|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
Carl-Peter Forster เป็น CEO คนใหม่ของ Tata Motors ค่ายรถใหญ่ที่สุดของอินเดีย Forster เคยเป็นผู้บริหารสูงสุดค่ายรถยุโรปในเครือของ General Motors และก่อนหน้านั้นเคยเป็นผู้บริหารของ BMW เขาลาออกจาก GM เมื่อเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว หลังจากขัดแย้งกับ GM เรื่องการขาย Opel/Vauxhall เมื่อ GM เปลี่ยนใจไม่ยอมขาย ในขณะที่ Forster สนับสนุนแผนการดังกล่าว เดือนกุมภาพันธ์ปีนี้ Forster รับตำแหน่ง CEO คนใหม่ของ Tata ซึ่งขณะนี้เป็นเจ้าของ Jaguar Land Rover (JLR) ค่ายรถหรูของอังกฤษด้วย ในขณะที่ความต้องการซื้อรถหรู JLR กำลังตกต่ำและตลาดรถเพื่อการบรรทุกของอินเดีย ซึ่ง Tata ครอง ตลาดอยู่ก็ตกต่ำมา 2-3 ปี อย่างไรก็ตาม ปี 2010 สถานการณ์ยอดขายและผลกำไรของ Tata เริ่มฟื้นตัวขึ้นบ้างแล้ว หลังจากรับ ตำแหน่ง 100 วันแรก Forster ได้เปิดใจให้สัมภาษณ์ครั้งแรก
การผลิตและขายรถหรูอย่าง JLR เป็นสิ่งที่ Forster รู้ดีที่สุด จากประสบการณ์ที่ BMW เขารู้สึกประทับใจในเทคโนโลยีโครงสร้าง ตัวถังอะลูมิเนียมแบบชิ้นเดียวที่เรียกว่า aluminium monocoque technology อันเป็นเทคโนโลยีเฉพาะของ Jaguar ที่ทำให้ตัวถังมีน้ำหนักเบาและยังมีราคาถูกลง แต่มีประสิทธิผลมากขึ้น ทั้งในแง่ของประสิทธิภาพการใช้งานและความคล่องตัว เทคโนโลยีนี้ จะเป็นอนาคตของ Range Rover เขาคิดว่าทีมออกแบบและวิศวกรของ JLR มีความเข้าใจดีถึงสิ่งที่ทำให้รถหรูอังกฤษ แตกต่าง จากรถหรูเยอรมนี ในขณะที่ BMW, Audi และ Mercedes ของเยอรมนีเลือกที่จะดูเจ๋งอย่างมีสมอง แต่สิ่งที่ทำให้ Jaguar และ Range Rover แตกต่างในความคิดของ Forster คือ บุคลิกภาพที่ดู “รวยกว่า”
หลังจากประสบความสำเร็จจากรถรุ่น XF ซึ่งเป็นรถขนาด กลาง และการปรับโฉม Range Rover รวมถึงการที่เพิ่งออกรุ่น XJ saloon ยังไม่เคยมีครั้งใดที่ JLR จะเพียบพร้อมด้วยรถรุ่นต่างๆ ที่ดูดีเท่านี้มาก่อน ทั้ง Forster และ Ralph Speth ชาวเยอรมันและอดีตเพื่อนร่วมงานของเขาที่ BMW ซึ่ง Forster ดึงตัวมาเป็นผู้บริหาร JLR รู้ดีว่า พวกเขาไม่อาจตามเก็บตลาดเฉพาะกลุ่มได้ทุกตลาด เหมือนกับค่ายรถคู่แข่งจากเยอรมนีซึ่งใหญ่กว่า แต่พวก เขาจะต้องไม่หยุดออกรถรุ่นใหม่ๆ และเร่งอุดช่องว่างในบางจุด เช่น ต้องเร่งออกรถดีเซลสี่สูบรุ่นใหม่ ออก Jaguar รุ่นเล็กเพื่อแข่ง กับ 3-series ของ BMW ออกรถรุ่นทายาทของ XF และรถสปอร์ต 2 ที่นั่ง เพื่อแข่งกับ Porsche Boxter JLR เพิ่งเปิดเผยรูปภาพรูปแรกของ Evoque รถ mini-Range Rover รุ่นใหม่สไตล์โฉบเฉี่ยว ซึ่งจะทำให้ JLR ก้าวเข้าสู่ดินแดนใหม่ ทันทีที่รถรุ่นนี้ออกสู่ตลาดในปีหน้า
สร้างทายาท Defender
