Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
นิตยสารผู้จัดการ 360 องศา สิงหาคม 2553
มอง “จีน” จากมุม “ญี่ปุ่น”             
โดย วริษฐ์ ลิ้มทองกุล
 


   
search resources

Economics




ปลายเดือนมิถุนายนถึงต้นเดือนกรกฎาคม 2553 ผมมีโอกาสเดินทางไปประเทศญี่ปุ่นตามโครงการ NSK-CAJ Fellowship Program ครั้งที่ 31 ของสมาคมผู้พิมพ์-ผู้โฆษณาและบรรณาธิการหนังสือพิมพ์แห่งญี่ปุ่น (Nihon Shinbun Kyokai; NSK) โดยได้รับการสนับสนุนจากสมาพันธ์นักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย (Confederation of Thai Journalists; CTJ)

NSK-CAJ Fellowship Program เป็นโครงการความร่วมมือระหว่างสื่อญี่ปุ่นกับสื่ออาเซียน ที่จัดอย่างต่อเนื่องมายาวนานกว่า 30 ปี โดยมีจุดประสงค์เพื่อฝึกอบรม แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมและสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างสื่อทั้งสองฝ่าย โดยในช่วงเวลา 2 สัปดาห์ NSK จัดให้นักหนังสือ พิมพ์จากเจ็ดชาติอาเซียนพบปะกับสื่อมวลชนญี่ปุ่น ทุกสาขาทั้งหนังสือพิมพ์ โทรทัศน์ สำนักข่าว ไม่นับรวมการสัมมนา การแลกเปลี่ยนความเห็น-ทัศนะกับเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานภาครัฐ นักวิชาการและภาคธุรกิจญี่ปุ่นจากหลากหลายอุตสาหกรรม

ทั้งนี้ระหว่างอยู่ที่โตเกียว ผมพบว่าหนึ่งในประเด็นที่เพื่อนสื่อมวลชนอาเซียนและชาวญี่ปุ่นในทุกภาคส่วนพูดถึงอย่างไม่ขาดปากคือ “ประเด็นจีน”

ประเด็นจีนที่คนญี่ปุ่นพูดถึงนั้นครอบคลุมเกือบทุกมิติ ตั้งแต่มิติด้านการเมือง-การทหาร การต่างประเทศ การท่องเที่ยว การค้า สังคม-วัฒนธรรม และที่สำคัญอิทธิพลทางเศรษฐกิจ โดยทัศนะของผู้คนในแต่ละด้านก็แตกต่างกันไป บ้างพูดถึงแง่บวก บ้างพูดถึงผลกระทบเชิงลบต่อประเทศญี่ปุ่น ธุรกิจญี่ปุ่น คนญี่ปุ่น ภาวะการจ้างงาน ฯลฯ

ในเชิงบวก... กลางเดือนมิถุนายน สื่อญี่ปุ่นหลายแขนงเผยแพร่รายงานสำคัญ ระบุถึงมาตรการของรัฐบาลญี่ปุ่นในการผ่อนคลายกฎเกณฑ์ในการออกวีซ่าให้กับนักท่องเที่ยวชาวจีน โดยจากเดิมที่มีข้อกำหนดว่านักท่องเที่ยวชาวจีนที่จะขอวีซ่าเข้าญี่ปุ่นได้นั้น จะต้องเป็นผู้ที่มีรายได้ มากกว่า 250,000 หยวนต่อปี (ราว 3.34 ล้านเยน หรือ 1.25 ล้านบาท) ก็มีการลดเกณฑ์รายได้ลงเหลือ 60,000 หยวนต่อปี (ราว 8 แสนเยน หรือ 3 แสนบาท) โดยจากมาตรการดังกล่าวจะทำให้ตัวเลขกลุ่มเป้าหมายของนักท่องเที่ยวจีนที่มีศักยภาพในการเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในญี่ปุ่น ถีบตัวขึ้นเป็น 16 ล้านครัวเรือน หรือมากกว่าเดิมถึง 10 เท่า และที่สำคัญการผ่อนคลายเกณฑ์รายได้ ในการขอวีซ่าดังกล่าว จะส่งผลกระทบเชิงบวกต่อ การท่องเที่ยวและเศรษฐกิจญี่ปุ่นมากถึง 430,000 ล้านเยนภายในปี 2554 (ค.ศ.2012)[1]

