่ในความหวาดกลัวที่จะนำเงินที่มีอยู่ไปลงทุน
ทุกคนคิดแต่จะหาเงิน แล้วเก็บซ่อนเอาไว้ เพื่อเตรียมตัวรับสิ่งที่เลวร้ายที่สุด"
ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา มีธนาคารพาณิชย์เอกชน 14 แห่งเปิดสำนักงานในพนมเปญ
และอีก 12 แห่งเป็นอย่างน้อยที่ได้รับอนุญาตให้ดำเนินธุรกิจได้แล้วในจำนวนนี้ธนาคารใหญ่
ๆ อย่างเช่น แบงก์อินโดสุเอซ และธนาคารกสิกรไทยอยู่ด้วย แต่ขณะเดียวกันก็มีกลุ่มที่น่าสงสัยว่าจะเอาจริงแค่ไหน
เช่น บริษัทสิงคโปร์ 6 บริษัทซึ่งได้รับอนุญาตให้เปิดธนาคารได้แต่ไม่มีสักแห่งเดียวที่มีประสบการณ์ทางด้านนี้
รัฐบาลได้ออกกฎหมายธนาคารฉบับชั่วคราว ซึ่งมีข้อกำหนดการดำเนินงานที่เข้มงวด
และมีบทลงโทษอย่างรุนแรงสำหรับการทำความผิดทางการเงิน แต่ระบบศาลของกัมพูชายังมีสภาพสับสนยุ่งเหยิงจนยากที่จะหวังได้ว่า
ผู้ที่กระทำความผิดจะถูกลงโทษจริง คนกัมพูชาที่ยากจนมักจะตกเป็นเหยื่อของพวกต้มตุ๋นอย่างง่าย
ๆ ดังเช่น พวกนักศึกษาซึ่งต้องสูญเงินรวม ๆ กันเกือบ 200,000 ล้านเหรียญ
เมื่อถูกชายคนหนึ่งหลอกว่าจะสอนภาษาให้ แล้วหลังจากนั้นจะส่งไปฝึกอบรมและทำงานที่ญี่ปุ่น
ตั้งแต่ปลายปี 1991 ซึ่งข้อตกลงเพื่อบรรลุสันติภาพในกัมพูชาขององค์การสหประชาชาติ
ได้รับการยอมรับจากทุกฝ่าย นักธุรกิจจำนวนมากจากภายนอกก็หลั่งไหลเข้าไปลงทุนในกัมพูชา
รวมทั้งคนเขมรบางส่วนที่ลี้ภัยไปอยู่ต่างประเทศก็เดินทางกลับมาหาลู่ทางการทำธุรกิจในบ้านเกิดด้วย
เส้นทางสู่ธุรกิจฟาสฟู้ดส์ที่ยาวไกล และคดเคี้ยวของอุม เริ่มต้นขึ้นในปี
1970 ตอนนั้นสหรัฐฯ ทิ้งระเบิดถล่มกัมพูชาอย่างลับ ๆ แล้ว อุมเป็นทหารในกองทัพเรือกัมพูชา
หลังจากที่เขาถูกส่งตัวไปเรียนหลักสูตรทหารเรือของสหรัฐฯ ที่โรดส์ ไอส์แลนด์
ได้ไม่กี่เดือน กรุงพนมเปญก็ตกอยู่ในเงื้อมมือของเขมรแดงเมื่อเดือนเมษายน
1975 ประชาชนอย่างน้อย 3 ล้านคนตกเป็นเหยื่อของระบบที่มีเป้าหมายในการกวาดล้างปัญญาชนและนักธุรกิจ
ญาติพี่น้องของอุมรวมอยู่ในจำนวนนี้ด้วย เขากลายเป็นคนไร้แผ่นดินและสิ้นญาติขาดมิตรไปในทันที
ในอเมริกา อุมส่งเสียตัวเองเข้าเรียนในระดับมหาวิทยาลัย ด้วยการทำงานกะกลางคืนในโรงแรม
"ผมทำงานวันละ 18 ชั่วโมงเป็นเวลา 3 ปี" เขาย้อนไปถึงคืนวันเก่า
ๆ "ภายในเวลาเพียง 2 ปี ผมก็ได้เป็นผู้จัดการของธุรกิจผลิตอาหาร ผมคิดว่าตัวเองมีศักยภาพที่จะทำอย่างอื่น
