กรณีของ เอเลนมา เป็นกรณีที่สะท้อนให้เห็นว่า ถ้าจะจัดการลงโทษตามความผิดฐานฉ้อโกงและปลอมแปลงเอกสารสิทธิ์
(บัตรเครดิต) ของผู้กระทำความผิดให้เข็ดหลาบและก็น่าที่จะเซ็กประวัติของอาชญากรเศรษฐกิจระดับนานาชาติประเภทนี้ให้ถ่องแท้
เพราะก็อาจจะเป็นไปได้ว่า พวกนี้เคยถูกกระทำผิดแบบเดียวกันมาแล้วจากประเทศอื่นแล้วหลบหนีพร้อม
ๆ วาดลวดลายเดิมในประเทศไทย
เอเลนมา หรือมาคิมซู หรือคิมซูมา มนุษย์หลายชื่อคนนี้ถือพาสปอร์ตแสดงตัวว่าเป็นคนฮ่องกง
เขาอายุเพิ่งจะ 24 ที่อยู่ในพาสปอร์ตระบุบว่าเขาพำนักอาศัยอยู่ที่เลขที่
14-21 เองฮ่องทาวเวอร์ทางด้านฝั่งเกาลูนของฮ่องกง
ภายหลังเดินทางข้ามมาในประเทศไทยหลายเดือน วันที่ 17 สิงหาคมปีที่แล้วเอเลนมาก็ได้ไปติดต่อขอซื้อเครื่องหนังจากร้านขายเครื่องหนังของมาลินี
วงศ์ลี้เจริญ เขาตกลงซื้อกระเป๋าหนังแบบหีบ 2 ใบ ราคา 2000บาท กระเป๋าหนังสำหรับใส่ธนาบัตรสองอีก
1 ใบ ราคา 370 บาท
ถึงตอนที่จะต้องจ่ายเงิน เอเลนมา ก็ควักบัตรเครดิตเชลแมนฮัตตันของมิชเตอร์เซ็ง
ไลวา ออกมาเพื่อช่ำระค่าเครื่องหนัง 3 ชิ้น ที่รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 2,370
บาท อาจตัวว่าเขาคือมิชเตอร์เซ็ง ไลวา ผู้เป็นเจ้าของบัตรอย่างน่าตาเฉย และเขาก็ลงชื่อตามลายเซ็นของมิชเตอร์เซ็งไลวา
ในใบบันทึกรายการขายหรือเซลสลิปของธนาคารกสิกรไทยที่ใช้กับบัตรเครดิตเซสแมนฮันตันเป็นหลักฐานได้อย่างแนบเนียน
แต่ก็คงจะเป็นความซวยของเอเลนมา มาลินี วงศ์ลี้เจริญ เจ้าของร้านเครื่องหนังตรวจสอบพบเสียก่อนว่า
คนฮ่องกงที่มาขอซื้อเครื่องหนังจากเธอคนนี้ไม่มิชเตอร์เซ็ง ไลวา เนื่องจากบัตรเครดิตเลขหมายเดียวกันที่เป็นของมิชเตอร์เซ็ง
ไลวา เพิ่งจะแจ้งว่าถูกลักขโมย ไปและธนาคารเซลแมนฮันตันเจ้าของบัตรยกเลิกการใช้บัตรเรียบร้อยแล้ว
แทนที่จะได้เครื่องหนังไปใช้ฟรี ๆ ปล่อยให้เจ้าของร้านเครื่องหนัง ธนาคารเซสแมนฮันตัน
เจ้าของบัตรและธนาคารกสิกรไทยเจ้าของเซลสลิปต้องเสียหาย เอเลนมา ก็เลยต้องออกจากร้านด้วยมือเปล่า
ตรงแน่วเข้าห้องขังโรงพักปทุมวันโดยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจควบคุมตัวไปด้วย
คดีนี้เอเลนมาให้การรับสารภาพ
สอบสวนเสร็จรุ้งขึ้นวันที่ 18 สิงหาคม 2529 ตำรวจก็ให้เอเลนมา ได้รับการประกันตัวออกไป
