สำหรับนักธุรกิจการค้า และการลงทุน ชาวต่างประเทศในกัมพูชาแล้ว จะมีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในนิยามของคำกล่าวที่ว่า
"เสี่ยงและไม่นอน แต่ก็มีความหวัง"
เสี่ยงและไม่แน่นอนก็เพราะว่า แม้พรรคการเมืองทั้งสี่ของเขมรจะสามารถตกลงในการจัดตั้งรัฐบาลผสมชั่วคราวใดก็ตาม
แต่เขมรแดงที่เป็นตัวแปรสำคัญทางการเมืองยังคงอยู่นอกวงเจรจาทั้งยังไม่สามารถตกลงกันได้ในประเด็นของการจัดตั้งกองทัพแห่งชาติ
อันเป็นสิ่งที่จะชี้วัดถึงความเป็นไปของกัมพูชา
ในขณะเดียวกัน สิ่งที่ยังคงรอคอยให้รัฐบาลแห่งชาติกัมพูชาดำเนินการบูรณะและฟื้นฟู
เพื่อความอยู่รอดของประเทศและชาวเขมรทั้งในระยะเฉพาะหน้าและระยะยาวก็คือ
ความทรุดโทรมของชาติทางเศรษฐกิจและสังคม ที่ดำรงสภาพมาอย่างต่อเนื่องกว่า
2 ทศวรรษ โดยในสายตาของนักธุรกิจที่หวังผลในระยะสั้นต่างมองไปในทิศทางเดียวกันว่าเป็นสิ่งที่ยากยิ่ง
แต่สำหรับนักธุรกิจการค้าและการลงทุนที่หวังผลในวันข้างหน้าแล้ว แม้จะรู้ว่าเสี่ยงและไม่แน่นอนในขณะนี้
แต่ก็ยังมีความหวังอยู่ว่า "กัมพูชา" คือ แดนสวรรค์ที่ควรค่าแก่การลงทุน
เพราะถึงที่สุดแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการเมือง หรือการลงทุน ล้วนแล้วแต่มีเป้าหมายเพื่อ
"ความอยู่รอดและผลประโยชน์" ควบคู่กันไป
การเลือกตั้งสมาชิกสภารัฐธรรมนูญของชาวกัมพูชาที่ดำเนินการ โดยองค์การบริหารชั่วคราว
แห่งสหประชาชน เพื่อการถ่ายโอนอำนาจในกัมพูชาหรืออันแทค ระหว่างวันที่ 23-28
พฤษภาคมที่ผ่านมา โดยพรรคฟุนซินเปก (FUNCINPEC) ภายใต้การนำของสมเด็จนโรดม
รณฤทธิ์ โอรสของเจ้าสีหนุ ประมุขแห่งรัฐในฐานะประธานสภาสูงสุดแห่งชาติ (SUPREME
NATIONAL COUNCIL : SNC) มีชัยชนะในการเลือกตั้งเหนือพรรคการเมืองอื่น ๆ
โดยมีจำนวนสมาชิกที่ได้รับเลือกตั้งจำนวน 58 ที่นั่ง
ในขณะที่พรรคประชาชนกัมพูชา (CAMBODIAN PEOPLE PARTY : CPP) ของรัฐบาลฝ่ายพนมเปญ
ซึ่งเป็นพรรคคู่แข่งทางการเมืองของพรรคฟุนซินเปก ได้รับเลือกตั้งจำนวน 51
ที่นั่ง พรรคประชาธิปไตยเสรีพระพุทธศาสนา (BUDDHIST LIBERAL DEMOCRATIC PARTY
: BLDP) ของนายซอน ซานน์ อดีตนายกรัฐมนตรีและพรรคโมลีนาคา (MOLINAKA) ซึ่งเป็นพรรคนิยมระบอบกษัตริย์
ได้รับเลือกตั้งจำนวน 10 ที่นั่ง และ 1 ที่นั่งตามลำดับ จากจำนวนสมาชิกทั้งหมด
120 ที่นั่ง ทั้งนี้โดยประชาชนชาวกัมพูชาได้ออกมาใช้สิทธิ์ลงคะแนนเสียงถึงร้อยละ
90 ของจำนวนผู้มีสิทธิ์ทั้งสิ้น 4.7 ล้านคน
แต่เนื่องจากผลการเลือกตั้งดังกล่าว ไม่มีพรรคการเมืองใดที่ได้รับเลือกตั้งด้วยคะแนนเสียงเกินกว่ากึ่งหนึ่ง
และถึงแม้ว่าเมื่อรวมจำนวนสมาชิกของพรรคฟุนซินเปกเข้ากับพรรคประชาธิปไตยเสรีฯ
และพรรคโมลีนาคา ซึ่งเป็นพรรคพันธมิตรทางการเมืองแล้ว จะสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ก็ตาม
แต่ประเด็นทางการเมืองของกัมพูชาที่มีความสำคัญยิ่งกว่าการจัดตั้งรัฐบาลก็คือ
การร่างรัฐธรรมนูญการปกครองประเทศและการผ่านร่างรัฐธรรมนูญออกมาบังคับใช้
ซึ่งการที่จะทำเช่นนั้นได้ จำเป็นต้องได้รับการรับรองจากสมาชิกสภาฯ ด้วยคะแนนเสียง
2 ใน 3 ของจำนวนสมาชิกสภาทั้งหมด 120 ที่นั่ง
พรรคพันธมิตรทางการเมืองทั้ง 3 พรรค จึงต้องอาศัยคะแนนเสียงสนับสนุนจากสมาชิกสภาฯ
ของพรรคประชาชนที่คุมอำนาจทางการเมืองและการบริหารกัมพูชามาเป็นเวลาเกือบ