ตอนที่ยังอายุน้อยอยู่ คนเรามักจะมีความฝันที่ยิ่งใหญ่"
ความใฝ่ฝันของอุมชักนำเขาและภรรยาซึ่งเป็นเขมรอพยพเช่นกัน ย้ายไปอยู่ที่แคลิฟอร์เนียตอนใต้
ซึ่งเขาได้งานเป็นผู้จัดการเขตของเครือข่ายธุรกิจโดนัทแห่งหนึ่ง เขาสมัครเรียนวิชาบริหารธุรกิจในมหาวิทยาลัยท้องถิ่น
และยังทำงานกับบริษัทประกันภัยแห่งหนึ่งด้วย สุดท้าย เขาก็เปิดร้านเบเกอรี่และฟาสฟู้ดส์ของตัวเอง
แต่ก็ยังไม่พอใจจึงหันไปทำธุรกิจเรียลเอสเตทพร้อม ๆ กันไปด้วย
อุมคิดอยู่เสมอที่จะกลับไปเยี่ยมบ้านเกิด แต่เขาก็รู้ว่าเป็นเรื่องที่ยากจะเป็นจริง
จนกระทั่งปี 1989 เขาได้รับเชิญให้ร่วมอยู่ในคณะของผู้ลี้ภัยเขมรที่เดินทางไปถ่ายทำสารคดีโทรทัศน์ในกัมพูชา
ซึ่งมีดิธปรานจากหนังสือพิมพ์นิวยอร์ค ไทมส์ และ ดร.เฮียง สงอร์ ผู้แสดงนำในภาพยนตร์เรื่องคิลลิ่ง
ฟิลด์ รวมอยู่ด้วย
"เมื่อผมตัดสินใจเดินทางกลับบ้าน กัมพูชาในความคิดของผมมีแต่ความน่ากลัว"
อุมกล่าว "แต่เมื่อไปเห็นกับตาจริง ๆ ผมเชื่อว่ามีโอกาสสำหรับการทำธุรกิจอยู่มาก
ผมเห็นความกระตือรือร้นของผู้คน เห็นความตั้งใจที่จะทำงานของพวกเขา"
หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็เก็บข้าวของอพยพครอบครัวกลับกัมพูชา แต่ก็ยังคงธุรกิจเรียลเอสเตทในแคลิฟอร์เนียไว้
เพื่อเป็นแหล่งเงินทุน กจิการแรกของเขาในพนมเปญคือ ธุรกิจโรงแรมและภัตตาคารชื่ออินเตอร์เนชั่นแนล
เฮ้าส์ ซึ่งเปิดดำเนินงานในตอนที่เจ้าสีหนุเดินทางกลับพนมเปญเมื่อเดือนพฤศจิกายน
1991 โครงการที่สองที่ตามมา คือ ซุปเปอร์มาร์เก็ตซึ่งขายฟาสฟู้ดส์แบบตะวันตก
ปลายปี 1992 แมคแซม เบอร์เกอร์ และซุปเปอร์มาร์เก็ตแห่งที่สองก็เกิดขึ้นมา
อุมยังมีบริษัทการค้าอีกแห่งหนึ่งด้วย ทำให้เขาเป็นเจ้าของกิจการ 6 แห่งใน
4 สาขาธุรกิจ อุมอาจจะไม่ใช่นักธุรกิจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในกัมพูชา แต่เขาเป็นคนหนึ่งที่มีความทะเยอทะยานที่จะไปสู่ความสำเร็จอย่างแรงกล้า
ทุกวันนี้ ในพนมเปญเต็มไปด้วยนักธุรกิจต่างชาติทั้งพ่อค้าไม้ ผู้เชี่ยวชาญด้านโทรคมนาคมและเซลล์แมนขายรถหรูหรา
ราคาแพง บางคนมาที่นี่เพื่อหวังขุดทอง แสวงหาความร่ำรวยแบบรวดเร็ว บางคนมาเพื่อวางรากฐานสำหรับอนาคต
บนท้องถนนเต็มไปด้วยยี่ห้อสินค้าดัง ๆ ระดับโลก ไม่ว่าจะเป็นเมอร์ซิเดส เบนซ์
