และแล้วก็ถึงยุคที่อำนาจของแบงก์ชาติในการกำหนดทิศทางทางการเงินของประเทศเริ่มถูกตั้งถามว่า
ยังศักดิ์สิทธิ์อยู่หรือไม่ จากกรณีที่ใช้วิธี "การขอความร่วมมือ"
จากธนาคารพาณิชย์ให้ลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลงมาเมื่อสองเดือนที่แล้ว กว่าที่แบงก์พาณิชย์จะยอมลดดอกเบี้ยเงินกู้สำหรับลูกค้าทั่วไปลง
0.25% ทางแบงก์ชาตต้องทำสงครามเย็นหรือสร้างแรงกดดันกับบรรดานายแบงก์เป็นเวลานานกว่า
3 อาทิตย์
เครื่องมือที่แบงก์ชาติจะใช้สำหรับการบริหารนโยบายทางการเงินภายในประเทศที่สำคัญ
ภายใต้ระบบการเงินที่มีแนวโน้มเสรีมากขึ้น ได้แก่ การปรับอัตราดอกเบี้ยมาตรฐาน
(BANK RATE) การเปลี่ยนแปลงอัตราเงินสำรองตามกฎหมาย (LIGVIDITY RATIO) และการซื้อขายพันธบัตรรัฐบาล
(OPERN-MARKET OPERATIONS)
การใช้เครื่องมือข้างต้นจะมีผลกระทบต่อปริมาณเงินในระบบ จึงถือเป็นเครื่องมือการควบคุมเชิงปริมาณ
ต่างจาก "การขอความร่วมมือ" ที่เป็นการควบคุมเชิงคุณภาพ
การประกาศลดแบงก์เรตจาก 11% เป็น 10% เมื่อวันที่ 1 มิถุนายนที่ผ่านมา แบงก์ชาติมีเจตนาสำคัญที่จะลดต้นทุนการกู้เงินของแบงก์พาณิชย์
เพื่อที่แบงก์พาณิชย์จะได้ลดดอกเบี้ยเงินให้กู้กับประชาชนทั่วไป แต่เนื่องจากวงเงินกู้ที่กำหนดไว้ต่ำเพียง
1% ของยอดเงินรับฝากและต้องเป็นการกู้สำหรับการขาดดุลหักบัญชี หรือเพื่อดำรงสินทรัพย์สภาพคล่องเท่านั้น
เครื่องมือดังกล่าวจึงไม่มีประสิทธิภาพอย่างเพียงพอ โดยเฉพาะในสถานการณ์ปัจจุบันที่การกู้เงินจากต่างประเทศสามารถกระทำได้อย่างสะดวกยิ่ง
ไม่จำเป็นต้องอาศัยเงินจากแบงก์ชาติเป็นแหล่งพึ่งพิงสุดท้าย
ขณะที่การเปลี่ยนแปลง LIGVIDITY RATIO จะส่งผลกระทบที่รุนแรงต่อการขยายตัวของเงินฝากและสินเชื่อ
จึงทำให้หลายประเทศปฏิเสธที่จะใช้เครื่องมือดังกล่าว
"แบงก์ชาติจะใช้ LIGVIDITY RATIO เป็นเครื่องมือก็ต่อเมื่อเศรษฐกิจช่วงนั้นต้องการได้รับการเยียวยาอย่างฉับพลัน
เช่น การเพิ่ม LIGVIDITY RATIO จากร้อยละ 7 เป็นร้อยละ 8 เพื่อแก้ปัญหาเงินเฟ้ออย่างรุนแรง
ภายหลังวิกฤติการณ์น้ำมันครั้งที่ 1" เจ้าหน้าที่ฝ่ายการธนาคาร ธนาคารแห่งประเทศไทย
เล่าให้ "ผู้จัดการ" ฟัง
แต่คงจำได้ว่า การเพิ่ม LIGVIDITY RATIO ในครั้งนั้นได้ส่งผลให้เกิดภาวะเงินตึงในปีถัดมา
และทางการต้องปรับลดเหลืออัตราร้อยละ 7 ตามเดิมในปีถัดมาทันที
OPEN-MARKET OPERATIONS จึงเป็นเครื่องมือเดียวของทางการที่ทำให้ดอกเบี้ยมีการเปลี่ยนแปลงตามกลไกตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ
สำหรับประเทศไทยการใช้เครื่องมือดังกล่าวจะกระทำผ่านตลาดซื้อคืน โดยทางการเข้าทำการซื้อหลักทรัพย์
ซึ่งคือการอัดฉีดเงินเข้าระบบเมื่อต้องการให้เศรษฐกิจขยายตัวและจะกระทำตรงกันข้ามในกรณีที่เศรษฐกิจกำลังเผชิญกับภาวะเงินเฟ้อ
ทำไมแบงก์ชาติไม่ใช่ OPEN-MARKET OPERATIONS เป็นเครื่องมือแทรกแซงให้ดอกเบี้ยลดลงในช่วงเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา
เพื่อสอดคล้องกับบรรยากาศระบบการเงินเสรีในปัจจุบัน
