เพาเวอร์บาย เตรียมส่งสาขาสแตนด์อะโลนรุกหนักตลาดต่างจังหวัด หลังจากที่ก่อนหน้านี้เคยล้มเหลวกับรูปแบบเน็ตเวิร์กในกรุงเทพฯ ซึ่งเป็นร้านไฟฟ้าตามตึกแถวในชุมชน พร้อมกันนี้ยังซอยย่อยรูปแบบร้าน ตามความต้องการของลูกค้าแต่ละพื้นที่ เพื่อนำเสนอสินค้าได้ตรงความต้องการมากที่สุด
หลังจากไม่ประสบความสำเร็จในการสร้างโมเดล เพาเวอร์บาย เน็ตเวิร์ก ซึ่งเป็นร้านเครื่องใช้ไฟฟ้าในชุมชน ตั้งอยู่ตามตึกแถวต่างๆ ในกรุงเทพฯ บางสาขาก็เปิดตลอด 24 ชั่วโมง เช่น สาขาโชคชัย 4 ทว่า รูปแบบสาขาดังกล่าวไม่ได้ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคในเมือง ที่มีศูนย์การค้าให้เลือกหามากมาย เดินทางไปมาสะดวก อีกทั้งยังต้องการสัมผัส เปรียบเทียบสินค้าก่อนตัดสินใจซื้อ ซึ่งเพาเวอร์บาย เน็ตเวิร์ก มีพื้นที่จำกัด ทำให้ไม่สามารถนำสินค้ามาโชว์ได้มากนัก ท้ายที่สุดต้องปิดตัวไป บางสาขาก็ปรับมาเป็นรูปแบบสแตนดาร์ดแทน
ล่าสุด เพาเวอร์บาย เตรียมลอนช์คอนเซ็ปต์ สแตนด์อะโลน อีกครั้ง แต่เปลี่ยนเป็นรูปแบบโชว์รูมร้านเครื่องใช้ไฟฟ้า โดยโฟกัสไปสู่การสร้างการรับรู้และเพิ่มยอดขายในตลาดต่างจังหวัดมากขึ้น ชิงเค้กกับช่องทางที่เป็นดิสเคานต์สโตร์ อย่าง เทสโก้ โลตัส และบิ๊กซี ที่มีสาขาในต่างจังหวัดมากมาย รวมถึงร้านค้าที่เป็นดีลเลอร์ที่ครองใจคนในพื้นที่มายาวนาน
'เพาเวอร์บาย เป็นผู้นำเทคโนโลยีมาตลอด วันนี้เราเป็นผู้นำในเมืองแล้ว แต่ยังไม่ใช่ผู้นำในตลาดต่างจังหวัด ดังนั้น เราจึงต้องหาวิธีที่จะขยายสาขาไปทั่วประเทศ เราต้องการเห็นเพาเวอร์บายเข้าไปสู่ชุมชนหรือหัวเมืองต่างๆ โดยเราจะมีรูปแบบสแตนด์อะโลนให้เห็น 1-2 สาขาในปีนี้ โดยแต่ละสาขาจะมีพื้นที่มากกว่า 1,000 ตารางเมตร ทั้งนี้ เราจะสร้างแรงดึงดูดด้วยตัวเพาเวอร์บายเองก่อน ยังไม่คิดว่าจะดึงบียูอื่นๆ ในเครือเซ็นทรัลเข้ามาร่วมด้วยในขณะนี้' สุทธิสาร จิราธิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ เพาเวอร์บาย กล่าว
ปัจจุบันเพาเวอร์บายมีสาขามากกว่า 70 สาขา ซึ่งแต่ละสาขามีพื้นที่ตั้งแต่ 600-6,000 ตารางเมตร โดยมีสาขารูปแบบต่างๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็น สาขาสแตนดาร์ด ซึ่งมีสินค้าครบไลน์, โฮม ฟอร์แมต ตั้งอยู่ในโฮมเวิร์ค ไม่มีสินค้าไอที, นิว ฟอร์แมต อยู่ในร้านไทยวัสดุ, เพาเวอร์บาย ไอที เน้นเฉพาะสินค้าไอที และเพาเวอร์บาย อิมเมจ เป็นชอปเล็กๆ ในพลาซ่า เน้นสินค้าประเภทแฟลตพาแนลทีวี ทั้งนี้เพื่อตอบโจทย์ความต้องการที่เฉพาะเจาะจงของลูกค้า สำหรับโมเดลใหม่ที่เป็นสแตนด์อะโลนจะมีสินค้าครบไลน์เหมือนสาขาสแตนดาร์ดที่ตั้งอยู่ในศูนย์การค้า
