Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ มิถุนายน 2530








 
นิตยสารผู้จัดการ มิถุนายน 2530
แก๊งเครดิตการ์ดปลอมผยองโกงไปแล้ว 1,000 ล้านบาท             
 

   
related stories

อเมริกัน เอ็กซเพรสยิ่งสูงเด่น ยิ่งหนาวเหน็บ ?!?
เอเลนมา บอกความสำคัญของการตรวจสอบประวัติ
ทอม ตั้งไวบูลย์ บอกถึงวิธีโกงแบบเหนือชั้น
แก็ง "คุณขาว" บอกสายสัมพันธ์ระโยงยาง
โรเบิร์ต เรย์ ซองปิแอร์ โรเซ แซมเมอเรน ให้บทเรียนอะไรบ้าง
วีซ่าการ์ด ถึงเวลาจำต้อง "ลุย"!!!!
ไดเนอร์สคลับ เลิกคุกเข่าง้อคน แต่ต้องถลกหัวใจสู้คู่แข่ง
บัตรเครดิจตกสิกรไทย… ศรีนคร…. มาสเตอร์การ์ด เบี้ยหัวแตกที่ต้องออกแรงเข็นกันหนักหน่อย

   
www resources

โฮมเพจ อเมริกัน เอ็กซ์เพรส (ประเทศไทย)

   
search resources

อเมริกัน เอ็กซ์เพรส (ไทย), บจก.
Credit Card




พวกเขาทำงานกันเป็นแก๊ง มีสายสัมพันธ์ครอบคลุมหลายประเทศ และโกงกันเป็นขบวนการ ด้วยกลเม็ดที่กลไกทางด้านกฎหมายตามไม่ค่อยจะทัน อเมริกันเอ็กซเพรส, วีซ่า, ไดเนอร์สคลับ, มาสเตอร์การ์ด ฯลฯ โดนกันอ่วมเสียหายไปแล้วนับพันล้านบาท เฉพาะสยามเมืองยิ้มแห่งเดียว…

ตัวเลขประมาณการของความสูญเสียอันเกิดจากการฉ้อฉลโดยขบวนการมิจฉาชีพในธุรกิจบัตรเครดิตทั้งระบบเฉพาะในประเทศไทยเพียงแห่งเดียวนั้น ปี 2529 ที่ผ่านมาดูเหมือนว่าจะเป็นปีแห่งความเสียหายที่รุนแรงที่สุด

"ตกราว ๆ 500 ล้านบาท สูงเป็นประวัติการณ์ทีเดียว "พันตำรวจเอกปรีชา ประเสริฐ อดีตนายตำรวจนครบาลที่ลาออกมาทำงานด้านการปราบปรามแก๊งปลอมบัตรเครดิตกับอเมริกันเอ็กซเพรส (ไทย) เปิดเผย ซึ่งในจำนวนความเสียหายนี้ราว ๆ 100 ล้านบาทเป็นความเสียหายส่วนที่เกิดขึ้นกับอเมริกันเอ็กซเพรส หรือที่มักจะเรียกกันสั้น ๆ ว่า"เอเม๊กซ์"

แน่นอน… แม้ว่าทุกบริษัทจะไม่พยายามเปิดเผยตัวเลขความเสียหายในแต่ละปี แต่ก็เชื่อกันว่า ถ้าคิดรวม ๆ แล้วบัตรเครดิตน่าจะโดนโกงไปแล้วเป็นพันล้านบาท !?!

เอเม๊กซ์นั้นปัจจุบันมีสมาชิกบัตรเฉพาะในประเทศไทยกว่า 50,000 ราย ยอดเงินที่ใช้จ่ายในรอบหนึ่งปีล่าสุดตกประมาณ 2,700 ล้านบาท หากนำยอดเงินดังกล่าวนี้ไปเปรียบเทียบกับยอดความสูญเสียที่ตกราว ๆ 100 ล้านบาท จริง ๆ แล้วก็ไม่น่าจะเป็นภาวะที่น่าตกอกตกใจนัก

เพียงแต่ภาพที่ปรากฎสู่สาธารณชนก็ดูเหมือนจะมีเพียงเอเม็กซ์รายเดียวที่กระโดดโลดเต้นผลักดันให้มีการแก้ไขปราบปรามขบวนการฉ้อโกงบัตรเครดิตอย่างออกหน้า คล้ายกับเอเม๊กซ์ตกอยู่ในความเสียหายมากที่สุด "ทั้ง ๆ ที่เอเม๊กซ์ก็ไม่ใช่รายที่โดนหนักที่สุดหรอก คือหนักก็ต้องยอมรับว่าหนักเพราะบัตรของเอเม๊กซ์มันแพร่หลายมาก ย่อมต้องโดดโกงมากอย่างช่วยไม่ได้ แต่ปีที่ผ่านมาจากยอด 500 ล้านบาท ว่ากันว่ารายที่โดนหนักที่สุดกลับเป็นบัตรของอีกรายหนึ่ง จุดที่เสียหายมากอยู่แถว ๆ หาดใหญ่ ที่คนมาเลย์ชอบเดินทางมาเที่ยวจับจ่ายซื้อของ…" แหล่งข่าวที่ขลุกอยู่กับวงการบัตรพลาสติกมานานเล่าให้ฟัง

การเคลื่อนไหวของเอเม็กซ์นั้นนอกจากจะเป็นการให้สัมภาษณ์เปิดข่าวออกมาตามหน้าหนังสือพิมพ์อย่างต่อเนื่อง การเดินงานด้านลึกโดยเฉพาะการติดต่อเข้าพบคนของรัฐที่มีหน้าที่รับผิดชอบก็ทำกันหลายระดับ