14 ปี
ฉะนั้น รูปลักษณ์ของการจัดตั้งรัฐบาลกัมพูชา จึงปรากฏออกมาในรูปของรัฐบาลชั่วคราวที่เป็นการผสมระหว่าง
4 พรรคการเมืองที่เป็นการถ่างดุลอำนาจการบริหารงานชั่วคราว ระหว่าง 2 พรรคการเมืองใหญ่
คือ พรรคฟุนซินเปกกับพรรคประชาชน โดยการเห็นชอบร่วมกันให้เจ้ารณฤทธิ์กับนายฮุน
เซน ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสันติสุข
(มหาดไทย) ร่วมกัน ในขณะเดียวกันก็มีการจัดแบ่งความรับผิดชอบในการบริหารงานกระทรวงที่เกี่ยวกับเศรษฐกิจและการต่างประเทศให้เป็นโควต้าของพรรคฟุนซินเปก
ส่วนพรรคประชาชนได้รับโควต้าในกระทรวงที่เกี่ยวกับกิจการภายในประเทศเป็นส่วนใหญ่
สภาพเช่นนี้ยังคงจะดำรงต่อไป จนกว่าจะมีการผ่านร่างรัฐธรรมนูญและประกาศบังคับใช้ภายในเดือนกันยายน
โดยหลังจากนั้น รูปลักษณ์ทางการเมืองและรัฐบาลของกัมพูชาจะเป็นเช่นใด ย่อมขึ้นอยู่กับบทบัญญัติและข้อกำหนดของรัฐธรรมนูญอันจะเกิดขึ้นด้วยการตกลงและการต่อรองระหว่างพรรคพันธมิตร
3 พรรคกับพรรคประชาชนของฝ่ายพนมเปญ
ประเด็นการต่อรองที่มีความสำคัญต่ออำนาจทางการเมืองระหว่างพรรคการเมืองในขณะนี้ก็คือ
ประเด็นในการรวมกองทัพแห่งชาติที่พรรคพันธมิตรทั้ง 3 เสนอให้มีการรวมกองกำลังของฝ่ายเขมรแดงเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของกองทัพแห่งชาติด้วย
ในขณะที่พรรคประชาชนต้องการให้การจัดตั้งรัฐบาลแห่งชาติจำเป็นต้องได้รับการรับรองจากสมาชิกสภาฯ
ด้วยคะแนนเสียงสนับสนุน 2 ใน 3 ของจำนวนสมาชิกสภาฯ ทั้งหมด
"แม้ว่าทั้ง 2 ฝ่ายจะมีข้อเสนอที่แตกต่างกันแต่ก็เพื่อเป้าหมายเดียวกัน
คือ การรักษาอำนาจทางการเมืองของฝ่ายตนให้ได้มากที่สุด โดยการที่พรรคฟุนซินเปก
และพรรคพันธมิตรต้องการให้มีการรวมกองกำลังฝ่ายเขมรแดงเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของกองทัพแห่งชาติ
ก็เพื่อให้เป็นการดุลอำนาจทางการทหารกับฝ่ายพนมเปญ ในขณะที่ฝ่ายพนมเปญก็ต้องการดำรงบทบาทและฐานะอำนาจทางการเมืองของพรรคต่อไป
ฉะนั้นข้อเสนอให้มีการกำหนดลงในรัฐธรรมนูญในส่วนที่เกี่ยวกับการจัดตั้งรัฐบาลด้วยเสียงรับรองจากสมาชิกสภาฯ
2 ใน 3 นั้นนับเป็นหลักประกันอนาคตทางการเมืองของพรรคประชาชน ไม่ว่าพรรคจะตกอยู่ในสถานะผู้ชนะหรือผู้แพในการเลือกตั้ง"
แหล่งข่าวนักการฑูตอาวุโสในกรุงพนมเปญฯ กล่าวกับ "ผู้จัดการ"
แนวโน้มทางการเมืองของกัมพูชาในระยะเฉพาะหน้าเป็นสิ่งที่ยากยิ่งสำหรับการทำความเข้าใจกับสภาพการณ์ที่ดำรงอยู่ในปัจจุบัน
ทั้งนี้เนื่องจากเป็นช่วงเวลาของการต่อรองเพื่อการจัดสรรและจัดระบบอำนาจทางการเมือง
ฉะนั้นภาพของความเคลื่อนไหวและเงื่อนไขที่ปรากฏออกมาอย่างต่อเนื่องจึงเป็นภาพลักษณ์ของ
"ความไม่แน่นอน" ทางการเมือง
แต่สำหรับการวิเคราะห์ในวงการฑูตและวงการนักธุรกิจการค้าการลงทุนแล้ว ต่างมีความเชื่อมั่นว่า
การเมืองของกัมพูชาจะมีพัฒนาการไปในแนวทางที่ดีขึ้นเรื่อย ๆ ในระยะยาว
เพราะอย่างน้อยการที่พรรคการเมืองทั้ง 4 พรรคสามารถตกลงในการจัดตั้งรัฐบาลผสมชั่วคราวได้นั้น
นับได้ว่าเป็นความสำเร็จในการประนีประนอมทางการเมืองขั้นแรกของกัมพูชาที่ไม่เคยเกิดขึ้นในความเป็นจิรงมาเป็นเวลาเกือบ
2 ทศวรรษ และถึงแม้ว่าความสำเร็จทางการเมืองในครั้งนี้จะปราศจากการเข้ามามีส่วนร่วมโดยตรงของฝ่ายเขมรแดงก็ตาม