ลัคกี้ สไตร์ค ไฮเนเกน โกดัก และแคนนอน
ภายใต้บรรยากาศการลงทุนที่ข้อจำกัดของรัฐบาลยังมีอยู่น้อยมาก และเงินจากอันแท็คไหลสะพัดไปทั่ว
ธุรกิจใหม่ ๆ หลากสีสันเกิดขึ้นเป็นดอกเห็ด นักธุรกิจมาเลซียนำเครื่องสล็อตแมชีนเข้ามาดูดเงินนักเสี่ยงโชคในย่านดาวทาวน์ของพนมเปญ
และช่วยเหลือทางการกัมพูชาออกสลากกินแบ่งเป็นครั้งแรก แข่งกับบู้ทของสแครทช์แอนด์วิน
ที่กระจายอยู่ทั่วเมือง หนุ่มอเมริกันคนหนึ่งออกหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษ ในขณะที่อเมริกาคนอื่น
ๆ ลงขันกันเปิดบาร์ริมทะเลสาบเขมรชื่อ ร็อคฮาร์ด คาเฟ่ ส่วนพ่อค้าชาวอังกฤษอีกคนหนึ่งก็มีสินค้าที่ไม่น่าจะไปด้วยกันได้
4 ชนิดมาเสนอขาย คือ เฟอร์นิเจอร์ ยางมะตอย รถแทรคเตอร์ และเครื่องตรวจธนบัตรปลอม
นอกจากนี้ ก็ยังมีบริษัทแคมบรูของมาเลเซียที่กำลังจะผลิตเบียร์ออกมาขายปีละ
3.5 ล้านกล่อง
ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในประเทศที่ประชาชนมีรายได้เฉลี่ยปีละ 200 เหรียญต่อหัว
และอัตราเงินเฟ้อวิ่งขึ้นเกือบถึง 300% เมื่อปี 1992 ในเดือนพฤษภาคมเพียงเดือนเดียว
ระดับราคาสินค้าเพิ่มขึ้นถึง 50% อันเนื่องมาจากความกังวลของประชาชนต่อผลการเลือกตั้ง
ปัจจัยที่มีผลต่อเศรษฐกิจเป็นอย่างมาก คือ ค่าใช้จ่ายของอันแทค ซึ่งปีที่แล้วมีจำนวน
200 ล้านเหรียญโดยประมาณ เท่ากับ 10% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติ (จีดีพี)
และในเดือนนี้ เจ้าหน้าที่ยูเอ็นจะถอนกำลังส่วนใหญ่จากจำนวน 20,000 คนในขณะนี้ออกไป
ในส่วนของการค้านั้น ความหวังไม่ค่อยจะสดใสนัก สินค้านำเข้าขยายตัวสูงมาก
โดยเฉพาะสินค้าอุปโภคบริโภคจากสิงคโปร์ ทั้งรถยนต์ บุหรี่ ทีวี วิดีโอ และอาหาร
ในขณะที่กัมพูชามีสินค้าที่โลกภายนอกต้องการเพียงอย่างเดียวเท่านั้น คือ
ไม้ โดยที่ส่วนใหญ่ของสินค้านำเข้าและส่งออกจะเป็นการลักลอบเลี่ยงภาษี
ตัวเลขอย่างเป็นทางการของเจ้าหน้าที่ศุลกากรกัมพูชา บ่งบอกถึงภาวะการขาดดุลการค้าปี
1992 สินค้านำเข้ามีมูลค่า 147.4 ล้านเหรียญ เพิ่มขึ้น 44% จากปี 1991 แต่มูลค่าการส่งออกที่แท้จริง
(มูลค่าส่งออกทั้งหมดหักด้วยมูลค่ารีเอ็กซ์ปอร์ต) เพิ่มขึ้นเพียง 5% เป็น
74 ล้านเหรียญเท่านั้น ในช่วงเวลาเดียวกัน