เมื่อเร็ว ๆ นี้ แอนนัสทัส รัฟทอป โพลอส ผู้จัดการใหญ่เอเม๊กซ์ไทยได้มีโอกาสเข้าพบกับประสงค์ สุ่นศิริ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี กล่าวกันว่าหัวข้อสนทนา ระหว่างคนทั้งสองเป็นเรื่องที่เอเม็กซ์ร้องเรียนขอให้รัฐบาลช่วยสั่งการกวดขันเจ้าหน้าที่รัฐ ที่รับผิดชอบการปราบปรามขบวนการมิจฉาชีพที่หากินกับการปลอมแปลงบัตรเครดิต และก่อนหน้านั้นผู้จัดการใหญ่เอเม๊กซ์ก็เคยเข้าพบ ดร.จิรายุ อิศรางกูรฯ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกที่คุมงานด้านการท่องเที่ยวและประชาสัมพันธ์ เพื่อป้อนข้อมูลให้รัฐมนตรีจิรายุเข้าใจถึงสถานการณ์ความร้ายแรงของขบวนการมิจฉาชีพที่มักจะใช้นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเป็นเหยื่อ ซึ่งนับว่าเป็นเรื่องที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อบรรยากาศการท่องเที่ยวที่รัฐบาลกำลังส่งเสริมโดยถือว่าปี 2530 เป็นปีแห่งการท่องเที่ยวอีกด้วย

และเมื่อปลายเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา พันตำรวจเอกปรีชา ประเสริฐ หัวหน้าสำนักกิจกรรมพิเศษของเอเม๊กซ์ไทยก็เดินทางขึ้นไปที่จังหวัดเชียงใหม ่เพื่อบรรยายความรู้เกี่ยวกับกลโกงบัตรเครดิตให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจสังกัดกองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 3 หลายร้อยนายได้ฟังกัน เนื่องจากภาคเหนือโดยเฉพาะเชียงใหม่นั้น เป็นแหล่งที่เกิดปัญหาเกี่ยวข้องกับบัตรเครดิตสูงมากจังหวัดหนึ่งนอกเหนือจากแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ ๆ จุดอื่น ๆ เช่น กรุงเทพ ฯ พัทยา ภูเก็ต และ หาดใหญ่

ดูเหมือนว่าตั้งแต่ต้นปี 2530 มานี้ เอเม๊กซ์ค่อนข้างจะเหน็ดเหนื่อยกับการออกแรงกระตุ้นให้ทุกฝ่ายมองเห็นถึงเภทภัยของขบวนการฉ้อโกงบัตรเครดิตมากเป็นพิเศษ

เช่นเดียวกับบัตรเครดิตรายอื่น ๆ ก็เริ่มให้ความสำคัญกับปัญหานี้ด้วยการจัดตั้งหน่วยพิเศษขึ้นมารับผิดชอบงานด้าน " กวาดล้าง " ขบวนการมิจฉาชีพอีกหลายราย

"ก็มีการแลกเปลี่ยนข่าวสารกันและกันด้วย เพราะจริง ๆ แล้วมันเป็นปัญหาของธุรกิจบัตรเครดิตทั้งหมดไม่ใช่ของใครคนใดคนหนึ่ง โดยเฉพาะถ้าไม่รีบตัดไฟต้นลม..." เจ้าหน้าที่ระดับบริหารของบัตรเครดิตเจ้าหนึ่งพูดกับ "ผู้จัดการ"

ซึ่งเป้าหมายก็ต้องอยู่ที่ต้องลดอัตราความสูญเสียอันเกิดจากการโดนโกงนี้ให้มากที่สุด

"ปี 2529 ที่สูญไปราว ๆ 500 ล้านบาทนั้น ถือว่าเป็นปีที่ตัวเลขสูงที่สุด และเราจะต้องพยายามทุกทางที่จะทำให้ตัวเลขมันลดลงให้ได้ " พันตำรวจเอกปรีชา ประเสริฐ อดีตจปร. รุ่นที่ 7 รุ่นเดียวกับ "ยังเติร์ก" ที่โอนสายมาอยู่กับกรมตำรวจและเป็นสหายสนิทกับพลตรีจำลอง ศรีเมือง ผู้ว่า กทม. เล่าถึงภารกิจที่ได้รับมอบในฐานะ"มือปราบ" ประจำประเทศไทยของเอเม๊กซ์ให้ฟัง

สำหรับเอเม๊กซ์นั้น การออกแรงกระตุ้นให้มีการจัดการกวาดล้างมิจฉาชีพ ก็คงจะไม่เพียงลดการสูญเสียอย่างเดียว ?

มันเป็นการแก้ปัญหาภาพพจน์และผลกระทบที่เกี่ยวข้องไปถึงงานด้านการตลาดด้วย

เอเม๊กซ์เข้ามาจัดตั้งกิจการ-บริษัทอเมริกันเอ็กซเพรส (ไทย) จำกัดเมื่อปี 2524 ก่อนหน้านั้นบัตรเครดิตของเอเม๊กซ์ดูแลอยู่โดยบริษัทซิทัวร์ของกลุ่ม " ปันยารชุน" ซึ่งหน้าที่ก็เพียงให้บริการแก่ชาวต่างประเทศที่เดินทางเข้ามาทำธุรกิจหรือท่องเที่ยวในประเทศไทยเป็นด้านหลัก ปีแรกของการเข้ามาของเอเม๊กซ์จำนวนสมาชิกบัตรมีอยู่เพียงพันกว่าราย แต่จากการโหมบุกตลาดของบัตรเครดิตอย่างหนักหน่วงจำนวนสมาชิกบัตรก็เติบโตขยายตัวจนกระทั่งมีจำนวนกว่า 50,000 รายไปแล้วเมื่อสิ้นสุดปี 2529 และเอเม๊กซ์ก็หวังที่จะโตต่อไปเรื่อย ๆ ในฐานะที่เป็นยักษ์ใหญ่ในธุรกิจบัตรเครดิตของโลก