แต่ความสัมพันธ์ในทางอ้อมระหว่างพรรคฟุนซินเปกและฝ่ายซอน ซานน์ที่มีต่อฝ่ายเขมรแดงในฐานะพันธมิตรทางการเมืองแล้ว
ย่อมถือได้ว่าเป็นความสัมพันธ์ทางการเมืองที่ไม่ได้ตีกันและโดดเดี่ยวฝ่ายเขมรแดงออกไปจากการมีส่วนร่วมทางการเมืองของกัมพูชา
ทั้งยังเป็นหลักประกันสำหรับการเข้ามามีส่วนร่วมทางการเมืองโดยตรงของฝ่ายเขมรแดงในอนาคตที่ไม่นานเกินรอ
"ผมมีความเชื่อมั่นว่า ปัญหาต่าง ๆ ในทางการเมืองของกัมพูชาทุกฝ่ายจะสามารถจัดสรรอำนาจระหว่างกันได้อย่างลงตัวก่อนที่จะมีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญในเดือนกันยายน
เพราะในขั้นตอนของการร่วมกันร่างรัฐธรรมนูญนี้ ในความเป็นจริงแล้วก็คือ ขั้นตอนของการเจรจาต่อรองเพื่อการจัดระบบความสัมพันธ์และการจัดสรรอำนาจทางการเมืองในระยะยาว"
นายไมเคิล วอร์ด นักวิชาการอาวุโสประจำสำนักงานแผนการบูรณะฟื้นฟูกัมพูชาของอันแทค
กล่าวกับ "ผู้จัดการ" ที่กรุงพนมเปญ
ซึ่งในที่สุดแล้ว การประกาศบังคับใช้รัฐธรรมนูญก็คือ การประกาศรับรองสถานภาพอย่างเป็นทางการของรัฐบาลแห่งชาติที่แปรสภาพมาจากรัฐบาลชั่วคราว
รับรองสภาแห่งชาติที่แปรสภาพมาจากสภารัฐธรรมนูญรับรองการดำรงอยู่ของประธานาธิบดี
หรือประมุขแห่งรัฐที่แปรสภาพมาจากประธานสภาสูงสุดแห่งชาติ ซึ่งต้องหมดภาระและบทบาทลงด้วยการถูกแทนที่โดยสภาแห่งชาติ
(NATIONAL ASSEMBLY) และรับรองการจัดตั้งกองทัพแห่งชาติที่เกิดจากการรวมกองกำลังทหารของเขมรทั้ง
4 ฝ่าย ทั้งนี้อยู่ภายใต้อำนาจบัญชาการสูงสุดของประมุขแห่งรัฐ ซึ่งในที่นี้หมายถึงสมเด็จนโรดม
สีหนุ นั่นเอง
โดยจุดเปลี่ยนที่มีความสำคัญต่อพัฒนาการทางการเมืองของกัมพูชาดังกล่าว นับเป็นผลโดยตรงที่มีสาเหตุมาจากแรงกดดันทั้งภายในและภายนอกประเทศที่กัมพูชาจำเป็นต้องดำเนินการทุกวิถีทาง
เพื่อการบูรณะและฟื้นฟูประเทศชาติทั้งในทางเศรษฐกิจและสังคมให้ควบคู่ไปกับการพัฒนาทางการเมือง
ซึ่งการที่จะสามารถกระทำได้เช่นนั้นทั้งในระยะเฉพาะหน้าและระยะยาว กัมพูชาจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องอาศัยแรงหนุนและความช่วยเหลือตลอดจนความร่วมมือจากต่างประเทศในทุก
ๆ ด้าน เฉพาะอย่างยิ่งในด้านเศรษฐกิจของชาติ
เนื่องจากในช่วงตั้งแต่ปี 2522 - 2534 ที่ผ่านมา รัฐบาลกัมพูชาภายใต้อำนาจการบริหารทางการเมืองการปกครองของรัฐบาลฝ่ายพนมเปญ
ที่มีนายฮุนเซน เป็นนายกรัฐมนตรีได้นำระบบเศรษฐกิจของชาติไปผูกติดและพึ่งพาทางเศรษฐกิจโดยตรงกับระบบเศรษฐกิจของสหภาพโซเวียตและกลุ่มประเทศคอมมิวนิสต์
ทำให้ความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจการค้าและการลงทุนมีพัฒนาการในวงจำกัด ไม่ว่าจะเป็นระบบตลาดรองรับการส่งสินค้าออก
และแหล่งสินค้านำเข้า ตลอดจนแหล่งความช่วยเหลือเพื่อการพัฒนาทั้งทางการเมือง
เศรษฐกิจ และสังคม ตลอดจนทางการทหารและอาวุธยุทโธปกรณ์ล้วนแล้วแต่ต้องพึ่งพาจากสหภาพโซเวียตและกลุ่มประเทศคอมมิวนิสต์ด้วยกันทั้งสิ้น
ในช่วง 10 ปีแรกของการเปลี่ยนแปลงอำนาจทางการเมืองในกัมพูชา (2523-2533)
ภายหลังจากที่เวียดนามได้ส่งกำลังทหารเข้ามาช่วยฝ่ายพนมเปญในการขับไล่และยึดอำนาจทางการเมืองจากฝ่ายเขมรแดงเป็นผลสำเร็จในปี
2522 รัฐบาลพนมเปญสามารถส่งสินค้าออกไปยังตลาดของสหภาพโซเวียตและกลุ่มประเทศคอมมิวนิสต์