แล้วเอเลนมาก็หนีประกันตัวเข้ากีบเมฆ
ต่อมาจากการส่งภาพถ่ายและซื่อไปตรวจสอบประวัติโดยบริษัทเครดิตการ์ดชั้นนำในประเทศไทยแห่งหนึ่ง
ก็ พบว่าเฮเลนมา คนนี้เป็นตัวแสบ มาก ๆ ของขบวนการปลอมแปลงเครดิตการ์ด สร้างผลงานชั่ว
ๆ เอาไว้หลายประเทศ และล่าสุดก็เพิ่งหนีคดีปลอมแปลงเครดิตการ์ดและฉ้อฉลโกงมาจากประเทศสิงคโปร์
อีกทั้งก่อนหน้าที่จะไปก่อคดีไว้กับร้านขายเครื่องหนังที่ทำให้ถูกจับส่งตัวให้โรงพักปทุมวัน
เฮเลนมาคนเดียวกันนี้เองที่ได้อ้างตัวว่าชื่อ มิชเตอร์ แคมเบล อาร์ เบทส์กับสุนีรัตน์
วิเศษบุญชัย และสมพงษ์ แซ่ลิ้ม 2 พนักงานของบริษัทเซนโซคอร์ปเรชั่นเพื่อขอซื้อรองเท้าคัชซู
ชายจำนวน 2 คู่ ราคา 2,700 บาท และรองเท้าแตะชาย 1 คู่ ราคา 155 บาท รวมเป็นเงิน
2,855 บาท
เขาช่ำระเงินด้วยการ "รูด" บัตรอเมริกันเอ็กซเพรสของมิชเตอร์แคมเบล
อาร์เบทส์
ซึ่งก็ทำได้สำเร็จเรียบร้อยไม่มีพิรุธอเทริกันเอ็กซเพรสเพิ่งจะมาตรวจสอบได้ภายหลังว่าเป็นรายการ
"โกงอีกแล้ว" ก็อีกหลายวันจากนั้น
เหตุเกิดเมื่อวันที่ 18 สิงหาคม 2529 และเมื่ออเมริกันเอ็กซเพรสพบว่าผลงานชิ้นนี้เป็นผีมือของเฮเลนมา
ก็เป็นช่วงที่เฮเลนมาโดนจับที่ร้านเครื่องหนังที่เฮเลนมา มาใช้บัตรปลอมเป็นมิชเตอร์เซ็ง
ไลวา จริง ๆ แล้วทางอเมริกันเอ็กซเพรสก็ได้ให้ข้อมูลกับพนักงานสอบสวนถึงพฤติกรรมข้ามชาติของเฮเลนมา
พร้อมกับสำทับว่าคนร้ายมีประวัติการหนีประกันมาสด ๆ ร้อน ๆ จากสิงคโปร์
แต่จนแล้วจนรอดเฮเลนมาก็ได้รับการประกันตัวในวันรุ้งขึ้นและหนีประกันอย่างที่ว่าไปแล้วข้างต้น
ปล่อยให้ตำรวจไทยทั้งหลาย "หน้าม้าน " ไปตาม ๆ กัน!!!
เฮเลนมาเพิ่งจะถูกจับตัวได้อีกครั้งเมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2530 เป็นผลงานของสำนักกิจกรรมพิเศษของเอเม็กซ์
ร่วมมือกับตำรวจกองปราบปราม สืบสวนจนทราบแหล่งกบดานและลงมือจับตัวด้วยการขับรถไล่
ติดามกันหลายสิบโลกว่าจะได้ตัวมาส่งท้องที่
ก็เป็นที่เชื่อกันว่า ถ้าได้สอบสวนผู้ต้องหารายนี้ กันอย่างจริงจังพร้อมตรวจสอบข้อมูลแหล่งต่าง
ๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ อย่างละเอียดแล้ว บางที่อาจจะพบว่าเฮเลนมา คนนี้เที่ยวใช้เครดิตการ์ดกว้างขวางแค่ไหน
พร้อมทั้งอาจจะดึงเชี่ยมโยงไปถึงคนอื่น ๆ ในแก็งมิจฉาชีพแก็งนี้ ได้อีกด้วย