ปัญหาการปลอมแปลงบัตรของเอเม๊กซ์หรือการฉ้อฉลด้วยนานาวิธีว่าไปแล้วก็มีผลทำให้การขยายตัวไม่เป็นไปตามเป้าได้เหมือนกัน

"กลไกมันก็อัตโนมัติคือเมื่อคุณโดนโกงมากคุณก็ขอให้ร้านค้าสมาชิกช่วยกวดขันตรวจสอบแล้วคุณพกบัตรเอเม็กซ์ไปซื้อสินค้าหรือบริการ พอใช้บัตรคนรับเงินบอกว่าขอเช็คก่อนว่าปลอมหรือเปล่า แล้วคุณจะอยากใช้บัตรไหม.. " นักธุรกิจมีชื่อคนหนึ่งให้เหตุผล

จริง ๆ แล้วปัญหานี้ก็คงจะไม่ใช่สิ่งสำคัญที่มีผลกระทบต่ออัตราการขยายของจำนวนสมาชิกเพียงแต่ก็คงจะเป็นปัญหาที่ใครก็คงไม่กล้าปฏิเสธ โดยเฉพาะคนที่พกบัตรเครดิตก็อาจจะโดนกับตัวเข้าบ้างแล้วก็ได้

สำนักกิจกรรมพิเศษ ในประเทศไทยของเอเม๊กซ์ ที่มีพันตำรวจเอกปรีชา ประเสริฐ เป็นหัวหน้าสำนักงานนั้น เป็นหน่วยที่ไม่ได้ขึ้นตรงต่อเอเม๊กซ์ (ไทย) ที่นี้เป็นหน่วยงานพิเศษมีหน้าที่เกี่ยวข้องกับการปลอมแปลงบัตรของเอเม๊กซ์ และการฉ้อฉลด้วยกลเม็ดเด็ดพรายหลาย ๆ แบบเท่านั้น

"ในย่านนี้ผมก็ขึ้นตรงกับนายที่ฮ่องกงหัวหน้าสำนักงาน หรือระดับผู้บริหารที่อยู่ในหน่วยงานด้านนี้ของเอเม๊กซ์ เขากำหนดไว้ชัดเจนเลยว่าจะต้องเป็นนายตำรวจนอกราชการ อย่างนายที่ฮ่องกงคนหนึ่งเป็นอดีตเอฟบีไอ อีกคนเป็นนายตำรวจอังกฤษประจำที่ฮ่องกง…" พันตำรวจเอกปรีชา ประเสริฐ บอก

แต่จะแยกภาระหน้าที่ออกจากกันอย่างชัดเจนแล้วก็ตาม แอนนัสทัส รัฟทอปโพลอส ผู้จัดการใหญ่เอเม๊กซ์ไทยก็ดูเหมือนว่าจะเล่นบทได้สอดคล้องต้องกันกับสำนักกิจกรรมพิเศษของพันตำรวจปรีชา ประเสริฐ มาก ๆ

ซึ่งก็น่าจะบอกได้ว่าปัญหาที่เอเม๊กซ์โดนฉ้อโกงนี้ ไม่ใช่แต่มีผลกระทบต่อเอเม๊กซ์ตัวใหญ่ที่จะเป็นผู้รับความสูญเสียส่วนใหญ่ที่เกิดขึ้นเท่านั้น หากแต่มันกระทบไปถึงเอเม๊กซ์ตัวเล็ก ๆ อย่างเช่นเอเม๊กซ์ (ไทย) ด้วยเช่นกัน

ในฐานะผู้ที่จะต้องรับผิดชอบกับความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการถูกฉ้อโกงโดยขบวนการปลอมแปลงบัตรเครดิตการ์ดทุกบาททุกสตางค์ ก็ย่อมเป็นธรรมดาที่บริษัทเครดิตการ์ดทั้งหลายจะต้องเป็นผู้จับสถิติได้อย่างมั่นเหมาะว่า ว่าในแต่ละรอบปีนั้นพวกเขาถูกฉ้อโกงไปแล้วเท่าไหร่? เพิ่มขึ้นหรือลดลง! และได้ก่อให้เกิดผลกระทบไปถึงธุรกิจของบริษัทหรือของระบบทั้งระบบอย่างไรบ้าง?

และจากการทำงานของสำนักกิจกรรมพิเศษที่มีหน้าที่โดยตรงเกี่ยวข้องกับการป้องกันและปราบปรามการฉ้อโกง การแลกเปลี่ยนข่าวสารระหว่างกัน และการติดตามศึกษาพัฒนาการของแก๊งปลอมแปลงรวมถึงวิธีการโกง ก็ยิ่งทำให้สามารถมองเห็นโยงใยที่เป็นขบวนการของแก๊งมิจฉาชีพประเภทนี้ได้อย่างแจ่มชัด

แต่สำหรับคนนอกล่ะ จะเข้าใจสิ่งที่บริษัทเครดิตการ์ดทั้งหลายได้เข้าใจนี้หรือไม่???

โดยเฉพาะคนนอกที่มีหน้าที่โดยตรงในด้านการป้องกันและปราบปรามอาชญากรเศรษฐกิจที่เหนือชั้นเหล่านี้!!!