คิดเป็นมูลค่าทั้งสิ้น 57,694,000 ดอลลาร์สหรัฐ ในขณะเดียวกันก็มีการนำสินค้าเข้าเพื่อการอุปโภคบริโภคภายในประเทศ
และสินค้าประเภทเครื่องจักรกล คิดเป็นมูลค่าถึง 75,720,300 ดอลลาร์สหรัฐ
ทำให้กัมพูชาต้องประสบกับภาวะขาดดุลการค้าอย่างต่อเนื่องจำนวน 18,026,300
ดอลลาร์สหรัฐ
และในช่วงเวลาเดียวกันนี้ รัฐบาลพนมเปญได้กู้ยืมเงินจากต่างประเทศสำหรับใช้เป็นงบประมาณในการบริหารและพัฒนาประเทศมีมูลค่ารวมถึง
2,420 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่ขีดความสามารถของรัฐบาลพนมเปญในการชำระหนี้คืนมีอยู่อย่างจำกัด
ทั้งนี้ในช่วงระหว่างปี 2525-2533 ที่ผ่านมา รัฐบาลพนมเปญสามารถชำระหนี้คืนได้เพียง
28 ล้านดอลลาร์สหรัฐเท่านั้น ฉะนั้นหนี้ต่างประเทศที่รัฐบาลพนมเปญยังคงค้างชำระจนถึงปัจจุบัน
ซึ่งจะตกเป็นภาระความรับผิดชอบของรัฐบาลใหม่หรือรัฐบาลแห่งชาติในการชำระคืน
มีมูลค่าถึง 2,392 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยยังไม่รวมหนี้อันเนื่องมาจากการขาดดุลการค้าจำนวน
18,026,300 ดอลลาร์สหรัฐ
ปัญหาการขาดดุลการค้า ภาระหนี้สินมหาศาลเป็นเสมือนแอกอันหนักอึ้งที่กดทับกัมพูชาไว้กับความยากเข็ญ
ทำให้รัฐบาลพนมเปญจำต้องดำเนินนโยบายปฏิรูปทางเศรษฐกิจในปี 2531 ทั้งนี้โดยการเปิดประเทศเพื่อรองรับการลงทุนจากต่างประเทศควบคู่ไปกับการพัฒนาระบบกลไกตลาดและการค้าภายในประเทศให้เสรีมากขึ้น
พร้อมกันนั้นก็มีการแปรรูปรัฐวิสาหกิจที่ประสบกับภาวะขาดทุนมาเป็นเวลากว่า
10 ปีให้เอกชนต่างประเทศเข้าไปบริหารอย่างกว้างขวาง
การดำเนินนโยบายปฏิรูปเศรษฐกิจของรัฐบาลพนมเปญดังกล่าว ได้กลายเป็นปัจจัยดึงดูดให้นักธุรกิจการค้าและการลงทุนจากต่างประเทศจำนวนมากถึง
599 บริษัทหลั่งไหลเข้าไปประกอบธุรกิจการค้าและการลงทุนในกัมพูชาทั้งในภาคการเกษตร
ภาคอุตสาหกรรม และภาคบริการ ตลอดจนการเช่าสิทธิหรือซื้อสิทธิในการบริหารรัฐวิสาหกิจจากรัฐบาลพนมเปญ
และได้ส่งผลให้การขยายตัวของการเติบโตทางเศรษฐกิจของกัมพูชาที่เคยติดลบมาตลอดระยะเวลา
10 ปีเริ่มที่จะขยายการเติบโตมากขึ้น
ผลผลิตมวลรวมทางเศรษฐกิจภายในประเทศได้ปรับตัวสูงขึ้นจากปี 2530 ถึงร้อยละ
16.2 ในปี 2531 ร้อยละ 2.4 ในปี 2532 ร้อยละ -0.1 ในปี 2533 และร้อยละ 13.5
ในปี 2534 หรือคิดเป็นมูลค่า 241.5 พันล้านเหรียญ 247.3 พันล้านเหรียญ 247
พันล้านเหรียญ และ 280.3 พันล้านเหรียญตามลำดับ ทั้งนี้โดยคิดจากค่าคงที่ของผลผลิตมวลรวม
207.9 พันล้านเหรียญในปี 2530
และหากพิจารณาถึงอัตราการเติบโตในแต่ละภาคเศรษฐกิจแล้ว พบว่าอัตราการเติบโตของผลผลิตในภาคการเกษตรจะปรับการขยายตัวในอัตราการเติบโตที่คงที่
โดยเฉลี่ยตั้งแต่ปี 2530-2534 ร้อยละ 5.3 ในขณะที่ภาคอุตสาหกรรมและภาคบริการกลับมีการขยายตัวเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ในปี 2534 ภาคอุตสาหกรรมและภาคบริการมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยร้อยละ 15.6
กับร้อยละ 37.5 ของผลผลิตรวมทั้งประเทศ หรือเพิ่มขึ้นจากปี 2533 ในอัตราร้อยละ
8.4 และร้อยละ 11.1 โดยในภาคอุตสาหกรรมนั้นคิดเป็นสัดส่วนของการขยายตัวของผลผลิตหัตถอุตสาหกรรมร้อยละ
54 อุตสาหกรรมก่อสร้างร้อยละ 38 อุตสาหกรรมเหมืองแร่ร้อยละ 7 และอุตสาหกรรมไฟฟ้าและแก๊สร้อยละ
1
ส่วนในภาคบริการนั้น คิดเป็นสัดส่วนของการขยายตัวของบริการทางการค้าร้อยละ