โจทย์หนึ่งที่ท้าทาย Forster มากที่สุด คือการสร้างรถรุ่นใหม่ที่จะมาแทนที่รถในตำนานอย่าง Land Rover Defender ซึ่งคงจะไม่ผ่านมาตรฐานใหม่ของยุโรปด้านความปลอดภัยและการปล่อยคาร์บอนหลังจากปี 2015 ไปแล้ว โจทย์คือรถรุ่นใหม่ที่จะมาแทนที่จะต้องถูกกว่า และขายได้มากกว่าเจ้า “Landie” เพื่อให้แข่งขันกับรถคู่แข่งจากญี่ปุ่นได้ในตลาดประเทศกำลังพัฒนา และในขณะเดียวกันต้องสามารถเป็นทายาทของรถรุ่นเก๋าอย่าง Land Rover ได้ด้วย ในแง่ของความทรหดอดทนและลุยไปได้ทุกที่ ขณะนี้ทีมพัฒนารถรุ่นใหม่ซึ่งเรียกว่าทีม Project Icon กำลังขะมักเขม้นในการพัฒนารถที่สามารถจะขายได้อย่างน้อย 80,000 คันต่อปี หรือมากกว่า Defender 4 เท่า และเพื่อลดค่าใช้จ่าย รถรุ่นใหม่นี้อาจผลิตในอินเดีย
JLR ยังกำลังมองหาหุ้นส่วนในจีน เพื่อประกอบ Range Rovers ในจีน ซึ่งขณะนี้กลายเป็นตลาดใหญ่อันดับ 3 ของ JLR รองจากสหรัฐฯ และอังกฤษ นอกจากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ ในตลาดรถแต่ดั้งเดิมของ JLR จะยังคงเป็นปัญหาให้ Forster ต้องขบคิดแล้ว กฎเกณฑ์ที่เข้มงวดมากขึ้นในเรื่องการประหยัดน้ำมันและการปล่อยคาร์บอน ก็เป็นอีกหนึ่งปัญหาใหญ่ แม้ JLR กำลังเร่งพัฒนารถไฮบริด แต่ความที่เป็นรถขนาดใหญ่และแรง ทำให้ไม่พ้นถูกจับตามองเป็นพิเศษจากผู้คุมกฎไม่เพียงในยุโรป แต่ยังรวมถึงในสหรัฐฯ และจีนด้วย
อินเดียกำลังฟื้นตัว
การเติบโตของ GDP อินเดียเริ่มกลับมาอยู่ที่ 9-10% และความต้องการซื้อรถก็เริ่มสูงขึ้นเช่นกัน แผนการสร้างถนนเพิ่มขึ้นของรัฐบาลอินเดีย ยังช่วยเร่งความต้องการซื้อรถทุกชนิดที่ Tata มี ไม่ว่าจะเป็น Nano รถเล็กราคาถูกสุดๆ ของ Tata ไปจนถึงรถบรรทุกทั้งเบาและหนัก การผลิตรถ Nano กำลังเพิ่มขึ้น หลังจาก Tata เปิดโรงงานใหม่ที่ใหญ่กว่าเดิม ด้วยกำลังการผลิต 250,000 คันต่อปีที่ Gujarat Tata จำเป็นต้องสร้างโรงงานใหม่นี้ หลังจากถูกชาวนาประท้วงต่อต้านอย่างรุนแรง จนต้องปิดโรงงาน แห่งแรกของ Nano ที่อยู่ใน West Bengal ไป ก่อนหน้าที่จะเปิดตัว Nano ในปี 2008 เพียงเล็กน้อยเท่านั้น Forster คาดว่าความต้องการรถ Nano จะสูงกว่าที่บริษัทผลิตได้ไปอีกระยะหนึ่ง ถนนที่ดีขึ้นยังจะทำให้ชาวอินเดียต้องการรถบรรทุกที่มีกำลังแรงขึ้นและมีคุณสมบัติที่ดีกว่าเดิม แม้ว่าในอดีตการตัดสินใจซื้อรถบรรทุกหนักของผู้บริโภคจะดูที่ราคาเป็นหลัก แต่ Forster ชี้ว่า ผู้ซื้อรุ่นใหม่จะคำนวณค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่นอกเหนือจากราคามากขึ้น และรถบรรทุกที่มีราคาแพงกว่า อาจจะเป็นรถที่ใช้งานได้คุ้มค่ามากกว่า
JLR กับ Tata Motors จะรวมกันหรือไม่ Forster ตอบว่า ไม่มีทางที่ XJ รุ่นหน้าจะออกแบบทางวิศวกรรมในที่อื่นใดได้นอกไปจากอังกฤษและหาก Tata ตัดสินใจจะผลิตรถหรูอย่างที่มีข่าวลือ เพื่อขายในอินเดียและตลาดอื่นๆ ในเอเชียใต้ แน่นอนว่าต้องอาศัยความชำนาญของ JLR มาช่วย เพื่อให้สามารถแข่งขันกับรถเกาหลี แม้กระทั่งรถจากจีนที่อาจจะมีในอนาคต อย่างไรก็ตาม โอกาสสำหรับการร่วมมือกันระหว่าง JLR กับ Tata ในขณะนี้ยังมีน้อยมาก และนั่นเป็นสิ่งที่ Forster จะคิดแก้ไขต่อไป
แปล/เรียบเรียง เสาวนีย์ พิสิฐานุสรณ์
เรื่อง ดิ อีโคโนมิสต์
|
|
|
|
|