ภาพลักษณ์ของบริษัทใหญ่ ๆ ในประเทศทุนนิยมนั้น มักจะเป็นภาพลักษณ์ที่ถูกสังคมมองว่าเป็นผู้เอารัดเอาเปรียบ
เป็นผู้รับไม่เคยเป็นผู้ให้ ซึ่งก็คงเข้าทำนอง “ไม้สูงมักต้องต้านลมแรง”
นั่นแหละ
สำหรับเครือซิเมนต์ไทยแล้วเรื่องภาพลักษณ์จึงเป็นเรื่องที่ผู้บริหารภายในเครือตระหนักกันอย่างมาก
ๆ ปูนซิเมนต์ไทยพยายามเน้นภาพลักษณ์ความเป็นไทย และมีโครงการหลายโครงการที่สะท้อนความเป็นอยู่
“ให้” ไม่ใช่ผู้รับเพียงด้านเดียว
อย่างเช่นโครงการสู่ชนบทของเครือซิเมนต์ไทยก็คงจะเป็นตัวอย่างที่ดีของการทำงานเพื่อภาพลักษณ์นี้
โครงการสู่ชนบทของเครือซีเมนต์ไทยนั้น เป็นโครงการฝึกอาชีพการปั้นโอ่งซิเมนต์ให้แก่ราษฎรในท้องถิ่นทุรกันดาร
โดยเฉพาะในพื้นที่ที่ราบสูงและชนบทที่ขาดแคลนน้ำบริโภค โดยบริษัทปูนซิเมนต์ไทยได้เริ่มโครงการดังกล่าวนี้ตั้งแต่ปี
2519 เป็นต้นมาแล้ว
หรือจะเรียกว่าโครงการ “โอ่งเพื่อสังคม” ก็คงจะเรียกได้
การปั้นโอ่งซีเมนต์นั้นเน้นการใช้วัสดุอุปกรณ์ง่าย ๆ ซึ่งสามารถหาได้ตามชนบท
ประกอบด้วยกระสอบข้าวสารและแกลบสำหรับทำโครงรูปโอ่งและปูนซีเมนต์กับทรายสำหรับใช้ฉาบเป็นตัวโอ่ง
กระสอบข้าวสารกับแกลบนั้นก็คงจะหาได้ทั่วไป ส่วนปูนซีเมนต์ก็เป็นสิ่งที่บริษัทปูนซิเมนต์ไทย
จะเป็นผู้จัดหามาให้เป็นสมบัติของส่วนรวม พร้อมทั้งมีวิทยากรมาสาธิตกรรมวิธีการปั้นโอ่งซิเมนต์ให้เสร็จสรรพด้วย
เรื่องกรรมวิธีการปั้นโอ่งซีเมนต์และการใช้วัสดุอุปกรณ์ง่าย ๆ นี้ ถ้าผู้บริหารของปูนฯ จะต้องขอบใจผู้ต้นคิดแล้วก็คงต้องขอบใจคนของปูนฯ ที่ชื่อ โอภาส พรหมรัตนพงศ์ นักเรียนทุนคนแรกของบริษัทปูนซิเมนต์ไทยเมื่อปี 2496 ซึ่งรับทุนตั้งแต่ยังเรียนอยู่ที่แผนกวิทยาศาสตร์โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา และต่อมาเดินทางไปศึกษาต่อที่ประเทศเดนมาร์กอีก
6 ปีเต็ม ๆ จนสำเร็จปริญญาตรีพร้อมทั้งผ่านการอบรมชั้นสูงทางวิศวกรรมโยธากลับมา
โอภาสทำงานกับปูนฯ หลายหน้าที่ ตั้งแต่เป็นผู้ควบคุมการก่อสร้างโรงงานที่แก่งคอย
ควบคุมการก่อสร้างบ้านจัดสรรสำหรับพนักงานกว่า 500 ครอบครัวภายในหมู่บ้านจัดสรรของปูนซิเมนต์ไทยและครั้งหลังสุดนี้ก็เป็นผู้ควบคุมการก่อสร้างอาคารสำนักงานใหญ่ที่บางซื่อ
โอภาสเล่าให้ฟังถึงเรื่องกรรมวิธีการปั้นโอ่งซีเมนต์ซึ่งต่อมากลายเป็นสิ่งที่ผู้บริหารของปูนฯ หยิบขึ้นมาจัดทำเป็นโครงการ
“โอ่งเพื่อสังคม” ว่า
“ผมได้รับแรงบันดาลใจส่วนหนึ่งจากข้อเท็จจริงที่ว่าประชาชนส่วนใหญ่ในหมู่บ้านชนบทที่ห่างไกลล้วนมีปัญหาด้านสาธารณสุขขั้นพื้นฐานที่สำคัญ