48 การคมนาคมขนส่งร้อยละ 7 การบริหาร-การศึกษาและสาธารณสุขร้อยละ 10 บริการบ้านเช่าร้อยละ
15 โรงแรม-ร้านอาหาร ร้อยละ 1 และบริการอื่น ๆ ร้อยละ 18
"การขยายตัวทางเศรษฐกิจของกัมพูชาในลักษณะก้าวกระโดดอย่างรวดเร็วเช่นนี้
มีปัจจัยที่เป็นตัวกระตุ้นในแง่จิตวิทยาการลงทุน 4 อย่าง กล่าวคือ ข้อตกลงสันติภาพระหว่างเขมร
4 ฝ่ายที่กรุงปารีส การอนุมัติงบประมาณเพื่อการดำเนินการถ่ายโอนอำนาจในกัมพูชาโดยสหประชาชาติจำนวนกว่า
2.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ การเสด็จกลับกัมพูชาของเจ้าสีหนุ และการดำเนินนโยบายปฏิรูปเศรษฐกิจโดยรัฐบาลพนมเปญ
ซึ่งทั้ง 4 ปัจจัยได้กลายเป็นปัจจัยดึงดูดให้นักธุรกิจการค้าและการลงทุนหลั่งไหลเข้ามาในกัมพูชามากเป็นประวัติการณ์"
พจน์ บุณยรัตพันธุ์ กรรมการผู้จัดการธนาคารกสิกร กัมพูชา กล่าวกับ "ผู้จัดการ"
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การลงทุนในธุรกิจภาคบริการได้มีการขยายตัวเพิ่มขึ้นในปี
2535 - กลางปี 2536 มีจำนวนถึง 243 ราย แบ่งออกเป็นการโรงแรม-ท่องเที่ยว
87 ราย การขนส่ง-โทรคมนาคม 55 ร่น ประกันภัย 13 ราย โฆษณา-บันเทิง 13 ราย
การเงินการธนาคาร 47 ราย ร้านอาหาร-ภัตตาคารและบริการอื่น ๆ 28 ราย ซึ่งคิดเป็นอัตราการเพิ่มของการขยายตัวจากปี
2530 ร้อยละ 69.5 ในปี 2535 และร้อยละ 83.9 ในกลางปี 2536 หรือคิดเป็นอัตราการเติบโตของภาคบริการในปี
2535 ร้อยละ 11.9 และในกลางปี 2536 ร้อยละ 8.5 ของการเติบโตทางเศรษฐกิจ
ขณะเดียวกัน รัฐบาลพนมเปญ ได้พยายามที่จะลดการขาดทุนของการประกอบการในรัฐวิสาหกิจที่มีอยู่ทั้งหมด
224 แห่ง โดยในปี 2534 รัฐบาลพนมเปญได้ขายรัฐวิสาหกิจจำนวน 33 แห่ง ให้เช่า
44 แห่ง และเป็นการร่วมทุนกับเอกชน 8 แห่ง ทั้งยังปรากฏว่า รัฐบาลพนมเปญและอำนาจการปกครองท้องถิ่นได้ตัดสินใจขายที่ดิน
อาคาร และบ้านที่เป็นทรัพย์สินของรัฐให้กับเอกชนทั้งในประเทศและต่างประเทศไปกว่า
100,000 หลังในราคาอย่างต่ำ 200,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อหลังขายที่ดินของรัฐเฉพาะในพนมเปญให้กับเอกชนอย่างน้อย
10,000 แปลงในราคาเฉลี่ย 5 - 200 ดอลลาร์สหรัฐต่อตารางเมตร
ทั้งนี้มีสาเหตุ เนื่องมาจากการที่รัฐบาลพนมเปญถูกตัดความช่วยเหลือในด้านงบประมาณจากสหภาพโซเวียต
และกลุ่มประเทศคอมมิวนิสต์ที่ประสบความล้มเหลวในการดำเนินนโยบายทางด้านเศรษฐกิจ
อันนำไปสู่การล่มสลายทางการเมืองและระบอบการปกครองในปี 2534 ทำให้รัฐบาลพนมเปญจำเป็นต้องพึ่งตนเอง
ในการดำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจชาติอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ด้วยเหตุที่ขาดประสบการณ์ในการบริหารและการจัดการในระบบเศรษฐกิจเสรี
ทำให้ต้องประสบกับปัญหาความไม่สมดุลในภาพรวมทางเศรษฐกิจที่เกิดจากความล้มเหลวในการบริหารการคลังและการใช้จ่ายงบประมาณแห่งชาติ
รัฐบาลพนมเปญต้องเผชิญปัญหาการขาดดุลงบประมาณรายจ่ายอย่างต่อเนื่องถึงร้อยละ
53.6 ในปี 2533 ร้อยละ 50.2 ในปี 2534 และร้อยละ 48.2 ในปี 2535 โดยในขณะที่รัฐบาลพนมเปญมีรายรับจากการส่งสินค้าออกและการเก็บภาษีอากรจำนวน
23,271.7 ล้านเรียล, 58,849.4 ล้านเรียล และ 96,500 ล้านเรียล กลับต้องใช้จ่ายงบประมาณไปในการบริหารการปกครอง
