|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
“พรทิวา”สั่งขยับเป้าส่งออกอีกรอบ คาดปีนี้โต 20% มูลค่า 1.89 แสนล้านเหรียญสหรัฐ หลังประเมินล่าสุดตลาดส่งออกทั้งเก่า ทั้งใหม่ โตฉุดไม่อยู่ พร้อมปรับแผนการตลาดใหม่ เน้นรุกเป็นรายสินค้า รายประเทศ ที่จะมีผลต่อยอดส่งออกโดยตรง ห่วงปัญหาขาดแรงงาน ค่าขนส่งแพง กระทบ ส่วนบาทแข็ง น้ำมัน ถ้าไม่หวือหวา ไม่มีปัญหา
นางพรทิวา นาคาศัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า กระทรวงพาณิชย์จะปรับเพิ่มเป้าหมายการส่งออกสินค้าไทยในปี 2553 ใหม่ เป็นขยายตัวไม่น้อยกว่า 20% มูลค่ากว่า 1.89 แสนล้านเหรียญสหรัฐ เป็นการปรับเพิ่มเป้าส่งออกอย่างเป็นทางการ หลังจากที่เดิมเคยประเมินไว้ว่าทั้งปีจะขยายตัว 14% มูลค่า 1.73 แสนล้านเหรียญสหรัฐ และเมื่อเดือนก.ค.ที่ผ่านมา ในการแถลงตัวเลขการส่งออกเดือนมิ.ย.2553 ก็ได้มีการประเมินเป้าหมายใหม่ไว้แล้วในเบื้องต้นว่าจะขยายตัวได้ 19%
การปรับเป้าส่งออกที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากทิศทางการส่งออกในช่วงไตรมาส 3 และ 4 ของปีนี้ จะยังคงขยายตัวได้ดีขึ้นต่อเนื่อง โดยตลาดสำคัญๆ ของการส่งออกไทยจะมีการขยายตัวมากขึ้น เช่น สหรัฐฯ จะขยายตัว 20% อาเซียน 30% สหภาพยุโรป 11% ญี่ปุ่น 18% จีน 50% อินเดีย 25% รัสเซีย 50% และตะวันออกกลาง 12% เป็นต้น ขณะเดียวกัน กระทรวงพาณิชย์มีแผนที่เพิ่มกิจกรรมด้านการตลาดเพื่อส่งเสริมการส่งออกในช่วงครึ่งปีหลัง 2553 อีกประมาณ 20-22 กิจกรรม
นางพรทิวากล่าวว่า สำหรับกลยุทธ์การส่งออกในช่วงครึ่งปีหลัง จะมุ่งเน้นการส่งออกโดยเจาะจงตลาดให้มากขึ้น หากตลาดไหนมีศักยภาพ ก็จะเพิ่มกิจกรรมด้านการตลาดเข้าไปเสริมให้มากขึ้น เพื่อผลักดันการส่งออกของไทย รวมทั้งได้ขอให้หัวหน้ากลุ่มสินค้า (Chiefs of Product - COP) ที่รับผิดชอบเป็นรายสินค้าไปหารือร่วมกับหัวหน้าสำนักงานส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ที่ประจำอยู่ในประเทศต่างๆ ทั่วโลก เพื่อคิดค้นกิจกรรมด้านการตลาดให้เหมาะสมกับตลาดนั้นๆ ด้วย
ทั้งนี้ ได้แบ่งกลุ่มตลาดออกเป็น 3 กลุ่มที่จะทำการผลักดันการส่งออก คือ กลุ่มแรกเป็นตลาดที่มีการพัฒนาเศรษฐกิจขั้นสูง โดยเป็นประเทศที่กำหนดทิศทางและมาตรฐานการค้าระหว่างประเทศ เช่น สหรัฐฯ สหภาพยุโรป ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ซึ่งการส่งออกไปยังประเทศเหล่านี้ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา มีสัดส่วน 33.2% มูลค่าการส่งออก 30,933 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 28.3%
กลุ่มที่ 2 เป็นตลาดที่มีศักยภาพและมีอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจสูง ได้แก่ อาเซียน 9 ประเทศ จีน ฮ่องกง เอเชียใต้ รองรับการส่งออกของไทยเป็นสัดส่วน 44.2% มูลค่าการส่งออก 41,091 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัวเพิ่มขึ้น 50.2%
กลุ่มที่ 3 เป็นตลาดที่มีศักยภาพและอัตราขยายตัวทางเศรษฐกิจในระดับรองลงมา ได้แก่ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ตะวันออกกลาง แอฟริกา ลาตินอเมริกา และยุโรปตะวันออก รองรับการส่งออกของไทยเป็นสัดส่วน 18.8% มูลค่าการส่งออก 17,493 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 28.3%
นางพรทิวากล่าวว่า ปัจจัยลบที่คาดว่าจะกระทบกับการส่งออก เท่าที่ประเมินในขณะนี้ น่าจะเป็นปัญหาเรื่องการขาดแคลนแรงงานในภาคอุตสาหกรรม ที่จะทำให้การขยายตัวของภาคการผลิตเพื่อส่งออกมีปัญหาตามไปด้วย และยังมีปัญหาในเรื่องของต้นทุนค่าขนส่ง โดยเฉพาะค่าระวางเรือที่สูงขึ้นตามอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศต่างๆ ซึ่งได้ทำหนังสือถึงกระทรวงคมนาคมเพื่อขอให้ช่วยดูแลในเรื่องนี้ไปแล้ว
ส่วนปัญหาค่าเงินบาทแข็งค่า เท่าที่ประเมินในขณะนี้ยังไม่ส่งผลกระทบต่อการส่งออกของไทย เพราะขีดความสามารถในการแข่งขันไม่ได้ลดลง เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศคู่แข่งในภูมิภาค หลังจากที่ค่าเงินมีการแข็งค่าในทิศทางเดียวกัน และผู้ส่งออกเองก็ไม่มีความกังวล หากเป็นการแข็งค่าที่มีเสถียรภาพ ขณะที่ราคาน้ำมันที่คาดว่าจะปรับเพิ่มขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปีนี้นั้น หากยังอยู่ในระดับเฉลี่ย 80 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ก็ไม่น่ามีผลกระทบต่อต้นทุนการส่งออกมากนัก
|
|
|
|
|