แนะจับตา จีน-อินเดียหัวจักรขับเคลื่อนดีมานด์ทองคำในช่วงต่อจากนี้ ทั้งใช้เป็นเครื่องประดับและเพื่อการลงทุนที่เติบโตต่อเนื่อง อีกทั้งนักลงทุนยังกังวลภาวะเศรษกิจจากปัญหาหนี้ยุโรปยังไม่หาย คาดอาจราคาอาจไปทำสถิติใหม่ที่ 1,300 เหรียญต่อออนซ์ได้
สภาทองคำโลกได้เผยแพร่รายงานแนวโน้มทองคำในตลาดโลกว่า ในช่วงที่เหลือของปี 2553 นี้ความต้องการทองคำในตลาดโลกจะได้แรงขับเคลื่อนมหาศาลจากทั้งจีนและอินเดีย ซึ่งเป็นตลาดเศรษฐกิจเกิดใหม่ โดยอุปสงค์จากทั้ง 2 ประเทศนั้นจะทำให้เกิดแรงซื้อรวมทั้งการลงทุนเพิ่มขึ้นอย่างมาก
"ทองคำยังคงเป็นการลงทุนที่น่าสนใจในช่วงที่เหลือของปี 2553 อันเป็นผลจากความต้องการเพิ่มขึ้นอย่างมากในจีนกับอินเดีย และเป็นเพราะความต้องการลงทุนจากทั่วโลกมีมากขึ้น ขณะที่ปัญหาการฟื้นตัวของเศรษฐกิจกับหนี้ภาครัฐในยุโรป ยังก่อเกิดความไม่แน่นอน ทำให้ทั้งจีนและอินเดียจะยังคงเป็นแรงผลักดันสำคัญต่อดีมานด์ทองคำโดยรวม โดยเฉพาะในส่วนของเครื่องประดับทองที่เติบโตต่อเนื่อง"
มาร์คัส กรับบ์ ผู้อำนวยการฝ่ายการลงทุนของสภาทองคำโลก อธิบายว่า ความไม่นอนทางเศรษฐกิจทำให้เกิดการมองหาแหล่งลงทุนที่ผันผวนน้อยกว่า รวมถึงการกระจายการลงทุนในสินทรัพย์อื่นๆอย่างเช่นทองคำที่มากขึ้น จะกระตุ้นให้เกิดปริมาณความต้องการลงทุนในทองคำเพิ่มขึ้นอีกในอนาคตอันใกล้นี้ ยิ่งความกังวลที่มีต่อปัญหาหนี้ภาครัฐในยุโรปยังมีอยู่ ก็จะทำให้นักลงทุนรายย่อยในยุโรปต้องการซื้อทองคำเพิ่มอย่างมาก
ทั้งนี้ บลูมเบิร์ก ให้ข้อมูลว่า ตลาดทองคำปัจจุบันได้แรงขับเคลื่อนด้านอุปสงค์ 2 ส่วนสำคัญ คือการซื้อเพื่อสะสมใช้เป็นเครื่องประดับ และการซื้อเพื่อการลงทุน โดยข้อมูลจากสภาทองคำโลกระบุว่า อุปสงค์ทองคำโดยรวมช่วงปีนี้เพิ่มขึ้น 36% เทียบช่วงเดียวกันปีก่อน หรือจาก 769.6 ตันในปีที่แล้วเป็น 1,050.30 ตันในไตรมาส 2 ปีนี้ ซึ่งถือเป็นดีมานด์ที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก และเป็นผลจากความต้องการลงทุนช่วงเดือนเมษายน-พฤษภาคมปีนี้ ที่สูงขึ้นมากถึง 118%
สำหรับสภาทองคำโลกได้เคยระบุว่า ในอีก 10 ปีข้างหน้า ความต้องการทองคำในจีนมีแนวโน้มพุ่งขึ้นเป็นสองเท่าจากระดับปัจจุบัน เนื่องจากปริมาณการใช้เครื่องประดับและการลงทุนปรับตัวสูงขึ้น ความต้องการทองคำในจีนปรับตัวเพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ย 13% ต่อปีภายใน 5 ปีที่ผ่านมา เฉพาะปี 2552 เพียงปีเดียว ความต้องการทองคำในจีนมีมูลค่าสูงกว่า 14,000 ล้านดอลลาร์ หรือ 11% ของความต้องการทองคำทั่วโลก
ด้าน พอล วอลค์เกอร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ จีเอฟเอ็มเอส ลิมมิเทด บริษัทเชี่ยวชาญการให้คำปรึกษาด้านการลงทุนทองคำชั้นนำจากสหรัฐ กล่าวว่า แนวโน้มความต้องการลงทุนในทองคำจะเพิ่มขึ้นจนถึงสิ้นปีนี้ โดยจะผลักดันให้ราคาทองแตะระดับ 1,300 ดอลลาร์ต่อออนซ์ และเป็นไปได้ว่าราคาอาจไปไกลกว่าระดับนี้
ก่อนหน้านี้โกลด์แมน แซคส์ กรุ๊ป อิงค์ คาดการณ์ในเดือนสิงหาคมปีนี้ว่า ราคาทองอาจแตะ 1,300 ดอลลาร์ต่อออนซ์ในอีก 6 เดือนข้างหน้า และ ดอยช์ แบงก์ เอจี ให้ข้อมูลเมื่อต้นเดือนมิถุนายนปีนี้ว่า ราคาทองอาจพุ่งถึงระดับ 1,700 ดอลลาร์ต่อออนซ์ เมื่อค่าเงินในตลาดทั่วโลกดิ่งและซบเซา
|