|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
ฝ่ายวิจัยและพัฒนาธุรกิจ บริษัท ปทุมดีไซน์ ดีเวลลลอป จำกัด หรือพีดีเฮ้าส์ เปิดเผยผลสำรวจความเห็นประชาชนในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา (มกราคม-มิถุนายน 2553) จากกลุ่มตัวอย่างจำนวน 2,548 รายทั่วประเทศ ที่มีแนวโน้มต้องการสร้างบ้านหรือที่อยู่อาศัยหลังใหม่บนที่ดินของตัวเองทั่วประเทศ ทั้งนี้ มีผู้ตอบแบบสอบถามที่เป็นกลุ่มเป้าหมายจำนวน 364 ราย ในหัวข้อ “ที่มาของเงินลงทุนสร้างบ้านหลังใหม่” มาจากแหล่งใดระหว่าง “เงินออม” กับ “เงินกู้ยืมธนาคาร”
สำหรับผลสำรวจความต้องการปลูกสร้างบ้านหลังใหม่ พบว่าพื้นที่ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลมีความต้องการมากเป็นอันดับ 1 หรือคิดเป็นสัดส่วนเท่ากับ 31% รองลงมาได้แก่จังหวัดในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีสัดส่วนคิดเป็น 25% และจังหวัดในภาคกลางคิดเป็นสัดส่วนเท่ากับ 19% จำนวนอีก 14%, 8% เป็นสัดส่วนในพื้นที่ภาคเหนือและภาคใต้ ในขณะที่ภาคตะวันออกพบว่ามีสัดส่วนน้อยที่สุด หรือเท่ากับ 3%
หากเปรียบเทียบพฤติกรรมของประชาชนทั่วไป โดยเฉพาะกลุ่มเป้าหมายที่มีแนวโน้มจะปลูกสร้างบ้านหลังใหม่ที่ต้องการว่าจ้างบริษัทรับสร้างบ้าน จากข้อมูลสำรวจเมื่อ 6-7 ปีก่อน พบว่า สัดส่วนผู้บริโภคที่เลือกใช้บริการบริษัทรับสร้างบ้าน 60-70% นิยมใช้ “เงินออม” สร้างบ้านหลังใหม่ สัดส่วนที่เหลือประมาณ 30% เท่านั้นที่เลือกใช้ “เงินกู้ยืมธนาคาร”
ส่วนจากผลการสำรวจความเห็นครั้งนี้ พบว่า กลุ่มเป้าหมายหรือผู้บริโภคที่ต้องการจะสร้างบ้านหลังใหม่ บนที่ดินของตัวเองในปีนี้และอีก 1-2 ปีข้างหน้า มีความต้องการ “กู้ยืมเงินธนาคาร” มีสัดส่วนสูงถึง 79% และมีสัดส่วนเพียง 20% เท่านั้นที่จะใช้ “เงินออมหรือเงินสด”
สถิติดังกล่าว สะท้อนให้เห็นพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจนและมีนัยสำคัญ ถือเป็นกรณีศึกษาที่น่าสนใจของผู้ประกอบการที่แข่งขันอยู่ในตลาดรับสร้างบ้าน รวมทั้งสถาบันการเงินหรือธนาคารฯ ที่ปล่อยสินเชื่อปลูกสร้างบ้าน
ฝ่ายวิจัยและพัฒนาธุรกิจฯ ระบุว่า ในสายตาผู้บริโภคมองว่าการกู้ยืมเงินธนาคารฯ เพื่อปลูกสร้างบ้านยังเป็นเรื่องยุ่งยาก และส่วนใหญ่ไม่ทราบมาก่อนว่าสามารถกู้ยืมได้ อาจเป็นเพราะขาดการประชาสัมพันธ์ที่ดีพอ จากฝ่ายผู้ประกอบการและสถาบันการเงิน รวมถึงที่ผ่านมาขาดการอำนวยความสะดวกแก่ผู้บริโภคที่ต้องการใช้บริการ
นอกจากนี้ผลสำรวจยังระบุ กลุ่มเป้าหมายจำนวน 55% เห็นว่า เหตุผลสำคัญที่ต้องการใช้เงินกู้ยืมธนาคารเพื่อปลูกสร้างบ้านเพราะเห็นว่า “ทำให้มีบ้านเร็วขึ้น และคุ้มค่าเมื่อเปรียบเทียบกับดอกเบี้ยที่จ่าย” เหตุผลรองลงมากลุ่มตัวอย่างจำนวน 37% เห็นว่า “การออมเงินอาจไม่ทันกับราคาบ้านที่แพงขึ้นทุกปี”
หากพิจารณาจากสถิติดังกล่าวแล้ว อาจมองได้ว่า แนวโน้มสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยประเภทปลูกสร้างบ้านบนที่ดินของตัวเอง ยังมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก ถ้าสามารถทำให้ผู้บริโภคและประชาชนรับรู้และมีความเข้าใจมากขึ้น รวมถึงตลาดรับสร้างบ้านก็จะสามารถขยายตัวเพิ่มได้เช่นกัน จากในอดีตที่ผู้บริโภคเคยคิดและเข้าใจว่าจะต้อง “ออมเงินให้ครบก่อนจึงจะสร้างบ้านได้” ซึ่งนับเป็นข้อด้อยและเสียเปรียบธุรกิจที่อยู่อาศัยประเภทอื่น เช่น บ้านจัดสรร บ้านมือสอง เพราะผู้บริโภคมีความเข้าใจเป็นอย่างดีว่าสามารถกู้ยืมหรือขอสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยได้จากธนาคารโดยไม่ยุ่งยาก
ฝ่ายวิจัยและพัฒนาธุรกิจฯ เห็นว่า การพัฒนาตลาดรับสร้างบ้านควบคู่ไปกับตลาดสินเชื่อเพื่อปลูกสร้างบ้านให้เติบโตนั้น ผู้ประกอบการควรหันมาให้ความสำคัญอย่างจริงจัง โดยเฉพาะบริษัทรับสร้างบ้านต้องเร่งปรับตัวให้มีการบริหารจัดการที่ชัดเจน เพื่อสถาบันการเงินจะได้ไว้วางใจและสนับสนุนสินเชื่อปลูกสร้างบ้านแก่ลูกค้าที่มาใช้บริการ รวมถึงผู้ประกอบการเกิดใหม่หรือที่เข้ามาสู่ธุรกิจรับสร้างบ้านได้ไม่นานก็ตาม การมีระบบการบริหารจัดการที่ดีและมีความเป็นมืออาชีพจริงคือสิ่งสำคัญ โดยอาจใช้วิธีเข้าร่วมเป็นเครือข่ายกับมืออาชีพตัวจริงที่มีประสบการณ์มานาน อย่างเช่น โมเดลธุรกิจในรูปแบบแฟรนไชส์รับสร้างบ้าน ซึ่งในปัจจุบันสถาบันการเงินก็อำนวยความสะดวกและสนับสนุนการปล่อยสินเชื่อให้เช่นกัน
|
|
|
|
|