ขณะที่ตัวเลขจากองค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวแห่งประเทศญี่ปุ่น (Japan National Tourism Organization) ก็ระบุชัดเจนว่า นักท่องเที่ยวจากประเทศจีนที่เข้ามายังญี่ปุ่นเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงหลายปีที่ผ่านมา แม้เศรษฐกิจโลกจะตกอยู่ในภาวะผันผวน จำนวนนักท่องเที่ยวจากจีนเมื่อเปรียบเทียบกับจำนวนนักท่องเที่ยวทั้งหมดแล้ว คิดเป็นสัดส่วนเพิ่มมากขึ้นทุกปีๆ จากร้อยละ 8.6 ในปี 2545 (หรือคิดเป็นนักท่องเที่ยวจีนราว 450,000 คน) เป็นร้อยละ 15 ในปี 2552 (ราว 1.01 ล้านคน)

ระหว่างที่อยู่ในญี่ปุ่น ผมมีโอกาสได้พบกับ กลุ่มเด็กมัธยมต้นชาวจีนกว่าหนึ่งร้อยคนที่มาทัศนศึกษา ณ พระราชวังอิมพีเรียล กรุงโตเกียว ทีแรกผมนึกว่าเด็กๆ จีนกลุ่มนี้อาจจะมาจากหัวเมืองใหญ่ๆ ของจีน เช่น เซี่ยงไฮ้ ปักกิ่ง เซินเจิ้น หรือกวางเจา แต่เมื่อเดินเข้าไปทักทายกลับเป็นว่าเด็กจีนเหล่านี้มาจากลั่วหยาง มณฑลเหอหนาน ทั้งนี้ลั่วหยางแม้จะมีสถานะเป็นหนึ่งในเจ็ดเมืองหลวงเก่าแก่ของจีน แต่ปัจจุบันถูกจัดเป็นหัวเมืองในระดับรองของประเทศจีนที่ประชากรไม่ได้มีฐานะร่ำรวยอะไรมากมายนักเท่านั้น

ในเวลาใกล้เคียง มิตรชาวญี่ปุ่นที่ผมพบเจอ หลายคนก็บอกเป็นเสียงเดียวกันว่า “ย่านกินซ่าซึ่งถือเป็นแหล่งชอปปิ้งระดับหรูหราของกรุงโตเกียวและของโลก ทุกวันนี้ลูกค้าส่วนใหญ่ที่เดินเข้าร้านสินค้าแบรนด์เนม ไม่ว่าจะเป็นหลุยส์ วิตตอง ชาแนล คาเทียร์ บุลการี ฯลฯ กลับมิใช่เจ้าบ้านชาวญี่ปุ่นอีกต่อไป แต่เป็นอาซ้อ-อาเฮีย-อาหมวย-อาตี๋จากจีนแผ่นดินใหญ่ ซึ่งข้อมูลดังกล่าวถูกยืนยันโดยรายงานของสถานีโทรทัศน์เอ็นเอชเค เวิลด์ (NHK World) ที่ระบุว่า ปัจจุบันนักท่องเที่ยวจากจีนถือเป็นนักท่องเที่ยวที่มีการจับจ่าย ต่อหัวมากที่สุด เมื่อเปรียบเทียบกับนักท่องเที่ยวจากชาติอื่น โดยนักท่องเที่ยวจากจีนมีการใช้จ่ายต่อหัวเฉลี่ยสูงถึง 1,300 เหรียญสหรัฐ (ราว 43,000 บาท) ระหว่างการเดินทางท่องเที่ยวในญี่ปุ่น โดยสิ่งเหล่านี้ส่งผล ให้ภาคอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว และธุรกิจบริการต่างๆ ในญี่ปุ่นจำเป็นต้องปรับตัวให้เข้ากับโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ ไม่ว่าจะเป็นบริษัทนำเที่ยว มัคคุเทศก์ สถานที่ท่องเที่ยว ร้านขายของที่ระลึก รวมถึงกฎระเบียบ ต่างๆ ของภาครัฐ[2]

ภาพและความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับการท่องเที่ยวญี่ปุ่น สะท้อนให้เราเห็นถึงข้อเท็จจริงประการหนึ่งว่า ปัจจุบันเศรษฐกิจและสังคมญี่ปุ่นมีความจำเป็นต้องพึ่งพาการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของจีน เป็นเครื่องหล่อเลี้ยงและแรงขับดันให้เศรษฐกิจญี่ปุ่นสามารถขยายตัวต่อไปได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่เศรษฐกิจของสหรัฐฯ กับยุโรปยังอยู่ในภาวะลูกผีลูกคนเช่นปัจจุบันและมีแนวโน้มที่จะถดถอยลงอีกในระยะยาว