นักเศรษฐศาสตร์ของอันแท็คคำนวณอัตราการเติบโตของจีดีพีในปี 1992 ออกมาเท่ากับ
8% แต่สำหรับปีนี้จะชะลอการเติบโตเหลือเพียง 3% เท่านั้น "ความหวังที่เศรษฐกิจจะฟื้นตัวขึ้นอยู่กับการขยายตัวของรายได้
เงินช่วยเหลือจากต่างประเทศ และการลงทุนของภาคเอกชนต่างชาติ" รายงานของอันแทคว่าไว้เช่นนี้
สถานการณ์การเมืองที่ยังไม่มีเสถียรภาพทำให้ธุรกิจข้ามชาติจำนวนมาก ไม่ยอมขยายการลงทุนมากไปกว่าการเปิดสำนักงานหรือโชว์รูม
โครงการลงทุนในระยะยาวทางด้านอุตสาหกรรมหรือเกษตรกรรมซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อกัมพูชา
ได้รับความสนใจน้อยมาก นักธุรกิจอยากจะให้กองกำลังสหประชาชาติคงอยู่ตลอดไป
ซึ่งเป็นความฝันที่เลื่อนลอยพอ ๆ กับการตั้งความหวังว่า การเลือกตั้งที่ผ่านไปเมื่อเร็ว
ๆ นี้นำมาซึ่งสันติภาพอย่างถาวร ตราบใดที่เขมรแดงยังคงอยู่ด้วยการสนับสนุนอย่างลับ
ๆ จากบางแหล่งในประเทศไทย เศรษฐกิจกัมพูชาก็จะต้องอยู่สภาวะชะงักงันต่อไป
"ผมไม่รู้ว่า เมื่ออันแทคถอนตัวออกไปแล้วจะเกิดอะไรขึ้น" อุมกล่าวเมื่อมองไปที่รถบรรทุกทหารแคนาดาสีขาว
ซึ่งกำลังแล่นออกไปจากหน้าร้าน "ไม่รู้ว่าความมั่นคงปลอดภัยจะเป็นอย่างไร
นักลงทุนต่างชาติจะยังขนเงินเข้ามาลงทุนในกัมพูชาอีกหรือไม่"
อย่างไรก็ตาม อุมยังคงมีความใฝ่ฝันต่อไป เขาต้องการทำธุรกิจการเกษตร "กัมพูชาเป็นประเทศเกษตรกรรมถึง
70% ถ้าเราสามารถส่งสินค้าเกษตรไปขายต่างประเทศได้ และนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ก็จะเป็นประโยชน์อย่างมาก"
เขายังสนใจธุรกิจการท่องเที่ยวและหวังที่จะสร้างโรงแรมแบบรีสอร์ตบนที่ดินใกล้นครวัดที่ซื้อมา
"แต่ละปีมีคนมาเที่ยวเมืองไทย 5 ล้านคน ผมขอแค่ 20% หรือ 1 ล้านคนที่จะเลยมาถึงกัมพูชา
ลองนึกดูสิว่า เราจะทำเงินได้มากขนาดไหน"
แต่ตอนนี้อุมมีเรื่องอื่นที่จะต้องทำก่อน เพราะร้านฟาสฟู้ดส์ของเขากำลังเผชิญกับสงครามราคา
เมื่อร้านอื่น ๆ เช่นร้านอังเคิล แซม ลดราคาลงมาเพื่อกระตุ้นยอดขาย
"คนเขมรชอบตัดราคากันเอง มันเป็นเรื่องดีสำหรับผู้บริโภค แต่ไม่เป็นประโยชน์ต่อเจ้าของกิจการ
เราอยากจะขายของในราคาสูง แต่รักษาคุณภาพและบริการ ซึ่งดูเหมือนว่ากลุ่มลูกค้าเป้าหมายของเราก็ต้องการเช่นนี้
ผมยอมรับว่าฟาสฟู้ดส์ยังเป็นของใหม่สำหรับคนเขมร อาจจะต้องใช้เวลาอีก 5-6
ปีจึงจะเป็นที่ยอมรับกัน"