Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
นิตยสารผู้จัดการ 360 องศา กันยายน 2553
แซงต์-มาโลและดีนารด์             
โดย สุภาพิมพ์ ธนะพรพันธุ์
 


   
search resources

Entertainment and Leisure




จุดมุ่งหมายของคนพาไปแซงต์-มาโลอยู่ที่การลงน้ำทะเล วันแรกที่ไปนั้นอากาศกำลังสบาย ในขณะที่กรุงปารีสร้อนจัด จึงมองหาทางลงทะเล เห็นถนน rue des Bes จึงตรงไป มีสะพานไม้เล็กแคบบนกำแพงเมืองให้ยืนชมทัศนียภาพและมีบันไดแคบๆ ลงไปยังชายหาด Plage du Bon Secours หาดสีขาวนวลตัดกับสีน้ำทะเล ผู้คนจำนวนมากนอนอาบแดด เด็กเล็กเล่นทราย “คุณชาย” ไม่พูดพล่ามทำเพลง ขอลงทะเลก่อน จึงนัดหมายเวลาพบกัน

การลงน้ำทะเลเป็นกิจวัตรประจำวันระหว่างที่อยู่ที่แซงต์-มาโล ช่วงเช้าไม่ค่อยมีคน ประมาณ 11.00 น. ผู้คนจึงเริ่มเดินไปทางชายหาด Plage du Bon Secours และ Grande Plage หาดใหญ่ที่อยู่ถัดไป

หน้าหาด Plage du Bon Secours มีเกาะเล็กๆ 2 เกาะ ชื่อ Grand Be และ Petit Be ยามน้ำทะเลลด สามารถเดินไปที่เกาะทั้งสองได้ ด้วยเหตุนี้เทศบาลจะติดป้ายบอกเวลาที่น้ำทะเลลด ผู้คนไม่สามารถ เล่นน้ำได้ จึงพากันเดินข้ามไปยังเกาะ

เมื่อได้ยินผู้คนพูดถึงน้ำทะเลลด จึงรีบเดินไปยัง Plage du Bon Secours ขณะนั้นเวลา 15.30 น. ป้ายบอกว่าน้ำลดถึง 16.00 น. ประหวั่นว่าหากเดินข้ามไป จะไม่สามารถเดินกลับได้ จึงพยายามทัดทาน แต่ไม่เป็นผล จึงเดินลุยทรายและไต่ขึ้น Grand Be ไปจนถึงข้างบน และพลันก็เห็นมุมหนึ่งที่ยื่นไปในทะเลมีไม้กางเขนปักอยู่ บอกให้รู้ว่าเป็นหลุมฝังศพของใครคนหนึ่ง และใครคนนั้นคือ ชาโตบริอองด์ (Chateaubriand) นักเขียนดังของฝรั่งเศสนั่นเอง

ฟรองซัวส์-เรอเน วิกงต์ เดอ ชาโต บริอองด์ (Fran‚ois-Rene, vicomte de Chateaubriand) เกิดที่แซงต์-มาโลในครอบครัวขุนนางที่ยากจน หากผู้เป็นพ่อทำการค้าจนร่ำรวยและซื้อปราสาทกงบูรก์ (Chateau de Combourg) ไว้ ฟรองซัวส์ เรอเน เดอ ชาโตบริอองด์หรือที่เรียกกัน สั้นๆ ว่า ชาโตบริอองด์รับราชการทหารจนกระทั่งปี 1792 ได้รับบาดเจ็บ จึงถูกส่ง ตัวไปพักฟื้นที่เกาะเจอร์ซีย์ (Jersey) การเป็นทหารจึงสิ้นสุดลง หลังจากนั้นเขาเดินทางไปพำนักที่ลอนดอน เขียน Essai sur les revolutions anciennes et modernes dans leur rapport avec la Revolution fran‚aise ครอบครัวของชาโตบริอองด์ส่วนหนึ่งถูกกีโยตีน เขาเดินทางกลับฝรั่งเศส ในปี 1800 และเขียนเรื่อง Atala และร้อยกรองชื่อ Rene เป็นยุคเริ่มต้นของวรรณกรรมแบบ romantisme ของฝรั่งเศส ใน Rene เขาบรรยายความรักที่แอบซุกซ่อนที่เขามีต่อลูซิล (Lucile) น้องสาวของตนเอง

นโปเลอง (Napoleon) ให้ชาโตบริอองด์ไปเป็นเลขาทูตที่กรุงโรม ต่อมาเป็น ผู้แทนฝรั่งเศสประจำ Republique du Valais เมื่อทราบข่าวว่าดุ๊กแห่งอองแกง (Duc d’Enghien) ถูกฆ่าตาย ชาโตบริอองด์จึงลาออกและหันมาต่อต้านนโปเลอง หลังจากนั้นเดินทางไปยังกรีซ เอเชียไมเนอร์ ปาเลสไตน์ อียิปต์ พอเดินทางกลับ ถูกนโปเลองขับจากกรุงปารีส ชาโตบริอองด์เขียนใบปลิวต่อต้านจักรวรรดิและสนับสนุนการคืนอำนาจของราชวงศ์บูร์บง (Bourbon) ด้วยเหตุนี้ชาโตบริอองด์จึงได้กลับมารับราชการในสมัยหลุยส์ที่ 18

ชาโตบริอองด์ได้รับการแต่งตั้งเป็นราชบัณฑิตในปี 1811 เขาถึงแก่กรรมที่ปารีสในปี 1848 เขาอยากให้ร่างของเขาฝังที่แซงต์-มาโล และดำเนินเรื่องตั้งแต่ยังมีชีวิตอยู่ ซึ่งกว่าทางการจะอนุมัติก็ใช้เวลานาน และในที่สุดชาโตบริอองด์ก็ได้นอนฟังเสียงทะเลและรับสายลมที่โชยมาบนเกาะ Grand Be ในแซงต์-มาโล