ในทางตรงกันข้าม “ข้อกังวลใจต่อจีน” ที่ชาวญี่ปุ่นหยิบยกขึ้นมาเป็นประเด็นพูดคุยกับบรรดานักหนังสือพิมพ์จากชาติอาเซียน ก็ครอบ คลุมไปในหลากหลายประเด็นดังที่กล่าวมาแล้วในตอนต้น ไม่นับรวมกับข้อตะขิดตะขวงใจทางประวัติศาสตร์ระหว่างสองชาติ ที่เป็นประเด็นมาอย่างต่อเนื่องยาวนาน ตั้งแต่ช่วงกลางศตวรรษที่ 19 เรื่อยมาจนสงครามโลกครั้งที่ 2 และเป็นปัญหามาถึงปัจจุบัน

ณ วันนี้ ผมเห็นว่าสิ่งที่ปัญญาชนและสื่อมวลชนชาวญี่ปุ่นรู้สึกเป็นกังวลกับ “การผงาดขึ้นมาของจีน” มากที่สุดก็คือประเด็นเรื่อง “เศรษฐกิจ” และ “การทหาร”

ในแง่มุมทางเศรษฐกิจ หลังจากที่ในปี 2550 จีนได้ก้าวขึ้นมาเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจอันดับ 3 ของโลกแซงเยอรมนี จากการคาดการณ์ ของสื่อหลายแขนงก็ค่อนข้างแน่ชัดว่า ในช่วงปลายปี 2553 นี้ขนาดของเศรษฐกิจจีนหากวัดตามผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (nominal GDP) น่าจะเบียดแซงญี่ปุ่นขึ้นไปเป็นอันดับ 2 ได้ โดยปรากฏการณ์ดังกล่าวถือว่ารวดเร็วกว่าที่เคยมีการคาดการณ์กันไว้ถึง 5 ปี[3]

จากมุมมองทางเศรษฐศาสตร์ปัญหาเรื่องเศรษฐกิจจีนจะใหญ่หรือเล็กกว่าญี่ปุ่น คงมิได้มีนัยสำคัญอะไรต่อวิถีชีวิตของคนญี่ปุ่นนัก เพราะหากคำนวณจากจีดีพีต่อหัว (GDP per capita) แล้ว โดยเฉลี่ยระดับคุณภาพชีวิตของคนจีนยังต่ำกว่าคนญี่ปุ่นมาก ทว่าในเชิงจิตวิทยา การที่เศรษฐกิจญี่ปุ่นถูกจีนแซงได้ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นที่คนญี่ปุ่นมีต่อระบบเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองของตัวเองพอสมควร

ลึกๆ แล้ว ความถดถอยในอันดับโลกของเศรษฐกิจญี่ปุ่น ถือเป็นสัญญาณที่บ่งชี้ให้เห็นว่า เศรษฐกิจญี่ปุ่นกำลังหดตัว และในระยะยาวมีแนวโน้มที่จะสูญเสียความสามารถในการแข่งขันให้กับเพื่อนบ้าน ไม่ว่าจะเป็นจีน ไต้หวัน เกาหลีใต้ เวียดนาม อินโดนีเซีย รวมถึงไทย โดยผลกระทบที่เห็นได้ชัดที่สุดก็คือการย้ายฐานการผลิตของบริษัทญี่ปุ่น ทำให้คนรุ่นใหม่ของญี่ปุ่นประสบความยากลำบากในการหางานประจำ (Full-Time) และต้องหันไปทำงานเสริมประเภทต่างๆ เพื่อหาเลี้ยงชีพ ซึ่งการเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจเหล่านี้ ได้สร้างปัญหาต่างๆ ในสังคมญี่ปุ่นอย่างต่อเนื่องเป็น ลูกโซ่ ไม่ว่าจะเป็นภาวะที่คนญี่ปุ่นแต่งงานช้าลง อัตราการเกิดไม่เท่ากับการตาย ตัวเลขประชากรหดตัวลงขณะที่สังคมก็เข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ (Aging Society)

หากมองในระดับมหภาค การที่เศรษฐกิจจีนประสบกับภาวะเงินฝืดมาอย่างต่อเนื่องยาวนาน หลายสิบปี ขณะที่สถานะทางการคลังของรัฐบาลญี่ปุ่นก็อ่อนแอ เพราะตัวเลขหนี้สาธารณะสูงถึงร้อยละ 180 ของจีดีพี ทำให้รัฐบาลญี่ปุ่นชุดต่างๆ ไม่สามารถหาเงินมาใช้กระตุ้นเศรษฐกิจได้ และเป็นสาเหตุให้นักการเมืองญี่ปุ่นจำนวนไม่น้อยต่างมีแนวคิดในการเพิ่มภาระภาษีให้กับประชาชน ซึ่งนี่เองเป็นหนึ่งในสาเหตุสำคัญว่า ทำไมในห้วงหลายปีที่ผ่านมานับตั้งแต่จุนอิชิโร โคอิซุมิ ลงจาก ตำแหน่งในปี 2549 ญี่ปุ่นถึงต้องเปลี่ยนตัวนายกรัฐมนตรีมาถึง 5 คนแล้ว