ในขณะที่เพาเวอร์มอลล์มีสาขาเพียง 8 แห่งในเดอะมอลล์, เอ็มโพเรียม และพารากอน ซึ่งที่ผ่านมาเพาเวอร์มอลล์ไม่เคยมีแผนที่จะขยายสาขาออกนอกห้างเดอะมอลล์ เนื่องจากมองความเป็นศูนย์การค้าที่มีแผนกต่างๆ เป็นแม่เหล็กในการดึงดูดให้ผู้บริโภคเดินทางมาใช้ชีวิตในห้างสรรพสินค้ามากขึ้น นอกจากนี้เพาเวอร์มอลล์ยังพยายามสร้างความแตกต่างเพื่อดึงดูดลูกค้าให้เข้ามาใช้บริการ โดยมีการจัดกิจกรรมการตลาดต่างๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็นงาน บางกอก อิเล็กโทรนิก้า, อิเล็กโทรนิก้า โชว์เคส, ซูเปอร์เซล, บิ๊กบีท บิ๊กสกรีน ฯลฯ
ทว่า เพาเวอร์บาย ซึ่งเคลมว่าตัวเองเป็นเจ้าแรกของการจัดงาน Expo ด้านเครื่องใช้ไฟฟ้าในเมืองไทย ก็พยายามจัดงานใหญ่เพื่อสร้างกระแสและกระตุ้นยอดขาย ล่าสุด ทุ่มงบ 60 ล้านบาท จัดงาน เพาเวอร์บาย เอ็กซ์โป 2010 ระหว่างวันที่ 23 กรกฎาคม-3 สิงหาคม ที่เซ็นทรัล ลาดพร้าว และเป็นครั้งแรกของเพาเวอร์บายที่ดึงพันธมิตรมาร่วมออกงาน ไม่ว่าจะเป็น แผนกกอล์ฟ ซูเปอร์สปอร์ต เพื่อตอบสนองไลฟ์สไตล์กลุ่มลูกค้าผู้ชาย ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 55% ขณะที่กลุ่มลูกค้าผู้หญิงมีสัดส่วน 45% โดยมีการนำสินค้าตกแต่งบ้านจากโฮมเวิร์คมาร่วมงานเพื่อเติมเต็มให้กับไลฟ์สไตล์ของลูกค้า
เพาเวอร์บายตั้งเป้าว่าการจัดงานครั้งนี้จะสามารถสร้างยอดขายได้ 450 ล้านบาท เพิ่มจากการจัดงานครั้งก่อน 10% โดยชูแนวคิด Futuristic Fashion Show เพื่อเชื่อมต่อเทคโนโลยีกับความเป็นแฟชั่นและสะท้อนให้เห็นถึงเทรนด์ของเทคโนโลยี พร้อมด้วยแคมเปญส่วนลดต่างๆ และสินค้านาทีทองที่จะมาดึงดูดกำลังซื้อ
'เทคโนโลยีสมัยใหม่พัฒนาไปเร็วกว่าในอดีต วันนี้เราทำเรื่องโซลาเซลล์ให้เข้าถึงผู้บริโภคได้มากขึ้น วันหน้า เราจะนำเทคโนโลยีที่ช่วยประหยัดพลังงานมาโชว์ แต่ละบ้านจะมีที่เก็บแบตเตอรี่ที่ใช้พลังงานไฮโดรเจนเป็นตัวกำเนิดพลังงาน สำหรับพัดลมต่อไปไม่ต้องเสียบปลั๊ก ใช้โซลาเซลล์เก็บไฟฟ้าที่ฐาน และในอนาคตจะสามารถหมุนได้เร็วกว่าที่นำมาใชว์ในงานนี้' สุทธิสาร กล่าว
เพาเวอร์บาย ตั้งเป้าว่าจะสามารถปิดยอดในปีนี้ได้ 14,000 ล้านบาท เติบโตขึ้น 20% ซึ่งถือเป็นอัตราการเติบโตที่สูงที่สุดในรอบ 3-4 ปีที่ผ่านมา โดยครึ่งแรกของปีบริษัทสามารถปิดยอดขายได้ 6,000 ล้านบาท ทว่าในไตรมาสที่ 4 จะเป็นฤดูกาลขายที่สร้างยอดได้มากที่สุด ทำให้บริษัทเชื่อว่าจะสามารถบรรลุเป้ายอดขายได้ โดยสัดส่วนรายได้จากหมวดภาพและเสียงอยู่ที่ 35% เครื่องใช้ไฟฟ้าในครัวเรือน 30% และไอที 35%
ปัจจัยที่ทำให้ตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าเติบโตในปีนี้ เกิดจากนโยบายรัฐที่ลดหย่อนค่าธรรมเนียมในการโอนบ้าน ทำให้ผู้บริโภครีบโอนบ้าน ส่งผลให้บ้านใหม่เกิดขึ้นจำนวนมาก ซึ่งแต่ละบ้านก็ต้องมีการซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าเข้าบ้าน ประกอบกับมหกรรมฟุตบอลโลกที่กระตุ้นให้ยอดขายสินค้าในหมวดภาพและเสียงเติบโตมากถึง 50%
|