การป้องกันประเทศและเป็นเงินเดือนข้าราชการจำนวนถึง 50,208.5 ล้านเรียล,
118,110.6 ล้านเรียล และ 186,367 ล้านเรียลในปี 2533, 2534 และ 2535 ตามลำดับ
ภาพที่ขัดแย้งกันในทางเศรษฐกิจมหภาคของกัมพูชาก็คือ ในขณะที่อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจในภาคเอกชนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
แต่ในภาครัฐกลับมีพัฒนาการไปในทิศทางตรงกันข้าม ซึ่งสาเหตุที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่า
กลไกควบคุมและดำเนินการในนโยบายปฏิรูปเศรษฐกิจของรัฐทั้งในด้านธุรกิจการค้าและการลงทุน
เฉพาะอย่างยิ่งกลไกในการจัดเก็บภาษีการค้าและการลงทุนเป็นกลไกที่ขาดประสิทธิภาพและประสบการณ์ในการบริหารและการปฏิบัติที่เป็นจริง
ทั้งยังปรากฏด้วยว่า การใช้งบประมาณเพื่อการพัฒนาระบบกลไกสำหรับเป็นการรองรับการขยายตัวทางเศรษฐกิจ
เมื่อเปรียเบทียบกับการใช้งบประมาณไป เพื่อการบริหารการปกครองและการป้องกันประเทศแล้ว
พบว่างบประมาณรายจ่ายในปี 2535 ร้อยละ 84 หรือ 155,717 ล้านเรียล ถูกใช้ไปเพื่อการบริหารการปกครองและการป้องกันประเทศมีเพียงร้อยละ
16 หรือ 27,650 ล้านเรียลเท่านั้นที่ใช้เพื่อการพัฒนาระบบกลไกและโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจของประเทศ
ในส่วนของโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจก็อยู่ในสภาพที่ทรุดโทรมอย่างหนัก
เพราะขาดแคลนทั้งงบประมาณและวิทยาการสมัยใหม่ที่จะปรับปรุงพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานให้ดีขึ้น
ประกอบกับความช่วยเหลือจากสหภาพโซเวียตท่เคยมีอย่างต่อเนื่องต้องหยุดชะงักลง
เนื่องจากการล่มสลายทางการเมืองและเศรษฐกิจของสหภาพโซเวียตในปี 2534
ระบบการคมนาคมขนส่งทางบกในกัมพูชาที่มีพื้นที่ผิวถนนทั่วประเทศ 34,100 กิโลเมตร
แบ่งออกเป็นทางหลวงขนาด 2 ช่องทางเดินรถเชื่อมต่อระหว่างจังหวัด 3,000 กิโลเมตร
ถนนภายในตัวเมือง 3,100 กิโลเมตร และถนนดินลูกรังในเขตชนบท 28,000 กิโลเมตร
ส่วนใหญ่เป็นถนนที่สร้างเมื่อปี 2463-2473 โดยฝรั่งเศส ซึ่งอยู่ในสภาพที่ชำรุดมาตั้งแต่ปี
2513 เนื่องจากขาดการซ่อมบำรุงจนไม่อาจสามารถใช้การได้มากกว่า 20,460 กิโลเมตร
เฉพาะอย่างยิ่งในช่วงฤดูฝน ถนนดินลูกรังไม่สามารถใช้การได้เลย
ส่วนถนนที่สามารถใช้การได้ก็สามารถขับขี่ยานยนต์ในอัตราความเร็วเฉลี่ย 20-25
กิโลเมตรต่อชั่วโมงเท่านั้น ทำให้จำเป็นต้องใช้เส้นทางคมนาคมขนส่งทางน้ำแทน
ซึ่งมีระยะทางยาวตามแม่น้ำโขงและแม่น้ำบาสัค 1,750 กิโลเมตร แต่ที่สามารถใช้การได้ตลอดปีมีระยะทางเพียง
580 กิโลเมตรเท่านั้น
กัมพูชามีท่าเรือขนาดใหญ่ 2 แห่งที่กรุงพนมเปญและจังหวัดกัมปงโสม ท่าเรือที่กัมปงโสมนั้นถือเป็นท่าเรือน้ำลึกเพียงแห่งเดียวของประเทศที่สามารถรับน้ำหนักได้เพียง
45,000 เมตริกตันในปัจจุบัน จากที่เคยสามารถรับน้ำหนักได้ 954,000 - 1.2
ล้านเมตริกตันในปี 2512 ท่าเรือน้ำลึกที่กัมปงโสมนี้จะเป็นที่ขนถ่ายสินค้า
เพื่อลำเลียงเข้ามาที่ท่าเรือในกรุงพนมเปญ ส่วนในด้านการขนส่งทางอากาศนั้น
มีสนามบินที่สามารถใช้การได้ 4 แห่ง คือ ที่กรุงพนมเปญ พระตะบอง เสียมราฐ
และสตึงแตรง โดยที่กรุงพนมเปญเป็นสนามบินนานาชาติเพียงแห่งเดียวที่มีทางวิ่งยาว
3,000 เมตร สามารถรับน้ำหนักได้เพียงเครื่องบินโบอิ้ง 737 แต่ก็ขาดแคลนระบบการสื่อสารและควบคุมภาคพื้นดินและอากาศ