"ผมเชื่อว่าส่วนหนึ่งยังไม่เข้าใจ พวกเขาถูกฝึกให้ปราบโจรประเภทถืออาวุธมาปล้นชาวบ้านไม่ได้ถูกฝึกให้ปราบโจรเสื้อนอกที่ถือบัตรเครดิตเพียงใบเดียวเอาทรัพย์สินชาวบ้านไปเป็นล้านๆ และผมก็ค่อนข้างที่จะเชื่อว่าอีกส่วนหนึ่งเข้าใจดีมาก เพียงแต่ทำเป็นไม่เข้าใจเพราะมันมีอะไรมาปิดบังเท่านั้นเอง…" นักกฎหมายคนหนึ่งแสดงความเห็น

ซึ่งเหตุการณ์ที่เชียงใหม่จากการศึกษาของนักสังเกตการณ์กลุ่มหนึ่งเมื่อไม่นานมานี้ก็คงจะนำมาใช้เป็นเรื่องเปรียบเทียบได้

เชียงใหม่นั้นเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญของประเทศ นักท่องเที่ยวต่างชาติจำนวนมากมักจะมาตกคลั่กที่นี่ และคดีเกี่ยวข้องกับทรัพย์สินนักท่องเที่ยวสูญหายหรือถูกลักขโมยก็ได้เพิ่มขึ้นอย่างน่าตกอกตกใจ แต่ปรากฎว่าคดีที่เกี่ยวกับการฉ้อโกงเครดิตการ์ดกลับมีไม่มากทั้งไม่เพิ่มขึ้นรุนแรงจนน่าจะต้องตั้งข้อสังเกต "อย่างในปี 2529 ที่การฉ้อโกงพุ่งขึ้นอย่างรุนแรง ปรากฏว่าที่เชียงใหม่มีคดีเครดิตการ์ดเพียง 17 คดี เพิ่มขึ้นนิดหน่อย ผู้ใหญ่ในกรมตำรวจก็เลยมองว่า เป็นปัญหาเล็กน้อย จึงไม่ได้มีการกวดขันมากมายอย่างที่มันควรจะต้องทำ" นักธุรกิจที่มีกิจการทางภาคเหนือเล่ากับ "ผู้จัดการ"

และถ้าลองตรวจสอบคดีที่มีชาวต่างชาติแจ้งความว่า ถูกลักทรัพย์หรือของสูญหายแล้ว ก็จะพบว่า ทรัพย์สินมากต่อมากที่แจ้ง ก็จะมีบัตรเครดิตรวมอยู่ด้วยเสมอ เพียงแต่พนักงานสอบสวนทั่ว ๆ ไปก็จะรับแจ้งแล้วให้ผู้แจ้งลงชื่อเป็นอันจบ แทบจะเรียกว่าปิดคดีไปได้เลย มีพนักงานสอบสวนเพียงจำนวนน้อย ที่มีการตั้งข้อสังเกตว่าเครดิตการ์ดที่ถูกลักไป หรือสูญหายอาจจะถูกนำไปใช้ปลอมแปลงแล้วถูกใช้เพื่อการฉ้อโกงก็จะจัดการสอบปากคำอย่างละเอียด

"ส่วนมากลองว่าเครดิตการ์ดถูกขโมยหรือหาย ก็จะต้องมีการนำไปปลอมแปลงหรือใช้ต่อเกือบจะทั้งร้อย คิดง่าย ๆ ดูก็ได้ว่าเป็นคุณ คุณอยากจะได้ไหมกับบัตรพลาสติกหนึ่งใบที่ทำอะไรไม่ได้ ซึ่งก็คงไม่ต้องขโมยหรือเก็บไว้ให้เมื่อยหลอก.. "นักธุรกิจย่านภาคเหนือคนเดิมกล่าวเสริม

กล่าวกันว่าแท้ที่จริงแล้ว บัตรเครดิตการ์ดของชาวต่างประเทศที่สูญหายหรือถูกขโมยนี้ ก็คือต้นตอสำคัญของขบวนการมิจฉาชีพที่ปลอมแปลงบัตรเครดิตการ์ดสายหนึ่งที่ถนัดทางด้านการนำบัตรจริงมาขูดลบทำการปลอมแปลงแล้วหาคน (ที่เป็นชาวต่างประเทศเหมือนกัน) แสดงตนเป็นเจ้าของบัตรทำการฉ้อโกงต่อไป

ที่ไม่ต้องปลอมแปลงมาก เพียงแต่ปลอมรายเซ็นให้เหมือนเจ้าของบัตร และทำพาสปอร์ตปลอมเป็นเจ้าของบัตรด้วยการแสดงสำเนา (ตัวจริงมักอ้างว่าฝากไว้กับโรงแรม) กับร้านค้าก็มีไม่น้อยซึ่งประเภทนี้มักจะนำบัตรไปใช้ในทันทีที่ขโมยมา เพราะกว่าเจ้าของบัตรจะทราบก็อาจจะภายหลังบัตรสูญหายไปแล้วหลายวัน

