Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
นิตยสารผู้จัดการ 360 องศา สิงหาคม 2553
โอกาสบนเส้นทาง...สายไหม             
โดย ปิยาณี รุ่งรัตน์ธวัชชัย ยงยุทธ สถานพงษ์
 

   
related stories

'อีสานใต้' จาก 'ชายแดน' สู่ 'Land Link'
ไชโป๊วอีสานใต้...ขยายได้อีก
กันตรึม...เสียงดนตรีแห่งอีสานใต้

   
search resources

Silk
เรือนไหมใบหม่อน, ห้างหุ้นส่วนจำกัด
อาทร แสงโสมวงศ์




นอกจากไหมลวดลายอันวิจิตรใช้เทคนิคการทอที่สลับซับซ้อนที่บ้านท่าสว่าง จนได้รับความไว้วางใจให้เป็นแหล่งผลิตเพื่อมอบให้กับพระราชอาคันตุกะกับผู้นำประเทศครั้งจัดงานประชุม APEC และงานเฉลิมพระชนมพรรษาครบ 60 พรรษาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จนเป็นที่รู้จักและมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลก

เบื้องหลังความสำเร็จเกิดจากเรือนไม้หลังเก่าๆ สองชั้นที่มีเสียงกระทบของกี่กระตุกดังขึ้นเป็นระยะๆ ที่นี่คือเรือนไหมใบหม่อน หรือศูนย์บัญชาการศิลปวิทยาการ การทอผ้าไหม พื้นเมืองสุรินทร์ เป็นแหล่งเรียนรู้และทอผ้าไหมครบวงจรของแหล่งทอผ้าชั้นสูงของบ้านท่าสว่าง อ.เมือง จ.สุรินทร์ สินค้าดีแห่งอีสานใต้

อาทร แสงโสมวงศ์ เจ้าของธุรกิจเรือนไหมใบหม่อน ต้องการสร้างและลดปัจจัยจากผลิต ไม่ว่าจะเป็นลดการเหลือเส้นไหมจากการทอผ้าที่ไม่เท่ากัน ที่ชาวบ้านใช้การคำนวณเส้นยืนมาตรฐานไม่เท่ากัน เมื่อทอผ้าออกมาและเหลือทิ้งทำให้สิ้นเปลืองวัตถุดิบและต้นทุน จึงเป็นที่มาของธุรกิจเตรียมเส้นไหมยืนให้ได้สีและมาตรฐานเป็นที่ยอมรับจากแหล่งเดียวกันในเรือนแห่งนี้จึงเป็นแหล่งเตรียมทั้งอุปกรณ์และเครื่องทอผ้าสำหรับชาวบ้าน และอำนวยความสะดวกนับจากต้นน้ำยันปลายน้ำ ให้ชาวบ้านมารับไปทอที่บ้านได้เลย

นอกจากธุรกิจไหมส่วนตัว อาทรยังเป็นส่วนหนึ่งของหน่วยงานเอกชนที่เข้าไปสนับสนุนโรงไหมของนิคมอุตสาหกรรมสร้างตนเองในอำเภอกาบเชิง ซึ่งเป็นโครงการในสมเด็จพระบรมราชินีนาถ โดยเขาเข้าไปส่งเสริมการปลูกหม่อนเลี้ยงไหมและรับซื้อเส้นไหมจากแหล่งดังกล่าว

การดำเนินธุรกิจของเรือน ไหมใบหม่อนสอดคล้องกับกรอบ พัฒนาจังหวัดในกลุ่มอีสานใต้ที่ต้องการพัฒนาการทอผ้าไหมไปสู่ตลาดที่กว้างขึ้น

อาทรพยายามจัดระบบความชำนาญเฉพาะคนแบบอุตสาหกรรมมาใช้กับกระบวน การทอผ้าไหม แบ่งการดำเนินงานเป็นแผนกๆ แล้วมาทำงานประสานกันจนกลายเป็นผ้าไหม จากเดิมที่ชาวบ้านคนเดียวต้องมีความสามารถทำได้ทุกกระบวน การจนสำเร็จออกมาเป็นผืนผ้า

“ที่นี่จำแนกตามความสามารถ คนฟอกย้อมก็ทำหน้าที่ ฟอกย้อม เขาจะได้เรียนรู้เทคนิค ให้ได้มาตรฐานการย้อมและสังเคราะห์สีของเส้นไหมจนชำนาญ คนยืนเส้นไหมก็คำนวณ เส้นไหมยืนให้ถูกต้องตามลาย ตามคำสั่งผู้ทอ ใครผูกตะกอ เก็บตะกอก็ทำหน้าที่เตรียมอุปกรณ์นั้นไป”

การแยกการทำงานแบบนี้ทำให้อาทรมองเห็นวัตถุดิบเหลือใช้จากไหมและนำไปสู่ธุรกิจใหม่จากไหมที่มีมูลค่าสูงไม่แพ้ผ้าทอ นอกจากเหนือจากการพัฒนาลวดลายและสีสันของผ้าไหมให้เป็นที่ต้องการของตลาดทั้งในและต่างประเทศ