คือการขาดน้ำกินน้ำใช้ที่สะอาดพอ และกว่าจะได้น้ำมาแต่ละครั้งก็มักต้องเดินทางกันเป็นระยะทางหลายกิโลเมตร
สร้างความลำบาก ความเหนื่อยยากและสิ้นเปลืองเวลาเป็นอย่างมาก ถ้าหากพี่น้องในชนบทเหล่านั้นสามารถมีภาชนะที่กักเก็บน้ำฝนเอาไว้ใช้ตลอดปี
พวกเขาคงจะมีสุขภาพที่ดีและมีเวลาทำงานหาเลี้ยงชีพเพื่อความเป็นอยู่ของครอบครัวที่ดีขึ้นด้วย
“จริงอยู่โอ่งน้ำอาจหาได้ไม่ยากนักในเมือง แต่สำหรับชาวไร่ชาวนาในชนบทที่อยู่ห่างไกลแล้ว
โอ่งจะมีราคาแพงมากสำหรับเขา มิหนำซ้ำการขนกลับไปยังหมู่บ้านก็ทำได้ยากเย็น
ดังนั้นสิ่งที่เป็นประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับเขาก็คือวิธีการทำโอ่งน้ำแบบง่าย
ๆ ที่สามารถทำได้ด้วยตนเองและมีราคาถูก ผมมีความเห็นว่าการทำโอ่งน้ำปกติที่มีความจุประมาณ
250 ลิตรหรือขนาดใหญ่ที่มีความจุประมาณ 3,500 ลิตรนั้น ไม่จำเป็นต้องใช้อิฐก่อเป็นแบบและไม่ต้องเสริมเหล็ก
แต่ควรจะทำได้ด้วยส่วนผสมของปูนซีเมนต์กับทรายในอัตราส่วน 1 ต่อ 2 ก็น่าจะเพียงพอ
อย่างไรก็ดี ปัญหามีอยู่ว่าจะใช้วัสดุอะไรทำแบบจึงจะสะดวกสำหรับชาวชนบทและหาได้ง่ายในหมู่บ้าน
“ขั้นแรกเราคิดถึงการใช้ถุงลมแบบยางในลูกฟุตบอล คิดถึงถุงพลาสติกใส่น้ำ
แต่หลังจากหารือกันระหว่างผู้ร่วมงานก็รู้ว่าความคิดเหล่านั้นไม่เหมาะสม เพราะแบบจะไม่คงตัว
เราเริ่มทดลองใหม่เป็นถุงพลาสติกใส่ทราย คราวนี้แบบคงรูปทรงที่ต้องการแต่ผิวพลาสติกเรียบเกินไปไม่เหมาะสมกับการฉาบปูนซึ่งต้องการผิวแบบที่หยาบกว่านั้น
พอดีเพื่อนร่วมงานของเราคนหนึ่งเสนอให้ใช้กระสอบข้าวซึ่งมีอยู่ทั่วไปในชนบทและราคาไม่แพงนัก
กระสอบข้าวใส่ทรายสามารถใช้เป็นแบบได้ดี ต่อมาได้ทดลองเปลี่ยนเป็นใช้แกลบใส่ข้างในแทนทรายก็ยิ่งสะดวกขึ้นไปอีก
“วิธีทำก็คือเอากระสอบข้าวขนาดธรรมดามาวางซ้อนกัน 2 ใบเย็บตะเข็บด้านข้างติดเข้าด้วยกัน
โดยให้ตอนบนกว้างกว่าตอนล่าง ส่วนล่างเมื่อคลี่ออกเป็นวงกลมจะต้องพอดีกับแผ่นปูนซีเมนต์ก้นโอ่งที่หล่อเตรียมไว้ก่อน
วางเชิงกระสอบลงบนแผ่นปูนซีเมนต์นี้แล้วค่อย ๆ ใส่ทรายลงไป น้ำหนักทรายจะกดเชิงกระสอบไว้บนแผ่นก้นโอ่ง
ขณะเดียวกันก็ดันกระสอบให้เป็นทรงกลมที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางเพิ่มขึ้นเรื่อย
ๆ เหมือนลักษณะโอ่งน้ำทั่วๆ ไป ตอนที่กว้างที่สุดจะสูงจากก้นโอ่งประมาณครึ่งเมตรแล้วเราก็พับกระสอบให้แคบเข้าสู่บริเวณปากโอ่งหาอะไรกลม
ๆ เช่นเขียงไม้มาวางทับตอนบนก็จะได้แบบด้านในของปากโอ่ง ถ้าแบบเบี้ยวให้เอาแผ่นไม้มาตบให้เข้าที่
พรมน้ำให้กระสอบชื้นแล้วเริ่มฉาบปูนซีเมนต์ โดยฉาบ 2 ชั้น ชั้นละครึ่งเซนติเมตรและเพิ่มความหนาขึ้นเล็กน้อยตอนใกล้ปากโอ่ง