เครดิตการ์ดของชาวต่างประเทศที่มีอันสูญหาย หรือถูกลักขโมยในแถบภาคเหนือหรือจังหวัดเชียงใหม่นั้น ดูเหมือนแหล่งที่เกิดเหตุบ่อยที่สุดคือบรรดาเกสต์เฮ้าส์หลาย ๆ แห่ง "คือนักท่องเที่ยวเมื่อจะต้องขึ้นไปเที่ยวบนเขาบนดอย นอนค้างแรมหลาย ๆ วัน เจ้าของเกสต์เฮ้าส์ก็มักจะบอกว่า ให้ฝากทรัพย์สินไว้ที่เขา ขึ้นไปข้างบนอันตราย อาจถูกปล้นชิง ก็เลยมีการฝากทรัพย์สินโดยเฉพาะพาสปอร์ตกับบัตรเครดิตเอาไว้กับเจ้าของเกสต์เฮ้าส์กลับลงมาก็หาย หรือใครเอาไปโกง อย่างไรทราบอีกทีก็เมื่อมีบิลจากบริษัทบัตรเครดิตการ์ดส่งไปเรียกเก็บเงิน โดยที่เจ้าของบัตรจำได้มั่นเหมาะว่า ไม่เคยซื้อสิ่งของดังกล่าว ตรวจไปตรวจมาจึงทราบว่าโดนโกงเสียแล้ว " พันตำรวจเอกปรีชา ประเสริฐ เล่าให้ฟัง

ว่ากันว่าตลาดมืดของเหล่ามิจฉาชีพ บัตรเครดิตที่ถูกขโมยมานี้มีราคาสูงถึงใบละ 2 หมื่นบาท ในช่วงที่สถิติการฉ้อโกงพุ่งโลด แต่ในระยะหลังเจ้าของบัตรเครดิตและเจ้าหน้าที่บ้านเมืองลงมือกวดขันและจับกุมอย่างจริงจังขึ้น ราคาบัตรก็ลดลงมาเหลือใบละ 2,000 บาทเท่านั้น

คนขโมยบัตรออกมาขายนั้น ส่วนมากแล้วก็จะสมรู้ร่วมคิดกับบรรดาเจ้าของเกสต์เฮ้าส์ร่ำรวยกับธุรกิจประเภทนี้กันไปแล้วหลายคน

ส่วนคนซื้อก็เป็นแก๊งปลอมแปลงบัตรเครดิตที่ส่วนมากจะมีสายสัมพันธ์อย่างกว้างขวางและโกงกันอย่างมีแผน

และมากต่อมากก็จะมีคนประเภทมี "สี" ให้ความคุ้มครองโดยแบ่งผลประโยชน์กัน

"เมื่อต้น ๆ ปีที่แล้วตำรวจท่องเที่ยว (กอง 8 กองปราบปราม) ที่เชียงใหม่ได้มีการจับกุมแก๊งบัตรเครดิตกันมาก บางวันจับกันเป็นสิบราย ตำรวจชุดที่ขึ้นไปกวาดล้างนี้เคยมีผลงานเด่นมาแล้วจากการกวาดล้างแก๊งสกูตเตอร์ที่พัทยา แต่เผอิญทนแรงอิทธิพลไม่ไหวเลยย้ายมาอยู่ที่เชียงใหม่ พอมีการกวาดล้างหนัก พวกเจ้าของเกสต์เฮ้าส์พวกแก๊งบัตรเครดิตก็วิ่งเต้นกันจ้าละหวั่น กลางปี 29 พันตำรวจตรีเฉลิมพล อรรถยุทธ จากกองปราบถูกส่งตัวขึ้นไปคุมตำรวจท่องเที่ยวที่เชียงใหม่ ผลก็คือมีการย้ายตำรวจ 3 นายชุดที่มาจากพัทยาออกไปจากเชียงใหม่ได้สำเร็จ" แหล่งข่าวคนหนึ่งเปิดเผย

เชียงใหม่นั้นมีเกสต์เฮ้าส์มากกว่า 30 แห่ง โดยที่จดทะเบียนถูกต้องเพียง 9 แห่ง และเกสต์เฮ้าส์ที่ถูกร้องเรียนจากนักท่องเที่ยวว่าทรัพย์สินหายอยู่บ่อย ๆ มีจำนวนถึง 21 แห่ง คือ ไมล์เซเวน, 3 พี, มาวเวย์, ชลธิชา, สวัสดี, ไทย-เยอรมัน, บอนนี่, อินเตอร์, เล็ก, ท้อปนอร์ท, วี.วี., พี.พี., ท้อป, ดิออร์, เชียงมั่น, เฟรดดิ้, ปันปัน, พี.เค., เชียงใหม่อินน์เกสต์เฮ้าส์ก็จะเปลี่ยนกันไปเรื่อย ๆ เมื่อมีปัญหาเข้ามากระทบ

"ตอนหลัง ๆ นี้ก็เลยมีการทำเป็นบัญชีดำ เตือนนักท่องเที่ยวให้ระวังเกสต์เฮ้าส์ตามรายชื่อเหล่านี้ " แหล่งข่าวเจ้าเดิมเล่าให้ฟัง

และก็น่าจะเป็นข่าวดีสำหรับสุจริตชน ตลอดจนบริษัทเครดิตการ์ดที่ปัญหาที่เกิดขึ้นที่เชียงใหม่ เริ่มมีการรับรู้ออกไปกว้างขวางอันเป็นผลจากแรงกระตุ้นของสื่อมวลชนและผู้ที่ได้รับความเสียหายจากขบวนการวิจฉาชีพ ผู้ใหญ่ในกรมตำรวจก็เพิ่งจะมีคำสั่งให้มีการกวดขันไปแล้วเมื่อไม่นานมานี้

"ซึ่งเราก็ค่อนข้างจะเชื่อว่าสถิติความเสียหายที่เกิดจากการฉ้อโกง ลองแบบนี้แล้วก็น่าจะลดลงตั้งแต่ปีนี้เป็นต้นไป.. " ผู้บริหารบริษัทเครดิตการ์ดแห่งหนึ่งกล่าวอย่างเชื่อมั่น