ชาโตบริอองด์เขียนเรื่อง Memoires d’Outre-tombe และสั่งว่าให้เผยแพร่หลังจากที่เขาเสียชีวิตแล้ว นักสร้างภาพยนตร์ฌอง เปริสเซ (Jean Perisse) นำเค้าโครงมาสร้างเป็นภาพยนตร์เรื่อง L’Occitanienne ou le dernier amour de Chateaubriand ในปี 2008

รำลึกถึงชาโตบริอองด์เรียบร้อยแล้ว ได้เวลาเดินอ้อมเกาะไปอีกด้านหนึ่งเพื่อไต่ลงมาบนหาดทราย เห็นป้ายประกาศห้ามมิให้เดินข้ามจาก Grand Be ไปยัง Petit Be ยามน้ำทะเลขึ้น เพราะกระแสน้ำพัดแรง จึงไม่เห็นใครเดินข้ามไป ยกเว้นที่เดินจากหาดตรงไปยัง Petit Be โดยตรง เพื่อชมป้อมปราการผลงานของโวบอง (Vauban) และบน Petit Be นี่เองที่ทหารเยอรมันไปตั้งบังเกอร์เพื่อสังเกตการณ์น่านน้ำ

ขึ้นกำแพงมืองแซงต์-มาโลไปจนถึง หอคอยเพื่อชมทิวทัศน์ และข้ามสะพานที่เชื่อมกำแพงเมืองกับลานที่รัฐบาลแคนาดา สร้างให้ จึงเห็นธงแคนาดาปักอยู่ มีรูปปั้นของโรแบรต์ ซูร์กุฟ corsaire คนสำคัญของ แซงต์-มาโล มือข้างหนึ่งชี้ไปยังทิศทาง ประเทศอังกฤษ นอกจากนั้นยังมี Maison du Canada อันเสมือนสถาบันวัฒนธรรม และการท่องเที่ยวของแคนาดาตั้งอยู่ด้วย

เดินไปจนถึงประตูแซงต์-แวงซองต์ (Porte Saint-Vincent) เต็นท์สีขาวตั้งเรียงราย พวกอาร์ติสต์นำผลงานมาขาย มีร้านอาหารขนาดใหญ่ รวมทั้งโรงแรมที่ดูหรู สะดุดตากับร้านหนึ่งที่มีอาหารทะเลเสิร์ฟสำหรับ 2 คนในสนนราคาไม่แพง เป็น plateau des fruits de mer ถาด 2 ชั้นที่เต็มไปด้วยกุ้ง หอย และปู พร้อมเครื่องมือหลากชนิด

ด้านหนึ่งของ Porte Saint-Vincent คือส่วนที่เรียกว่า chateau de Saint-Malo ซึ่งเป็นที่ตั้งของเทศบาลและพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์เมืองแซงต์-มาโล (Musee d’hisoire de la ville) เนื่องจากแซงต์-มาโล เป็นเมืองท่าที่มีประวัติยาวนาน พิพิธภัณฑ์ จึงเต็มไปด้วยเรื่องราวเกี่ยวกับเรือ การเดิน เรือ วิถีชีวิตของชาวเรือ ความเป็นมาของคริสต์ศาสนาในแซงต์-มาโล รวมทั้งภาพเขียนเกี่ยวกับเมืองนี้มีภาพของปอล ซีญัก (Paul Signac) โอธง ฟริซ (Othon Friez) และจิตรกรชาวอังกฤษ นอกจากนั้นยังมีเรื่องราวของบุคคลสำคัญที่เป็นชาวเมืองแซงต์-มาโล เช่น ชาโต บริอองด์ ฌาคส์ การ์ทีเอร์ เรอเน ดูเกย์-ทรูแอง เป็นต้น เนื่องจากพิพิธภัณฑ์อยู่ในหอคอยใหญ่ จึงมี บันไดวนแคบนิดเดียวขึ้นไปชั้นบนสุด ได้เห็นทิวทัศน์ของเมืองอย่างจุใจ

ผู้สร้าง Chateau de Saint-Malo คือ ฌองที่ 5 แห่งเบรอะตาญ (Jean V de Bretagne) พ่อของอานน์แห่งเบรอะตาญ (Anne de Bretagne) ซึ่งภายหลังเป็นราชินีของชาร์ลส์ที่ 8 กษัตริย์ฝรั่งเศส เบรอะตาญจึงกลายเป็นแคว้นหนึ่งของฝรั่งเศส

อีกด้านหนึ่งของ Porte Saint-Vincent เต็มไปด้วยร้านอาหารตลอดแนวกำแพง ไม่ค่อยสนใจนักเพราะคิดว่าเป็นร้านอาหารสำหรับนักท่องเที่ยวมากกว่า การเดินเล่นไปจบลงที่ Hotel d’Asfeld ซึ่งเป็นที่พำนักของฟรองซัวส์-โอกุสต์ มากง (Fran‚ois-Auguste Magon) corsaire ชาวแซงต์-มาโล ได้ชมห้องใต้ดินซึ่งเป็นสถานที่เก็บอาหารที่นำเข้ามาทางเรือ Hotel d’Asfeld เป็นอาคารเพียงไม่กี่แห่งใน intra muros ที่รอดพ้นจากการทิ้งระเบิดในสงครามโลกครั้งที่สอง   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us