Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ASTV ผู้จัดการรายสัปดาห์9 กันยายน 2553
คาดทองคำมีโอกาสทำนิวไฮได้ ดีมานด์จีน-อินเดียปัจจัยผลักดัน             
 


   
search resources

Jewelry and Gold




แนะจับตา จีน-อินเดียหัวจักรขับเคลื่อนดีมานด์ทองคำในช่วงต่อจากนี้ ทั้งใช้เป็นเครื่องประดับและเพื่อการลงทุนที่เติบโตต่อเนื่อง อีกทั้งนักลงทุนยังกังวลภาวะเศรษกิจจากปัญหาหนี้ยุโรปยังไม่หาย คาดอาจราคาอาจไปทำสถิติใหม่ที่ 1,300 เหรียญต่อออนซ์ได้

สภาทองคำโลกได้เผยแพร่รายงานแนวโน้มทองคำในตลาดโลกว่า ในช่วงที่เหลือของปี 2553 นี้ความต้องการทองคำในตลาดโลกจะได้แรงขับเคลื่อนมหาศาลจากทั้งจีนและอินเดีย ซึ่งเป็นตลาดเศรษฐกิจเกิดใหม่ โดยอุปสงค์จากทั้ง 2 ประเทศนั้นจะทำให้เกิดแรงซื้อรวมทั้งการลงทุนเพิ่มขึ้นอย่างมาก

"ทองคำยังคงเป็นการลงทุนที่น่าสนใจในช่วงที่เหลือของปี 2553 อันเป็นผลจากความต้องการเพิ่มขึ้นอย่างมากในจีนกับอินเดีย และเป็นเพราะความต้องการลงทุนจากทั่วโลกมีมากขึ้น ขณะที่ปัญหาการฟื้นตัวของเศรษฐกิจกับหนี้ภาครัฐในยุโรป ยังก่อเกิดความไม่แน่นอน ทำให้ทั้งจีนและอินเดียจะยังคงเป็นแรงผลักดันสำคัญต่อดีมานด์ทองคำโดยรวม โดยเฉพาะในส่วนของเครื่องประดับทองที่เติบโตต่อเนื่อง"

มาร์คัส กรับบ์ ผู้อำนวยการฝ่ายการลงทุนของสภาทองคำโลก อธิบายว่า ความไม่นอนทางเศรษฐกิจทำให้เกิดการมองหาแหล่งลงทุนที่ผันผวนน้อยกว่า รวมถึงการกระจายการลงทุนในสินทรัพย์อื่นๆอย่างเช่นทองคำที่มากขึ้น จะกระตุ้นให้เกิดปริมาณความต้องการลงทุนในทองคำเพิ่มขึ้นอีกในอนาคตอันใกล้นี้ ยิ่งความกังวลที่มีต่อปัญหาหนี้ภาครัฐในยุโรปยังมีอยู่ ก็จะทำให้นักลงทุนรายย่อยในยุโรปต้องการซื้อทองคำเพิ่มอย่างมาก

ทั้งนี้ บลูมเบิร์ก ให้ข้อมูลว่า ตลาดทองคำปัจจุบันได้แรงขับเคลื่อนด้านอุปสงค์ 2 ส่วนสำคัญ คือการซื้อเพื่อสะสมใช้เป็นเครื่องประดับ และการซื้อเพื่อการลงทุน โดยข้อมูลจากสภาทองคำโลกระบุว่า อุปสงค์ทองคำโดยรวมช่วงปีนี้เพิ่มขึ้น 36% เทียบช่วงเดียวกันปีก่อน หรือจาก 769.6 ตันในปีที่แล้วเป็น 1,050.30 ตันในไตรมาส 2 ปีนี้ ซึ่งถือเป็นดีมานด์ที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก และเป็นผลจากความต้องการลงทุนช่วงเดือนเมษายน-พฤษภาคมปีนี้ ที่สูงขึ้นมากถึง 118%

สำหรับสภาทองคำโลกได้เคยระบุว่า ในอีก 10 ปีข้างหน้า ความต้องการทองคำในจีนมีแนวโน้มพุ่งขึ้นเป็นสองเท่าจากระดับปัจจุบัน เนื่องจากปริมาณการใช้เครื่องประดับและการลงทุนปรับตัวสูงขึ้น ความต้องการทองคำในจีนปรับตัวเพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ย 13% ต่อปีภายใน 5 ปีที่ผ่านมา เฉพาะปี 2552 เพียงปีเดียว ความต้องการทองคำในจีนมีมูลค่าสูงกว่า 14,000 ล้านดอลลาร์ หรือ 11% ของความต้องการทองคำทั่วโลก

ด้าน พอล วอลค์เกอร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ จีเอฟเอ็มเอส ลิมมิเทด บริษัทเชี่ยวชาญการให้คำปรึกษาด้านการลงทุนทองคำชั้นนำจากสหรัฐ กล่าวว่า แนวโน้มความต้องการลงทุนในทองคำจะเพิ่มขึ้นจนถึงสิ้นปีนี้ โดยจะผลักดันให้ราคาทองแตะระดับ 1,300 ดอลลาร์ต่อออนซ์ และเป็นไปได้ว่าราคาอาจไปไกลกว่าระดับนี้

ก่อนหน้านี้โกลด์แมน แซคส์ กรุ๊ป อิงค์ คาดการณ์ในเดือนสิงหาคมปีนี้ว่า ราคาทองอาจแตะ 1,300 ดอลลาร์ต่อออนซ์ในอีก 6 เดือนข้างหน้า และ ดอยช์ แบงก์ เอจี ให้ข้อมูลเมื่อต้นเดือนมิถุนายนปีนี้ว่า ราคาทองอาจพุ่งถึงระดับ 1,700 ดอลลาร์ต่อออนซ์ เมื่อค่าเงินในตลาดทั่วโลกดิ่งและซบเซา   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us