ซึ่งในห้วงเวลาเดียวกันกับที่ญี่ปุ่นประสบกับ ปัญหาต่างๆ นานา ประเทศจีนได้ก้าวเข้าสู่ยุครุ่งเรืองถึงขีดสุด โดยมีหลักไมล์ความสำเร็จคือการเป็นชาติที่ 3 ของโลก ที่สามารถส่งมนุษย์ขึ้นสู่อวกาศได้ด้วยเทคโนโลยีของตัวเองเป็นผลสำเร็จ การเป็นเจ้าภาพในการจัดมหกรรมโอลิมปิก ปักกิ่ง 2008 และการจัดเซี่ยงไฮ้เวิลด์ เอ็กซ์โป 2010 ขณะที่ทุนสำรองระหว่างประเทศของจีนล่าสุดก็พุ่งขึ้นไปแตะระดับ 2.45 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ

ในส่วนของการขยายแสนยานุภาพทางการทหารของจีน ผมพบว่าปัญญาชนและสื่อมวลชนชาวญี่ปุ่นแสดงความกังวลในประเด็นดังกล่าวอย่างมาก

ระหว่างการไปเยือนสำนักงานใหญ่หนังสือ พิมพ์อาซาฮี เคนอิชิ มิยาตะ ผู้บริหารสถาบันสื่อมวลชนของหนังสือพิมพ์อาซาฮี บอกกับผมว่าญี่ปุ่นมองการขยายตัวของกองทัพจีนเป็นภัยคุกคามประการหนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการขยับขยายแสนยานุภาพทางทะเลของกองทัพเรือแห่งกองทัพปลดแอกประชาชน (PLAN)

“ประเทศญี่ปุ่นอยู่ใกล้ประเทศจีนมาก อีกทั้งน่านน้ำของอาเซียนก็เป็นเส้นทางหลักในการขนส่งพลังงานและสินค้าของเรา ทำให้ญี่ปุ่นค่อนข้างจะเป็นกังวลกับการขยายตัวของกองทัพเรือจีน โดยเฉพาะจากกรณีที่มีข่าวว่า จีนกำลังขยายกองเรือดำน้ำและจะมีเรือบรรทุกเครื่องบินเป็นของตัวเอง” นักข่าวอาวุโสของหนังสือพิมพ์อาซาฮี บอก และกล่าวด้วยว่า การขยายอิทธิพลทางการทหารของจีนรวมไปถึงการตั้งฐานทัพเรือในอ่าวเบงกอล น่านน้ำของประเทศพม่าด้วย

ด้วยเหตุนี้เคนอิชิ สื่อมวลชนญี่ปุ่นและชาวญี่ปุ่นจำนวนไม่น้อย จึงมีมุมมองในการสนับสนุนให้กองทัพสหรัฐอเมริกายังคงสถานะและบทบาทอยู่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ต่อไป ซึ่งทางญี่ปุ่นก็คาดหวังว่าเพื่อนบ้านในอาเซียนจะเห็นด้วยกับแนวคิดในการถ่วงดุลอำนาจของมหาอำนาจในภูมิภาคนี้

ในยามที่มังกรจีนเริ่มผงาดและกำลังขยับขยายอิทธิพลของตัวเอง ดูเหมือนว่ามหาอำนาจดั้งเดิมอย่างญี่ปุ่นจะค่อนข้างโดดเดี่ยวและต้องการเพื่อนคู่คิดมิตรข้างกายเพิ่มมากขึ้นด้วยเช่นกัน


ข้อมูลอ้างอิงจาก :
[1] Kazuaki Nagata, Tourism revs up for China boom, The Japan Times, 17 June 2010.
[2] Chinese Travel Boom in Japan by Asia Biz Forecast, NHK World, 19 July 2010.
[3] Anderw Batson, A Second Look at China’s GDP Rank, The Wall Street Journal, 21 January 2010.


อ่านเพิ่มเติม :
- China Threat Theory นิตยสารผู้จัดการฉบับเดือนพฤษภาคม 2551   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us