Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ASTV ผู้จัดการรายสัปดาห์9 กันยายน 2553
ดอกเบี้ยปรับขึ้น-ส่วนต่างขยับตามหุ้นกลุ่มแบงก์เแนวโน้มกำไรติบโต             
 


   
search resources

Interest Rate




ดอกเบี้ยนโยบายขึ้น 0.25% ตามคาด โบรกฯเห็นพ้องหุ้นกลุ่มแบงก์ได้ประโยชน์โดยตรง แนะลงทุนให้น้ำหนักมากกว่าตลาด คาดแนวโน้มขาขึ้นช่วยหนุนส่วนต่างดอกเบี้ยจากพอร์ตสินเชื่อ ส่งผลอัตราดอกเบี้ยสุทธิเติบโตโดดเด่น

ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ได้มีมติให้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีก 0.25% ต่อปี จากปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 1.50% ต่อปี เป็น 1.75%ต่อปี โดยประเมินว่าเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีแรกของไทยมีการฟื้นตัวได้อย่างต่อเนื่อง แม้ในช่วงครึ่งปีหลังเศรษฐกิจของสหรัฐและญี่ปุ่นมีแนวโน้มขยายตัวในอัตราที่ชะลอตัวลง

ทั้งนี้เศรษฐกิจไทยในช่วงไตรมาส 2/2553 มีการขยายตัวได้ดีกว่าที่ได้เคยคาดการณ์ไว้ แม้จะมีการชะลอตัวลงจากไตรมาสแรกจากผลกระทบทางการเมือง แต่การบริโภคในภาคเอกชนยังขยายตัวได้ดี ภาคท่องเที่ยวมีการขยายตัวชัดเจน การผลิตและอัตราการใช้กำลังการผลิตปรับสูงขึ้นซึ่งจะช่วยให้การลงทุนภาคเอกชนปรับเพิ่มขึ้นในระยะต่อไป ขณะที่การส่งออกยังขยายตัวได้ดีตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก

สำหรับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในครั้งนี้อาจเป็นปัจจัยหนึ่งที่มีผลกระทบต่อการไหลเข้าและไหลออกของเงินทุนต่างประเทศบ้าง แต่ก็เชื่อว่านักลงทุนจะประเมินปัจจัยต่างๆประกอบด้วยเช่น ปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจและแนวโน้มในระยะข้างหน้า แรงขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจ ดังนั้นไม่ว่าอัตราดอกเบี้ยจะอยู่ในระดับต่ำหรือสูง หากเศรษฐกิจมีความแข็งแกร่งก็จะทำให้นักลงทุนต่างชาติย้ายการลงทุนมายังประเทศที่ให้ผลตอบแทนสูง ซึ่งไม่ได้ทำให้ กนง.กังวลแต่อย่างใด

ธนัท รังษีธนานนท์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์(บล.)กรุงศรีอยุธยา กล่าวว่า การปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายของ กนง. ถือว่าเป็นเรื่องที่อยู่ในความคาดหมายของตลาดและอาจจะส่งผลดีต่อธนาคารพาณิชย์ในภาพรวม เนื่องจากในส่วนของดอกเบี้ยรับจะมีการปรับเพิ่มขึ้นทันทีทั้งในส่วนของดอกเบี้ยเงินกู้ รวมไปถึงอัตราดอกเบี้ยของอินเตอร์แบงก์ ซึ่งจะเป็นผลทำให้รายได้ของธนาคารพาณิชย์ปรับเพิ่มขึ้นตามรายได้ดอกเบี้ยที่เพิ่มสูงขึ้น ส่งผลบวกต่อการปรับขึ้นของส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยเงินกู้และเงินฝาก(NIM) ซึ่งจะทำให้ผลตอบแทนต่อสินทรัพย์(ROE) ของกลุ่มขยายตัวจาก 10.6% ในปี 2552 เป็น 10.7%ในปี 2553 และ 11% ในปี 2554

