"คุณอารีย์เป็นคนเก่ง…" คนในวงการน้ำตาลหลายคนยอมรับกับ "ผู้จัดการ"
เมื่อถามถึงบุคคลที่ชื่อ อารีย์ ชุ้นฟุ้ง กรรมการผู้จัดการบริษัทน้ำตาลวังขนาย
ยักษ์ใหญ่วงการอุตสาหกรรมน้ำตาล เพราะในขณะที่นักอุตสาหกรรมน้ำตาลต่างก็ไม่มีกิจกรรมเนื่องเพราะภาวะการผลิตน้ำตาลตกต่ำ
แต่กลุ่มวังขนาย ยังมีการขยายงานสม่ำเสมอ
แต่ในประโยคต่อมาของหลาย ๆ คนก็คือ ความเป็นคนเก่งกับคนดี เป็นคนละเรื่องกัน
!!!
เพราะจนวันนี้ ประวัติของอารีย์ยังเป็นปริศนาให้งงกันเล่น
มีหลายคนจำได้เพียงว่า ครั้งหนึ่งในวิถีชีวิต อารีย์ ชุ้นฟุ้ง เคยเป็นหัวหน้ายามอยู่ที่บริษัทสยามคราฟท์
ในจังหวัดราชบุรี ที่เป็นบริษัทผู้ผลิตกระดาษรายใหญ่ของเครือซิเมนต์ไทยในวันนี้
ก่อนที่จะผันตัวเองมาทำธุรกิจด้านน้ำตาล
อารีย์ไม่ปฏิเสธ แต่ไม่เอ่ยถึงเรื่องดังกล่าวมากนักเมื่อถูกถามถึงประวัติ
เขามักจะปฏิเสธที่จะเอ่ยถึง เพียงแต่จะบอกเพียงสั้น ๆ ว่า เขาเกิดที่บ้านโป่ง-ราชบุรี
ครอบครัวมีอาชีพทางการเกษตรกรเรียนหนังสือมาน้อย ประสบการณ์ในการทำธุรกิจมาจากการเรียนรู้โดยหนังสือและลงมือทำ
ขณะที่ย้ำว่า การเข้าสู่ธุรกิจน้ำตาลของเขานั้น เป็นเรื่องที่เขามีแผนตั้งแต่ยังทำไร่อ้อย
ไม่ได้เข้าสู่ธุรกิจนี้ด้วยความบังเอิญ
และอารีย์พอใจที่จะเล่าถึงอนาคตมากกว่าอดีต
"ผมมีแผนที่จะขยายงานในเรื่องน้ำตาล" อารีย์เล่าให้ฟังพร้อมทั้งขยายถึงแผนงานว่า
แผนของกลุ่มวังขนายในอนาคตจะอยู่ในภาคอีสาน ที่เขาเริ่มแผนนิคมอุตสาหกรรมไว้ที่นครราชสีมาแล้ว
แผนงานดังกล่าวนั้นเชื่อว่า จะเป็นฐานในอนาคตของกลุ่มวังขนาย ในธุรกิจที่กล่าวกันว่า
เป็น SUNSET BUSINESS ในประเทศในวันนี้
แม้จะเป็นธุรกิจที่จะตกดินในวันสองวันนี้ แต่วังขนายไม่มีวันหยุด
"วังขนายยังทำธุรกิจน้ำตาล เพราะช่องว่างของตลาดน้ำตาลยังมีมาก อย่างช่วงนี้
ออร์เดอร์มาก่อนที่จะมีการผลิต" กรรมการผู้จัดการวังขนายกล่าว พร้อมทั้งชี้ให้เห็นถึงการย้ายฐานไปยังภาคตะวันออกเฉียงเหนือว่า
เป็นเพราะภูมิอากาศของอีสานเหมาะสมที่จะปลูกพืชทนแล้งอย่างอ้อยที่จะป้อนโรงงานน้ำตาลในเครือวังขนาย
โรงงานแรกของวังขนายในการขยับตัวไปยังอุตสาหกรรมน้ำตาลในภูมิภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
คือ โรงงานบริษัทน้ำตาลราชสีมา มีทุนจดทะเบียน 400 ล้านบาท จะเริ่มทำการผลิตในฤดูการผลิตปี
2537 ด้วยกำลังการผลิต 40,000 เมตริกตันอ้อย/วัน
ปัญหาของวังขนายในวันนี้ไม่ใช่เรื่องธุรกิจ แต่เป็นเรื่องหนี้สินที่อาจจะมีปัญหาต่อการขยายงาน
โดยเฉพาะปัญหาของหนี้ที่วังขนายมีกับธนาคารทหารไทย
อารีย์เล่าให้ฟังว่า หนี้ของกลุ่มวังขนายมีประมาณ 10,000 ล้านบาท เป็นส่วนของธนาคารทหารไทยมากที่สุดประมาณ
5,000 ล้านบาท ที่เหลือเป็นธนาคารอื่น ๆ เช่น ธนาคารกรุงเทพ
แต่ดูเหมือนว่า ธนาคารทหารไทยเองก็มองหาลู่ทางที่จะแก้ปัญหาหนี้ตัวนี้อยู่
จึงมีการส่งกรรมการจากแบงก์เข้าไปเป็นกรรมการในวังขนายเพื่อช่วยแก้ปัญหา
"เรื่องวังขนายนี่เป็นเรื่องหนักใจของคนในแบงก์ทหารไทยมาก คุณทนงเอง