ในขณะเดียวกัน กัมพูชายังต้องประสบกับปัญหาขีดจำกัดในการขนส่งทางรถไฟ แม้ว่าในช่วงปี
2474-2513 กัมพูชาจะมีหัวจักรรถไฟถึง 30 คัน มีความยาวของรางรถไฟ 650 กิโลเมตร
แต่นับจากปี 2522 เป็นต้นมา หัวจักรรถไฟที่สามารถใช้การได้มีเพียง 5 คัน
วิ่งด้วยความเร็วเฉลี่ย 25-30 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และสามารถบรรทุกน้ำหนักได้เพียง
850 ตันเท่านั้น
และในส่วนของความสามารถในการผลิตกระแสไฟฟ้าเพื่อสนองความต้องการภายในประเทศนั้น
ปรากฏว่าสามารถสนองความต้องการในการใช้กระแสไฟฟ้าได้เพียงร้อยละ 16 หรือ
59 เมกะวัตต์ หรือ 165,000 ยูนิตในปี 2535 ที่ผ่านมา
ส่วนทางด้านการโทรคมนาคมนั้น กัมพูชามีโทรศัพท์จำนวน 4,000 หมายเลขในกรุงพนมเปญ
แต่สามารถใช้การได้ 3,000 หมายเลข โทรศัพท์ติดต่อภายในประเทศระบบอัตโนมัติจำนวน
500 หมายเลข และโทรศัพท์ติดต่อระหว่างประเทศระบบช่องสัญญาณดาวเทียม 7 ช่องสัญญาณ
INTELSAT ของออสเตรเลีย ติดต่อระหว่างพนมเปญ - ซิดนีย์ และ 5 ช่องสัญญาณของดาวเทียม
INTERSPUTINK ของโซเวียต ติดต่อระหว่างพนมเปญ - ฮานอย - โฮจิมินห์ - มอสโคว์
การบริการโทรศัพท์ที่มีอยู่น้อยมากเช่นนี้ ทำให้ไม่เพียงพอต่อความต้องการในการใช้เมื่อเทียบกับการขยายตัวทางเศรษฐกิจและส่งผลให้ราคาและค่าบริการอยู่ในอัตราที่สูง
อันเป็นผลโดยตรงที่ทำให้มูลค่าของการลงทุนต่อหน่วยสูงเกินระดับปกติ
จากสภาพที่โครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจมีอยู่อย่างจำกัดดังกล่าว ทำให้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อการขยายตัวของการค้าและการลงทุน
เฉพาะอย่างยิ่งในช่วงหลังจากที่อันแทคเข้าไปดำเนินการถ่ายโอนอำนาจ ตั้งแต่ต้นปี
2535 เป็นต้นมา ที่สภาวะของการค้าและการลงทุนจากต่างประเทศในกัมพูชาต้องชะลอตัวลง
และตกอยู่ในสภาวะชะงักงันในช่วงของการเลือกตั้งและการจัดสรรอำนาจทางการเมือง
เมื่อเดือนพฤษภาคมต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งมีบริษัทลงทุนจากต่างประเทศจำนวนอย่างน้อย
350 บริษัทหยุดดำเนินการทางธุรกิจชั่วคราว และมีบริษัทมากกว่า 200 บริษัทไม่เปิดดำเนินการ
แม้ว่าจะได้รับใบอนุญาตประกอบการแล้วก็ตาม
"นักธุรกิจส่วนใหญ่ที่หยุดหรือชะลอการดำเนินการทางการค้าและการลงทุน
เนื่องจากทุกคนต้องการรอดูสถานการณ์ทางการเมืองภายหลังการเลือกตั้ง เพื่อให้แน่ใจว่า
สถานการณ์จะดีขึ้นหรือไม่ ทั้งยังต้องการทราบถึงนโยบายเศรษฐกิจและการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจของรัฐบาลใหม่
จะมีทิศทางเช่นใด" วรรณกิตต์ วรรณศิลป์ กรรมการผู้จัดการธนาคารกัมพูชาพาณิชย์จำกัด
ให้ความเห็น
จากการสำรวจและประเมินเกี่ยวกับความจำเป็นเร่งด่วนในการปรับปรุงและพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจ
เพื่อให้สามารถสนองตอบความต้องการทางการค้าและการลงทุน โดยสำนักงานเพื่อการฟื้นฟูเศรษฐกิจของอันแทคพบว่า
รัฐบาลใหม่ของกัมพูชาจำเป็นต้องจัดหางบประมาณอย่างน้อย 227 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
เพื่อการบูรณะและปรับปรุงระบบโครงสร้างพื้นฐานที่ไม่สามารถใช้การได้ และในขณะเดียวกัน
ก็จำเป็นต้องจัดหางบประมาณจำนวน 25.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สำหรับเป็นค่าใช้จ่ายในการพัฒนาวัสดุอุปกรณ์ทางเทคนิค