ดูเหมือนว่า ปัญหาก็อยู่ที่จะทำกันอย่างจริงจังตลอดไปและมีการถอนรากถอนโคนอย่างเด็ดขาดหรือจะทำกันตามกระแสสูงเพียงชั่วครั้งชั่วคราวหรือไม่เท่านั้นกระมัง

การปลอมแปลงบัตรหรือการอ้างตัวเป็นเจ้าของ ปลอมเลขหมาย ปลอมลายเซ็น มักจะเป็นกลโกงของเหล่าอาชญากรเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งที่สุด

แต่ก็ไม่ใช่วิธีเดียวที่ทำกัน การโกงนั้นยังมีอีกหลายประเภท

โดยเฉพาะประเภทที่แพร่หลายมากขึ้นเรื่อย ๆ ในบ้านเราก็คือประเภทที่น่าจะต้องเรียกว่า "เกลือเป็นหนอน"

เป็นประเภทที่แก๊งมิจฉาชีพมีการร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับร้านค้าสมาชิกหรือพนักงานที่ทำหน้าที่ด้านการเงินที่อยากรวยทางลัด

บริษัทเครดิตการ์ดหลายแห่งได้ค้นพบว่า มีร้านค้าส่วนหนึ่งที่ร่วมมือกับคนร้ายใช้บัตรพลาสติกขาว ๆ ไม่มีการพิมพ์ลวดลายอย่างบัตรจริง มีปรากฏให้เห็นจากการตอกหมายเลขบัตรและชื่อเจ้าของบัตร (ซึ่งปลอมทั้งหมด) เป็นปั๊มนูน แล้วก็นำไปรูดกับเซลสลิป จากนั้นร้านค้าก็ส่งเซลสลิปมาเรียกเก็บเงินกับบริษัทเครดิตการ์ด ซึ่งแม้บริษัทจะตรวจสอบว่าถูกโกงแต่บริษัทก็ต้องรับผิดชอบความเสียหาย จ่ายเงินให้ร้านค้าสมาชิกไป…" เจ้าหน้าที่คนหนึ่งของบัตรเครดิตเอเม๊กซ์ชี้แจง

จากสถิติที่พบ ๆ กันนั้น ร้านค้าสมาชิกพวกนี้มักจะเป็นคอกเทลเลาจน์หรือร้านค้าอัญมณี "ซึ่งรับบัตรวีซ่าการ์ดมากที่สุดถึงขนาดที่ว่าระยะหลัง ๆ ทางกสิกรไทยต้องแจ้งให้สาขาต่าง ๆ ทราบว่า การรับร้านค้าเข้าเป็นสมาชิกนั้นขอให้อยู่ในดุลยพินิจของสำนักงานใหญ่เพียงแห่งเดียว" แหล่งข่าวคนหนึ่งเล่า และยังบอกอีกว่า "เหตุที่มักเกิดกับร้านค้าคอกเทลเลาจน์มากก็เพราะร้านพวกนี้คุมยาก มันเป็นธุรกิจที่เปลี่ยนเจ้าของบ่อย พอเปลี่ยนมือก็มักจะเปลี่ยนชื่อเปลี่ยนบัญชีเงิน จากที่สังเกตวิธีการโกงโดยดูจากเซลสลิปที่ร้านส่งมาเรียกเก็บเงินจากบริษัทบัตรเครดิต ถ้าโกงกันเขามักจะเรียกเก็บเต็มตามวงเงิน ที่บริษัทอนุมัติให้เจ้าของบัตรเลย เช่น 5,000 ก็จะ 5000 บาทติด ๆ กันหลายครั้งหรือเป็นรายจ่ายที่โอเวอร์มาก ๆ อย่างมีรายหนึ่งยอดขายทั้งวันของร้านก็ตกไม่กี่พันบาท แต่มีลูกค้ารายหนึ่งกินอาหารมื้อเดียวปาเข้าไป 3,000 บาท ประเภทนี้ตรวจสอบให้ละเอียดเดี๋ยวก็พบพิรุธ…"

ก็ว่ากันว่าตั้งแต่ต้นปี 2530 เป็นต้นมาบริษัทเครดิตการ์ดในประเทศไทยทั้งหลายได้ประกาศตัดเชือกร้านค้าสมาชิกไปแล้วกว่า 200 ราย ซึ่งเฉพาะเมื่อเดือนมกราคมเพียงเดือนเดียว ก็มีจำนวนสูงถึง 100 แห่ง

ส่วนเมื่อปี 2529 เอเม๊กซ์ยกเลิกร้านค้าสมาชิกจากจำนวนกว่า 7,000 แห่งออกไป 500 แห่ง และวิซ่าการ์ดยกเลิก 200 แห่ง โดย 100 แห่งเป็นร้านค้าในเขตอำเภอหาดใหญ่เพียงแห่งเดียว แหล่งข่าวที่นั่นบอกว่า เป็นเพราะพิษสงของนักท่องเที่ยวมาเลย์ สิงคโปร์ ที่ร่วมมือกับร้านค้า

แน่นอน…เหตุผลของการสั่งยกเลิก ปัญหาการฉ้อฉลเป็นปัญหาสำคัญปัญหาหนึ่งนอกเหนือจากปัญหาความเหมาะสมด้านอื่น ๆ

และสำหรับการโกงอันเนื่องมาจากน้ำมือของพนักงานการเงินของร้านค้าสมาชิกบัตรนั้น ก็มีให้พบเห็นอยู่ด้วย