วัสดุเหลือใช้จากกระบวนการทอผ้าไหม ได้แก่ รังไหม น้ำจากการสาวไหม และการฟอกไหมดิบ เส้นไหมดิบ ทุกอย่างที่เป็นเศษจากไหม ซึ่งก็คือส่วนของโปรตีนธรรมชาติ เป็นตัวจุดประกายความคิดให้อาทรว่า สิ่งที่ชาวบ้านทั่วไปมองว่าเป็นเศษแต่ยังมีประโยชน์จะทำอะไรได้บ้าง

เครื่องสำอางคาเนโบของญี่ปุ่น เคยนำโปรตีนจากไหมไปเป็นส่วนผสมในเครื่องสำอางมาแล้ว เขาจึงลองพัฒนาสินค้า “เครื่องสำอางจากโปรตีนไหม” ตามแนวทางของคาเนโบ เพราะมีวัตถุดิบมากมายในมือ

โปรตีนไหมได้จากน้ำล้างและฟอกไหม ซึ่งสกัดออกมาในรูปของโปรตีนชนิดเหลว เป็นที่ต้องการทั้งในตลาดญี่ปุ่นและยุโรป อาทรมีวัตถุดิบนี้จากกระบวนการฟอกย้อมเฉพาะที่โรงไหมของเขาปีหนึ่งถึง 10 ตัน หากนำมาสกัดเป็นเครื่องสำอางโปรตีนไหมแล้วก็สามารถคำนวณเป็นรายได้ที่มีมูลค่าสูงถึงกว่า 300 ล้านบาทในสิ่งที่เหลือทิ้งนี้ ซึ่งเขาบอกว่ายังสามารถมองต่อไปถึงการสกัดเป็นโปรตีนชนิดผงแบบเดียวกับการผลิตนมผงได้ด้วย แต่ติดปัญหาเรื่องอุปกรณ์การผลิตซึ่งมีต้นทุนสูง

ดูเหมือนอาทรพัฒนากระบวนการผลิตไหมของเขาให้มีเศษเป็นศูนย์ เพราะเขายังไม่หยุดวงจรธุรกิจแค่น้ำโปรตีนจากไหม แต่ยังคิดถึงเศษรังไหมที่เหลือจากการสาวไหมอีกว่าจะนำมาทำอะไรได้บ้าง ซึ่งก็สามารถพัฒนาสินค้าที่ตอบโจทย์สาวๆ ได้อีก

“รังไหมที่เหลือผ่านการฆ่าเชื้อนำไปใช้ขจัดสิวเสี้ยนบนใบหน้า หรือใช้ผสมในอ่างอาบน้ำก็เป็นที่นิยมในแวดวงสปาของญี่ปุ่นและยุโรปเช่นกัน เพราะรังไหมมีคุณสมบัติพิเศษ หากถูกน้ำโปรตีนที่เคลือบบนใยไหมจะขับออกมาสามารถละเลงลงน้ำและเคลือบผิวเป็นการเคลือบผิวเพื่อกันผิวแห้ง”

หรืออีกธุรกิจที่มีแนวโน้มเกิดขึ้น คือการทำผ้าห่มหรือผ้านวมจากใยไหม โดยนำเส้นไหมมาแผ่ออกได้กว้างตั้งแต่ขนาด 60 นิ้ว X 80 นิ้ว ถึง 80 นิ้ว X 80 นิ้ว เป็นผ้าห่มกันหนาวได้อย่างดี เพราะรังไหมมีคุณสมบัติทั้งเหนียวและทน

อย่างไรก็ตาม ทั้งหมดที่คิดและทำ ก็ไม่ได้ทำให้อาทรละเลยธุรกิจหลักที่เป็นหัวใจของอุตสาหกรรมไหมแต่อย่างใด เพราะเขายังคงคิดค้นเรื่องการทอด้วยกรรมวิธี ต่างๆ เพื่อให้ได้ผ้าที่มีความคงทนและเหมาะสำหรับนำมาตัดเย็บเสื้อผ้าแฟชั่นควบคู่ ไปกับการคิดค้นธุรกิจใหม่เหล่านี้ด้วย

จากความพยายามต่อยอดธุรกิจ จากวัตถุดิบเหลือใช้จากโรงงานไหม ของอาทรที่คิดค้นและผลิตอยู่นี้ ไม่ว่าจะประสำเร็จมากหรือน้อยเพียงใด แต่นั่นก็เท่ากับได้เริ่มต้นแนวคิดให้กับวงการไหมที่จะนำมาซึ่งการพัฒนารายได้ ที่เพิ่มขึ้นกับผู้เกี่ยวข้องได้ แม้ชาวบ้านอาจจะไม่มีวัตถุดิบเหลือมากเท่าระบบ ที่เป็นอุตสาหกรรมแบบธุรกิจของอาทร แต่นั่นก็อาจจะส่งผลให้เกิดการรวมตัวของกลุ่มผู้เลี้ยงและทอผ้าไหมมากขึ้นก็เป็นได้

และที่แน่ๆ หากทุกธุรกิจของอาทรเกิดขึ้นจริง คนนอกพื้นที่คงได้เห็นแต่สินค้าที่พัฒนาสำเร็จของไหม โดยไม่มีโอกาสได้เห็นวัตถุดิบของกระบวนการทอผ้าไหมอีกต่อไป เพราะทั้งกระบวนการมีเศษเป็นศูนย์จริงๆ   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us