ตลอดจนต้องจัดหางบประมาณจำนวน 30 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน
และเงินเดือนของเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลในระยะ 3 เดือนแรกของการดำเนินงาน
นั่นย่อมหมายความว่า รัฐบาลใหม่จำเป็นต้องมีการจัดระบบในการจัดเก็บภาษีอากรใหม่
เพื่อให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เพราะในช่วง 14 ปีที่ผ่านมา เศรษฐกิจชาติของกัมพูชาเป็นระบบที่ผูกติดและพึ่งพาความช่วยเหลือจากสหภาพโซเวียตและกลุ่มประเทศคอมมิวนิสต์
ซึ่งขาดประสบการณ์และขาดประสิทธิภาพในการบริหารระบบจัดเก็บภาษีอากร ทำให้เกิดช่องว่างที่สามารถหลบเลี่ยงการชำระภาษีการค้าได้
ทั้งยังเป็นช่องทางในการแสวงหาประโยชน์ของเจ้าหน้าที่อย่างกว้างขวาง
ทั้งนี้ โดยปรากฏว่า นับตั้งแต่การดำเนินนโยบายปฏิรูปเศรษฐกิจสู่ระบบตลาดเสรีเมื่อปี
2531 เป็นต้นมา ระบบการจัดเก็บภาษีการค้าของกัมพูชาสามารถปฏิบัติได้ในความเป็นจริงเพียงร้อยละ
20 ในขณะที่ร้อยละ 80 เป็นการหลบเลี่ยงภาษีด้วยความร่วมมือจากเจ้าหน้าที่ของรัฐผู้ได้รับผลประโยชน์จากการหลบเลี่ยงนั้น
แม้ว่ารัฐบาลพนมเปญจะประกาศใช้ระเบียบการจัดเก็บภาษีในอัตรา 15-25% สำหรับนิติบุคคล
5-10% สำหรับผลกำไร และ 2% สำหรับรายรับทั้งหมดในการประกอบการก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถปฏิบัติได้ในความเป็นจริง
เพราะการชำระภาษีการค้ายังคงเป็นสิ่งที่สามารถเจรจาต่อรองผลประโยชน์กันได้ระหว่างผู้ประกอบการกับเจ้าหน้าที่ของรัฐ
"ใครจะจ่ายมากจ่ายน้อยนั้น ไม่ได้ขึ้นอยู่กับความสามารถในการประกอบการและผลกำไร
หากแต่ขึ้นอยู่กับความสามารถในการต่อรองผลประโยชน์และขึ้นอยู่กับว่า ผู้ประกอบการทางธุรกิจการค้าและการลงทุนนั้น
มีระบบเครือข่ายโยงใยกับผู้ใหญ่คนไหนในประเทศนี้" เจ้าหน้าที่วางแผนการฟื้นฟูเศรษฐกิจกัมพูชาของอันแทค
กล่าวกับ "ผู้จัดการ"
ฉะนั้น การที่จะสามารถสร้างประสิทธิภาพเพื่อเพิ่มรายรับจากการจัดเก็บภาษีของรัฐบาลได้นั้น
ความจำเป็นในอันดับแรกก็คือ บรรดาผู้นำของเขมรฝ่ายต่าง ๆ จะต้องสามารถประนีประนอมในการจัดสรรอำนาจทางการเมือง
และการทหารระหว่างกันให้ได้ ทั้งยังจะเป็นทิศทางที่นำมาซึ่งการลงทุนและความช่วยเหลือจากต่างประเทศจำนวนมหาศาลในอนาคต
"มีนักลงทุนจากต่างประเทศเป็นจำนวนมาก คาดการณ์ว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างทันทีทันใดที่การเลือกตั้งสิ้นสุดลง
แต่สำหรับผมแล้ว มองไม่เห็นความเปลี่ยนแปลงที่เป็นจริงในทุกด้าน จนกว่าเดือนกันยายนที่จะมีการประกาศบังคับใช้รัฐธรรมนูญที่กำลังร่างอยู่ในขณะนี้
ซึ่งจะเป็นมาตรชี้วัดได้ว่า เศรษฐกิจ สังคม และการเมืองของกัมพูชาจะเดินหน้าหรือถอยหลัง
แต่ผมก็เชื่อมั่นว่า ทุกอย่างจะดีขึ้น เพราะถึงที่สุดแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการเมืองหรือเศรษฐกิจล้วนแต่มีเป้าหมายเพื่อผลประโยชน์และความอยู่รอด
และการที่จะสามารถประสบผลสำเร็จได้นั้นมีอยู่ทางเดียวเท่านั้น คือ การเสริมสร้างเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและการมองถึงผลประโยชน์ในระยะยาว"
จูเลส โธมัส ผู้จัดการทั่วไปบริษัท IMIC จำกัด ซึ่งคลุกคลีอยู่ในกัมพูชาเป็นเวลา
14 ปี กล่าวกับ "ผู้จัดการ" ในที่สุด