วิธีการก็ง่าย ๆ เมื่อเจ้าของบัตรซื้อของหรือใช้บริการโดยชำระเงินเป็นบัตรเครดิต คนพวกนี้ก็จะรูดบัตรลงในเซลสลิปเกินกว่าหนึ่งครั้ง จะเป็นกี่ครั้งก็คงจะแล้วแต่โอกาสกับความโลภ ซึ่งเซลสลิปที่เหลือส่วนใหญ่จะมีการนำไปขายให้กับร้านค้าบางแห่งที่ฉ้อฉลเพื่อการกรอกรายการสินค้าและจำนวนเงินส่งไปเรียกเก็บจากบริษัทเครดิตการ์ดอีกต่อ

เอเม๊กซ์เคยจับได้รายหนึ่งเมื่อไม่นานมานี้ จากการตรวจสอบอย่างละเอียดก็พบว่าเป็นฝีมือของพนักงานการเงินของโรงแรมใหญ่โตแห่งหนึ่งย่านถนนวิทยุ ตัวเจ้าของโรงแรมนั้นเมื่อได้รับทราบและเห็นพยานหลักฐานก็เต้นเป็นเจ้าเข้า สั่งให้ดำเนินการอย่างเฉียบขาดกับพนักงานคนนั้นทันที

วิธีรูดบัตรลงในเซลสลิปเกินกว่า 1 ครั้งนี้ ที่จริงก็เป็นวิธีที่เจ้าของร้านบางแห่งทำด้วยเหมือนกัน

สำหรับหน่วยงานพิเศษที่ตั้งขึ้นมาเพื่อทำหน้าที่เกี่ยวกับการปราบปรามแก๊งมิจฉาชีพโดยบริษัทเจ้าของบัตรเครดิตนั้น กลไกหลาย ๆ อย่างที่มีหน้าที่โดยตรงในการขจัดอาชญากรเศรษฐกิจพวกนี้ก็ดูเหมือนว่าจะสร้างความหนักใจให้อยู่ไม่น้อย

ผู้ต้องหาบางคนทางหน่วยงานพิเศษของเจ้าของบัตรซึ่งได้รับความเสียหายตรวจสอบแล้ว พบว่ามีประวัติที่ประกอบอาชญากรรมฉ้อโกงมาแล้วอย่างโชกโชนหลายประเทศ แต่เมื่อถูกจับกุมก็จะได้รับการประกันตัวไป ซึ่งลองอีหรอบนี้ ร้อยทั้งร้อยก็มีแต่หนีประกันสบายไปเท่านั้น

ประเภทที่หนีประกันนี้ หลายคนไปพูดลับหลังว่า ตำรวจไทยซื้อได้ เสียเงิน 3 หมื่นก็ออกมาเดินถนนได้แล้ว ก็เคยมีรายงานข่าวอยู่บ่อย ๆ ซึ่งก็คงจะหมายถึงเสียเงินประกันตัวจำนวนเท่านั้นมากกว่าที่จะหมายถึงไปในทำนองที่จะเสียหายต่อคนในเครื่องแบบ

นอกจากนี้ก็ยังมีประเภทที่ถูกจับแต่ตำรวจสอบแล้วทำสำนวนอ่อนเกินไป ขึ้นศาลก็เลยหลุดรอดไม่ต้องติดคุก ซึ่งถ้าจะให้ถือเป็นจุดอ่อน จุดอ่อนนี้ก็คงจะต้องมีพนักงานอัยการร่วมรับผิดชอบด้วย

"หรือบางคดีจะเป็นเพราะความไม่ขยันหรือเพราะไม่เห็นภัยของการปลอมแปลงหรือจะเป็นเพราะเหตุผลอื่น ๆ มาบังตา ผู้ต้องหาสารภาพแล้วว่า ได้ไปโกงไว้ที่ไหนบ้าง ก็แทนที่จะจัดการสอบเรื่องที่เกิดในท้องที่ตัวเองให้เสร็จแล้วโอนเรื่องให้ท้องที่อื่นสอบต่อ เพื่อที่ความผิดจะได้เรียงกระทงกันไป ก็ไม่ยอมส่งตัวผู้ต้องหาอย่างนี้แทนที่จะต้องรับโทษหนักตามที่ก่อความผิดไว้จริง ก็กลายเป็นเบาไป" แหล่งข่าวคนหนึ่งเล่าอย่างอึดอัด

นอกเสียจากผู้เสียหาย (โดยเฉพาะบริษัทบัตรเครดิต) ติดตามอย่างใกล้ชิดนั่นแหละผู้ต้องหาประเภทนี้จึงปรากฏว่าต้องโดนเพิ่มไปอีกหลายคดีต่างกรรมต่างวาระ

ก็คงเป็นข้อเท็จจริงที่ยากต่อการปฏิเสธว่า กลไกรัฐที่มีหน้าที่ป้องกันและปราบปราม ตลอดจนลงโทษผู้กระทำความผิดนั้น ค่อนข้างจะดูเบาปัญหาฉ้อโกงเครดิตการ์ดกันเป็นส่วนใหญ่ เนื่องจากจริง ๆแล้วเครดิตการ์ดก็ค่อนข้างจะเป็นของใหม่พอสมควรสำหรับสังคมไทย

ผู้ต้องหาหลายรายที่ถูกจับกุมตัวได้ก็ล้วนเป็นเรื่องที่จำเป็นต้องอาศัย " เทคนิคพิเศษ" ของเจ้าหน้าที่สำนักกิจกรรมพิเศษของบริษัทเครดิตการ์ด โดยเฉพาะการอาศัยความเป็นอดีตนายตำรวจติดต่อกับลูกน้องเก่าหรือเพื่อนเก่าให้ช่วยสืบสวนสอบสวนหรือติดตามจับกุมตัวเอามาลงโทษ ซึ่งก็เป็นการกระทำที่ทำได้เพียงบางกรณีในขอบเขตที่จำกัด