“วันรุ่งขึ้นตักทรายหรือแกลบออกดึงกระสอบให้หลุดจากปูนซีเมนต์ที่แข็งตัวแล้ว
คนที่ฝึกชำนาญแล้วจะใช้ปูนซีเมนต์เพียง 12 กิโลกรัมสำหรับโอ่งน้ำขนาดบรรจุ
250 ลิตร แต่สำหรับผู้ที่เพิ่งเริ่มทดลองทำอาจจะต้องใช้มากกว่านั้นเล็กน้อย”
โครงการสู่ชนบทหรือ “โอ่งเพื่อสังคม” ของเครือซิเมนต์ไทยนี้
นอกจากจะมีวัตถุประสงค์เพื่อให้คนในท้องถิ่นกันดารได้รู้จักสร้างภาชนะไว้กักเก็บน้ำใช้ในยามขาดแคลนและอาจฝึกเป็นอาชีพเสริมรายได้นอกเหนือจากอาชีพหลักแล้ว
ก็ยังเป็นการส่งเสริมให้คนไทยตามท้องถิ่นห่างไกลได้มีโอกาสเรียนรู้การทำงานเป็นกลุ่ม
และแข่งขันกันสร้างสรรค์ผลงานที่มีคุณภาพอีกอย่างหนึ่งด้วย
ในปัจจุบันนั้นมีผู้เข้ารับการฝึกอบรมโครงการนี้แล้วประมาณ 30,000 คนจาก
740 หมู่บ้านในท้องถิ่นต่าง ๆ ทั่วราชอาณาจักร ก็สามารถปั้นโอ่งซีเมนต์ขนาด
300 ลิตร 600 ลิตรและ 1,000 ลิตรได้จำนวน 50,000 ใบ เฉลี่ยครอบครัวละ 2 ใบ
โดยเป้าหมายของการจัดทำโครงการ แต่ละหมู่บ้านจะต้องปั้นโอ่งให้ได้ไม่ต่ำกว่า
60-100 ใบ โอ่งที่ปั้นไม่เกินจำนวนที่กำหนดก็จะมอบให้เป็นสาธารณประโยชน์ในชุมชนนั้น
ๆ ต่อไป
นอกจากนี้ปูนซิเมนต์ไทยก็จะแนะนำให้มีการจัดกองทุนหมุนเวียนคือโอ่งซีเมนต์ขนาด
300 ลิตรที่ผู้เข้ารับการฝึกอบรมปั้นได้แล้วนั้น จะมอบให้แก่ผู้ปั้น 1 ใบ
ส่วนอีก 1 ใบจะให้ผู้ปั้นจัดซื้อไปใช้ในราคาใบละ 80 บาท โดยเงินจำนวนนี้จะถูกนำเข้ากองทุนไว้สำหรับใช้หมุนเวียนในการพัฒนาฝึกการปั้นโอ่งซีเมนต์ให้แพร่หลายยิ่งขึ้นและสำหรับโอ่งขนาด
600-1,000 ลิตรผู้ปั้นจะได้ 1 ใบเหมือนกัน และโครงการได้แนะนำให้ผู้ผ่านการฝึกอบรมออกค่าใช้จ่ายคนละ
150 บาท เพื่อเข้ากองทุนหมุนเวียนในการขยายงานปั้นโอ่งในพื้นที่ใกล้เคียง
จากการวัดผลที่ผ่าน ๆ มานั้นก็พบว่าโครงการนี้ประสบความสำเร็จอย่างมาก
ๆ มีประชาชนขอเข้าร่วมโครงการกันคึกคัก อีกทั้งก็เป็นโครงการที่หน่วยราชการหลายแห่งให้ความสนใจถึงกับส่งเจ้าหน้าที่มาศึกษาโครงการและเข้ารับการฝึกอบรมอยู่ไม่ได้ขาด
ในอนาคตปูนฯ มีเป้าหมายในการสร้างวิทยากรฝึกอบรมการปั้นโอ่งซีเมนต์ให้แก่สถาบันหน่วยราชการเป็นหลัก
ส่วนการเข้าไปฝึกอบรมชาวบ้านโดยตรงก็คงจะค่อย ๆ น้อยลง ทั้งนี้ก็เพื่อให้วิทยากรที่ผ่านการอบรมแล้วสามารถเผยแพร่วิธีการปั้นโอ่งไปสู่ชุมชนเป้าหมายได้มากยิ่งขึ้นและครอบคลุมพื้นที่ได้อย่างรวดเร็ว
ส่วนจะกว้างขวางแพร่หลายรวดเร็วจนงานเพื่อ “ภาพลักษณ์” นี้ต้องกลายเป็นส่วนหนึ่งของงานส่งเสริมการขายปูนซีเมนต์ตราเสือหรือไม่นั้นปูนฯ ก็คงบอกว่า
“มันไม่เกี่ยวกันหรอก”