อย่างไรก็ตาม การปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายแม้จะส่งผลดีต่อภาพรวมของธนาคารพาณิชย์แต่มองว่าจะมีเพียงธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ 4 แห่งเท่านั้นที่จะได้รับประโยชน์ค่อนข้างมากจากดอกเบี้ยขาขึ้นคือ ธนาคารกรุงเทพ(BBL) ธนาคารกสิกรไทย(KBANK) ธนาคารไทยพาณิชย์(SCB) และ ธนาคารกรุงไทย(KTB) เนื่องจากธนาคารพาณิชย์เหล่านี้มีสัดส่วนการปล่อยสินเชื่อทุกประเภทค่อนข้างมากในขณะที่ธนาคารพาณิชย์ขนาดกลางและเล็กน่าจะมีปัญหาจากการที่ดอกเบี้ยอยู่ในช่วงขาขึ้น เนื่องจากจะถูกกดดันจากอัตราดอกเบี้ยในตลาดที่มีการแข่งขันค่อนข้างสูงโดยมองว่า บมจ.ทิสโก้ไฟแนนเชียลกรุ๊ป (TISCO) และธนาคารเกียรตินาคิน(KK) จะได้รับผลกระทบจากดอกเบี้ยขาขึ้นในระดับหนึ่ง เพราะทั้ง TISCO และ KK เป็นธนาคารที่เน้นสินเชื่อเช่าซื้อเป็นหลัก ซึ่งสินเชื่อเช่าซื้อมีการแข่งขันกันที่ค่อนข้างรุนแรงในเรื่องของราคา ซึ่งทั้ง 2 แห่งคงมีปัญหาบ้างในเรื่องของต้นทุนดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น

ทั้งนี้ยังคงให้น้ำหนักการลงทุนในธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่4 แห่ง ทั้ง BBL, KBANK, SCB และ KTB เนื่องจากความสามารถในการทำกำไรที่ค่อนข้างดี และจากการที่เศรษฐกิจฟื้นตัวมากขึ้นความมั่นใจในการลงทุนภาคเอกชนเพิ่มขึ้น น่าจะทำให้สินเชื่อมีการขยายตัวได้มากขึ้นตามไปด้วย รวมทั้งราคาหุ้นของธนาคารทั้ง 4 แห่งยังมีอัพไซด์อยู่พอสมควร โดยให้ BBLมีราคาเป้าหมาย ที่ 167 บาท, KBANK มีราคาเป้าหมายที่ 126 บาท ,SCB มีราคาเป้าหมายที่ 113 บาทและ KTB มีราคาเป้าหมายที่ 15 บาท

อย่างไรก็ตามจากการวิเคราะห์ใน 5 ปัจจัย ทั้งROE, P/E, P/BV, EPS growth, และ อัตราการจ่ายเงินปันผล สะท้อนได้ว่าในประมาณการปี 2554 ของกลุ่มธนาคารจะมีแนวโน้มการเติบโตของกำไรต่อหุ้น(EPS Growth) ใกล้เคียงกับ SET แต่จะมีอัตราการจ่ายเงินปันผลที่สูงกว่า และการประเมินมูลค่าที่ต่ำกว่าในทั้งในแง่ P/BV และ P/E เมื่อเทียบกับ SET จึงยังให้น้ำหนักการลงทุนของกลุ่มธนาคาร "มากกว่าตลาด"

ด้านบทวิเคราะห์ บล.เอเซีย พลัส แนะนำให้เพิ่มน้ำหนักการลงทุนหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์เป็น "ลงทุนมากกว่าตลาด" เช่นกัน หลังจาก กนง. มีมติปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยตลาดซื้อคืนพันธบัตรประเภท 1 วัน (RP 1 วัน) ขึ้น 0.25% เป็น 1.75% ซึ่งเป็นไปตามที่ตลาดคาดการณ์ไว้

เนื่องจากฝ่ายวิจัยมีมุมมองในเชิงบวกต่อ NIM ของกลุ่มธนาคารพาณิชย์ ในช่วงที่อัตราดอกเบี้ยอยู่ในทิศทางขาขึ้น เนื่องจากธนาคารมีความได้เปรียบจากโครงสร้างสินเชื่อที่เป็นอัตราดอกเบี้ยลอยตัวกว่า 70% ของสินเชื่อรวม ขณะที่มีโครงสร้างเป็นเงินฝากและเงินกู้ยืมราว 50% เท่านั้นที่เป็นอัตราดอกเบี้ยลอยตัว จึงทำให้กลุ่มธนาคารได้รับผลบวกจากอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ส่วนใหญ่ที่ปรับเพิ่มขึ้นทันที ขณะที่อัตราดอกเบี้ยเงินฝากค่อยๆ ทยอยปรับเพิ่มขึ้น