(ดร.ทะนง พิทยะ - กรรมการผู้จัดการใหญ่ แบงก์ทหารไทย) ตอนที่คุณประยุทธ์
(จารุมณี - ประธานแบงก์ทหารไทย) ทาบทามมารับตำแหน่งก็มีเงื่อนไขว่า เรื่องนี้จะต้องเป็นเรื่องของคณะกรรมการ
ไม่ใช่เรื่องของกรรมการผู้จัดการใหญ่" คนในวงการเล่าให้ฟัง
ว่ากันว่า แบงก์ชาติเองก็หนักใจเรื่องหนี้วังขนาย แต่ไม่ถึงขั้นมองเป็นหนี้เสีย
หากแต่คนในแบงก์ชาติยังงง ๆ กันว่า ทำไมแบงก์ทหารไทยถึงปล่อยสินเชื่อให้กับวังขนายมากทั้ง
ๆ ที่แบงก์ทหารไทยได้ชื่อว่า เป็นแบงก์ที่มีการปล่อยสินเชื่อให้กับลูกหนี้อย่างรอบคอบมากที่สุดแบงก์หนึ่ง
อารีย์ ยอมรับกับ "ผู้จัดการ" ว่า ความสัมพันธ์นั้นเริ่มมาจากตัวบุคคล
คือ ประยูร จินดาประดิษฐ์ ที่รู้จักกันมาตั้งแต่สมัยประยูรยังนั่งทำงานอยู่ที่แบงก์ไทยพาณิชย์
เมื่อประยูรย้ายมาที่ทหารไทย วังขนายก็ย้ายการกู้เงินมาใช้ที่ธนาคารทหารไทย
แต่นั่นคือ เรื่องของวังขนาย ไม่ใช่เรื่องของกลุ่มวังขนาย !!!
แผนต่อจากนี้ของกลุ่มวังขนายก็คือ การออกไปลงทุนในต่างประเทศ ซึ่งเป้าหมายในตอนนี้ก็คือ
การลงทุนในสาธารณรัฐประชาชนลาวและเวียดนาม
อารีย์เปิดเผยถึงการเข้าไปลงทุนในประเทศเวียดนามว่า วังขนายเข้าไปด้วยการร่วมทุนกับคู่ค้าจากญี่ปุ่น
คือ กลุ่มนิโช-อิวาย เพื่อตั้งโรงงานผลิตน้ำตาล ขณะที่ในสาธารณรัฐประชาชนลาวนั้น
การร่วมทุนกับอนุสรณ์ วงศ์วรรณ ก็มีการเริ่มทำการผลิตน้ำตาลแล้ว
เป็นเครื่องชี้ว่า กลุ่มวังขนายไม่ทิ้งอุตสาหกรรมน้ำตาลแน่นอน
แม้วันนี้ของวังขนายจะมีเครือข่ายมากมายก็ตาม
อารีย์ ยอมรับว่า ธุรกิจของเขาในวันนี้มีมากมายในหลาย ๆ สาขา มีจำนวนบริษัทอยู่ประมาณ
40 บริษัท ซึ่ง "ผู้จัดการ" ศึกษารายชื่อและธุรกิจแล้วพบว่า เครือข่ายของอารีย์ในปัจจุบัน
นอกเหนือจากน้ำตาลแล้ว ก็มีอีกหลายสาขา ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจร้านอาหาร ธุรกิจรถยนต์
ธุรกิจเฟอร์นิเจอร์ รวมทั้งการตั้งบริษัทอิมปอร์ตเอ็กซ์ปอร์ตด้วย
"หลายบริษัทไม่เกี่ยวกับวังขนาย วังขนายเป็นเพียงบริษัทแม่เท่านั้น"
อารีย์บอก
แต่อารีย์ยังฝันที่จะเป็นเจ้าพ่อในวงการอุตสาหกรรมเกษตร โดยเฉพาะอุตสาหกรรมน้ำตาลที่เขาวาดฝันถึงขั้นการสร้างระบบสหกรณ์ขึ้นในภาคอีสาน
เพื่อรองรับโครงการขยายฐานของกลุ่มวังขนายไปจากภาคตะวันตก
ขณะเดียวกัน ในส่วนของอุตสาหกรรมที่อีสานนั้น อารีย์ยังวาดฝันที่จะมีการตั้งโรงงานผลิตเยื่อกระดาษจากชานอ้อย
โรงงาผนลิตปาร์ติเกิ้ลจากต้นอ้อย หลังจากที่มีการผลิตน้ำตาลแล้ว
แผนงานนิคมอุตสาหกรรมรวมที่นครราชสีมาของเขา จึงเป็นแผนรองรับงานต่าง ๆ
ในสมองของเขานั่นเอง
วันนี้ของวังขนายจึงเป็นวันที่น่าศึกษาต่อไป กับการ DIVERSIFY ไปยังหลาย
ๆ ธุรกิจทั้ง ๆ ที่ตัวของวังขนายเองมีหนี้สินมาก
คนในอุตสาหกรรมน้ำตาล บอกว่า เรื่องของอารีย์เป็นเรื่องที่น่าศึกษาและเหมาะยิ่งที่บรรดาโครงการเอ็มบีเอสถาบันต่าง
ๆ ควรนำมาเป็นกรณีศึกษาให้นักศึกษาเรียนรู้
กรณีศึกษาของเจ้าพ่อวงการน้ำตาลที่ชื่อ อารีย์ จึงอาจจะต้องมีภาคต่อไป !!!