"อย่างเช่นกรณีคนฮ่องกงชื่อเอเลนมาที่ถูกจับแล้วได้ประกันตัวก็เลยหนีประกันนั้น ที่จับตัวมาได้อีกครั้งก็เพราะ เจ้าหน้าที่สำนักกิจกรรมพิเศษของบริษัทบัตรเครดิตที่ได้รับความเสียหายถูกฉ้อโกง อาศัยความเป็นผู้บังคับบัญชาเก่าของนายตำรวจระดับสารวัตรของกองปรามกองหนึ่ง ช่วยกันสืบหาชนทราบแหล่งกบดานย่านชานเมืองก็เลยไปดักจับตัวเอามาส่งท้องที่ได้สำเร็จ" แหล่งข่าวระดับวงในคนหนึ่งอธิบายให้ฟัง

"มันก็เป็นวิธีแบบไทย ๆ เราดีพิลึกล่ะ..." เขาสำทับ

ก็คงถึงวาระที่จะต้องมีการ "ลงแซ่" กันให้หนักแล้วกระมัง

จากการออกแรงกระตุ้นของบริษัทเครดิตการ์ดโดยเฉพาะเอเม๊กซ์ที่ส่งผ่านข้อมูลขึ้นไปถึงผู้ใหญ่ในระดับสูงหลายคนพร้อม ๆ กับสื่อมวลชนที่เข้าใจปัญหาก็ได้ตีพิมพ์ข่าวออกมาเผยแพร่อย่างลุ่มลึก ด้วยการแฉโพยถึงบทบาทที่ไม่สู้จะชอบมาพากลของเจ้าหน้าที่รัฐ ทั้งตำรวจและอัยการผู้มีหน้าที่รับผิดชอบคดีปลอมแปลงเครดิตการ์ดบางคดีที่มัดตัวผู้ต้องหาไม่แน่นทำให้หลุดรอดไปได้ ทั้ง ๆ ที่พยานหลักฐานของการกระทำผิดอยู่โทนโท่นั้น ดูเหมือนว่าจะเกิดผลในทางตอบรับจากเบื้องสูงลงมาสู่เบื้องล่างรุนแรงมาก ๆ

หนังสือพิมพ์ "ผู้จัดการรายสัปดาห์ " เป็นฉบับแรกและฉบับหนึ่งที่เขียนถึงปัญหาตำรวจและอัยการข้างต้น ซึ่งก็ปรากฏว่ากรมตำรวจโดยเฉพาะตำรวจท้องที่ที่เป็นต้นตอปัญหาตลอดจนอัยการเต้นกันเป็นเจ้าเข้า

กระทั่งต่อมาก็มีข่าวว่ากรมตำรวจได้สั่งย้ายนายตำรวจหลายนายที่เกี่ยวข้องกับคดีปลอมแปลงเครดิตการ์ดที่ "ผิดพลาดทางเทคนิค" ทำสำนวนอ่อนส่งให้อัยการฟ้องศาล ส่วนทางกรมอัยการเอง แหล่งข่าวบอกว่า "อัยการหลายท่านตรวจสอบที่มาของข่าวกันอุตลุด และตั้งวงวิพากษ์วิจารณ์กันหลายอาทิตย์" นอกจากนี้ผู้ใหญ่ของกรมก็ได้มีคำสั่งกำชับให้มีการกวดขันสำนวนฟ้องในคดีที่เกี่ยวกับความผิดปลอมแปลงเครดิตการ์ดและฉ้อโกงกันให้พิถีพีถันขึ้น ห้ามส่งฟ้องโดยอัตโนมัติหากพนักงานสอบสวนทำสำนวนขึ้นมาไม่ครบองค์ประกอบ (หมายถึงทำสำนวนอ่อน)

"ตอนนี้ก็มีหลายคดีที่อัยการส่งกลับให้ตำรวจสอบเพิ่มเติม..." เจ้าหน้าที่ตำรวจสน.ในย่านกลางเมืองแห่งหนึ่งบอกกับ "ผู้จัดการ"

เมื่อปี 2529 นั้นเป็นที่เชื่อกันว่าวงเงินที่ใช้จ่ายกันในประเทศไทยผ่านบัตรเครดิตทุกชนิดตกประมาณเกือบ 6,000 ล้านบาท

และถ้าคิดยอดเงินที่เกิดจากการใช้บัตรเครดิตปลอมหรือการฉ้อโกงด้วยวิธีการอื่น ๆ ที่ตกราว 500 กว่าล้านบาทแล้ว

ว่ากันว่า ประเทศไทยติดอันดับแชมป์ที่มีการฉ้อโกงสูงที่สุดในโลก ใกล้เคียงกับสถิติของ ฟิลิปปินส์ ที่ขึ้นชื่อลือชามาแล้วหลายปีดีดัก

สำหรับธุรกิจบัตรเครดิตแล้วก็เป็นเรื่องของความสูญเสียที่จะต้องหาหนทางแก้ไขกันอย่างจริงจัง แม้เหน็ดเหนื่อยระอาใจอย่างไรก็ต้องทน

แล้วสำหรับเจ้าของประเทศเล่า เราจะยอมเสียหน้ากับความอัปลักษณ์ที่เกิดขึ้นกระนั้นหรือ

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us