ทั้งนี้ จากการศึกษาของฝ่ายวิจัยฯพบว่าธนาคารกรุงศรีอยุธยา(BAY), ธนาคารธนชาต(TCAP), ธนาคารทหารไทย(TMB), KTB, KBANK, SCB ถือเป็นหุ้นกลุ่มธนาคารที่จะได้รับประโยชน์สูงสุดในช่วงอัตราดอกเบี้ย เนื่องจากมีโครงสร้างสินเชื่อที่เป็นอัตราดอกเบี้ยลอยตัวสูงและมีโครงสร้างเงินทุนที่เป็นอัตราดอกเบี้ยคงที่สูง ขณะที่ BBL เป็นธนาคารที่ฝ่ายวิจัยฯประเมินว่าจะไม่ได้รับผลบวกนักจากการเพิ่มขึ้นของอัตราดอกเบี้ย แม้จะมีโครงสร้างอัตราดอกเบี้ยของสินเชื่อและเงินทุนรวมที่เอื้ออำนวย แต่เนื่องจากมีสัดส่วนสินเชื่อต่อเงินฝากและเงินกู้ยืมในระดับต่ำกว่าธนาคารอื่นๆ จึงทำให้สูญเสียผลบวกดังกล่าวไปมาก ขณะที่ประเมินว่า TISCO จะได้รับผลกระทบมากสุด เนื่องจากความเสียเปรียบในด้านโครงสร้างสินเชื่อที่ส่วนใหญ่เป็นอัตราดอกเบี้ยคงที่ ขณะที่โครงสร้างเงินทุนรวมเป็นอัตราดอกเบี้ยลอยตัวกว่า 22%

สำหรับภาพรวมผลกระทบต่อ NIM ของกลุ่ม จากการศึกษาของฝ่ายวิจัยฯพบว่าทุก 25bps ที่อัตราดอกเบี้ยปรับตัวเพิ่มขึ้น จะทำให้ NIM ปี 2553 ของกลุ่มเพิ่มขึ้น 1.4bps จากสมมติฐานปัจจุบันที่ 3.70% ขณะที่ NIM ปี 2554 จะเพิ่มขึ้น 3.7bps จากสมมติฐานปัจจุบันที่ 3.74% ตามลำดับ (เนื่องจากได้รับผลบวกจากอัตราดอกเบี้ยขาขึ้นเต็มที่ทั้งปี)

ดังนั้นจึงคาดว่า EPS ของกลุ่มธนาคารพาณิชย์ปี 2553 - 2554 จะเติบโตในเชิงรุกถึง 9.3% และ 17% ตามลำดับเมื่อเทียบแบบปีต่อปี โดยมีหุ้น Top Picks คือ KBANK, BBL, และ TCAP จากการให้น้ำหนักใน 2 ส่วนคือ น้ำหนักด้านพื้นฐาน 70% น้ำหนักด้านมูลค่าหุ้น 30% ซึ่งการกำหนดน้ำหนักด้านพื้นฐานฝ่ายวิจัยฯให้น้ำหนัก 70% ไปที่ฐานสินเชื่อรายใหญ่และ SME รวมทั้งปัจจัยพื้นฐานอื่นๆ ส่วนที่เหลือให้น้ำหนัก 30% โดยธนาคารขนาดใหญ่ที่ได้คะแนะนำสูงสุด 2 อันดับแรกคือ BBL และ TCAP และอันดับ 3 คือ KBANK โดย BBL และ KBANK ถือเป็นตัวแทนของธนาคารขนาดใหญ่ที่คาดว่าจะราคาหุ้นจะสามารถสร้างผลตอบแทนเหนือ(Outperform) ค่าเฉลี่ยกลุ่มได้ ขณะที่ TCAP เป็นตัวแทนของหุ้นธนาคารที่เน้นเช่าซื้อรถยนต์ เนื่องจากแนวโน้มการเติบโตเชิงรุกของธุรกิจภายหลังควบรวมกิจการในระยะ 2 - 3 ปีข้างหน้า   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us