ฐานิสร์ จาตุรงคกุล (นักเศรษฐศาสตร์การเงิน) ผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายวิจัย
ธนาคารกรุงเทพ ที่ติดตามการดำเนินงานของแบงก์ชาติมานานได้ตั้งข้อสังเกตให้
"ผู้จัดการ" ฟังอย่างสนใจว่า "จำนวนพันธบัตรที่เหลือในระบบมีไม่มากเพียงพอที่แบงก์ชาติจะเข้าทำการซื้อ
(OPEN MARKET PURCHASE) แล้วจะส่งผลกระทบต่ออัตราดอกเบี้ย…แบงก์ชาติจึงไม่ทำเพราะทำไม่ได้"
ปัจจุบันแบงก์พาณิชย์ต้องดำรงสินทรัพย์ตามกฎหมายในอัตราร้อยละ 7 ของยอดเงินรับฝากในรูปลักษณ์ต่าง
ๆ คือ (1) เงินฝากที่แบงก์ชาติไม่ต่ำกว่าร้อยละ 2 ของยอดเงินฝาก (2) ถือไว้ไม่เกินร้อยละ
2.5 ของยอดเงินฝาก และ (3) หลักทรัพย์รัฐบาลไทยที่ปราศจากภาระผูกพัน
โดยทั่วไป แบงก์พาณิชย์จะถือพันธบัตรในสัดส่วนที่จะทำให้การดำรงสินทรัพย์ครบร้อยละ
7 ของยอดเงินฝากตามกฎหมายเท่านั้น เพราะไม่เพียงผลตอบแทนที่ต่ำ แต่ตลาดรองที่แทบจะไม่มีสภาพคล่องเลย
ทำให้เกิดแรงจูงใจที่จะถือพันธบัตรไว้ แบงก์พาณิชย์จะเลือกถือพันธบัตรในสัดส่วนสูงที่สุดที่สามารถทำได้
คือ ประมาณร้อยละ 3-4 ของยอดเงินฝากเท่านั้น
แม้ทางการจะประกาศยกเลิกให้ธนาคารพาณิชย์ไม่ต้องถือหลักทรัพย์ร้อยละ 5.5
เพื่อการเปิดสาขาในช่วงเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา หาได้ช่วยให้จำนวนพันธบัตรในระบบเพิ่มเท่าจำนวนดังกล่าวไม่
เพราะไม่ทุกประเภทของพันธบัตรที่สำรองเพื่อการเปิดสาขาจะสามารถนำมาซื้อขายในตลาดซื้อคืนกรณีพันธบัตรไอเอฟซีทีเป็นตัวอย่างได้ชัดเจน
ขณะเดียวกัน แบงก์พาณิชย์ต้องนำพันธบัตรจำนวนร้อยละ 1 ของยอดเงินฝากไปไว้ที่แบงก์ชาติเพื่อเป็นหลักประกันในการกู้เสมอ
ดังนั้นด้วยปัจจัยต่าง ๆ เหล่านี้ จำนวนพันธบัตรรัฐบาลที่อยู่ในมือธนาคารพาณิชย์ในปัจจุบันมีไม่มากพอ
ที่แบงก์ชาติจะเข้าทำการซื้อ (OPEN-MARKET PURCHASE) เพื่อเพิ่มปริมาณเงินในตลาด
แล้วจะส่งผลให้ดอกเบี้ยลดลง
หนทางเดียวที่แบงก์ชาติจะใช้เครื่องมือได้อย่างมีประสิทธิภาพจึงต้องพัฒนาตลาดรองพันธบัตรให้มีขนาดใหญ่และมีสภาพคล่องมากขึ้น
"ตลาดรองเรายังเล็กมากต้องเร่งแก้ไขโดยด่วน นอกเหนือจากระบบการโอนเงินที่ยังไม่สะดวก
ซึ่งขณะนี้ทางแบงก์ชาติก็เร่งทำอยู่" ศิริชัย สาครรัตนกุล รองผู้อำนวยการฝ่ายวิชาการของแบงก์ชาติที่ดูแลเรื่องการพัฒนาตราสารหนี้มาเป็นเวลานานกล่าวกับ
"ผู้จัดการ"
ความจำเป็นที่ต้องแก้ไขข้อกำหนดตามกฎหมาย มีความสำคัญไม่น้อยไปกว่าการพัฒนาตลาดรอง
เพื่อขจัดอุปสรรคในการใช้เครื่องมือดังกล่าว
เพราะตามข้อกฎหมายระบุเฉพาะ 1. พันธบัตรรัฐบาล 2. พันธบัตรรัฐวิสาหกิจที่แบงก์ชาติเป็นนายทะเบียน
และกระทรวงการคลังค้ำประกันทั้งเงินต้นและดอกเบี้ยเท่านั้นที่สามารถทำการซื้อขายในตลาดซื้อคืน
ที่สำคัญอีกข้อหนึ่ง คือ ถึงเวลาแล้วที่จะต้องพิจารณาอนุญาตให้เปิดธนาคารพาณิชย์เพิ่มมากขึ้น
เพื่อให้ระบบการเงินมีการแข่งขันกันอย่างเสรีจริง ๆ เป็นการลดอำนาจการตั้งราคาตามใจชอบของแบงก์พาณิชย์ในปัจจุบันไปในตัว