Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ สิงหาคม 2528








 
นิตยสารผู้จัดการ สิงหาคม 2528
เริงชัย มะระกานนท์ ผู้อำนวยการฝ่ายการธนาคาร ธนาคารแห่งประเทศไทย             
 


   
search resources

ธนาคารแห่งประเทศไทย
เริงชัย มะระกานนท์
Interest Rate




เรื่องอัตราดอกเบี้ยที่เกี่ยงกันทุกครั้งว่าจะให้แบงก์ชาติประกาศลดให้หรือธนาคารพาณิชย์ลดกันเอง ทำไมไม่จบสิ้นเสียที

ผมเองเห็นว่าระบบการเงินของเรา การที่จะเปลี่ยนไปสู่ระบบ “อัตราดอกเบี้ยลอยตัว” นั้น โดยกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์บางแห่งเป็น “ลีดแบงก์” นำการลดดอกเบี้ยก็คงจะยากที่จะดำเนินการ เพราะเหตุว่าระบบธนาคารพาณิชย์ของเราต้องยอมรับว่าประชาชนผู้ฝากเงินนั้นเขาไม่ได้ดูว่าธนาคารใดมีฐานะอย่างไร เพียงแต่ดูประเด็นเดียวว่าธนาคารใดให้ดอกเบี้ยเงินฝากสูงหรือต่ำ

ปัญหาเรื่องนี้มันเห็นได้ชัดในกรณีสาขาธนาคารในต่างจังหวัด ในกรุงเทพฯ นี่การแข่งขันในเรื่องการให้บริการของธนาคารพาณิชย์ทำให้ดอกเบี้ยอาจจะแตกต่างกันได้บ้าง เพราะเขามีบริการที่เป็นดอกเบี้ยซ่อนเร้นเช่น เอ.ที.เอ็ม. เครดิตการ์ดหรืออะไรต่างๆ ในต่างจังหวัดสาขาของธนาคารตั้งอยู่คนละฝั่งถนน ถ้าธนาคารหนึ่งให้ดอกเบี้ยร้อยละ 12 อีกธนาคารหนึ่งให้ร้อยละ 12.5 อีกธนาคารให้ร้อยละ 13 ต่างกันแค่ร้อยละ .5 ก็พอที่จะเปลี่ยนบัญชีได้แล้ว

ในภาวะเป็นจริงมันเป็นแบบนี้ เพราะฉะนั้นการที่จะดำเนินการอะไรต้องมีคนชี้นำ มีคนนำ จึงจะทำให้เกิดการดำเนินการในลักษณะที่เป็นระเบียบพร้อมเพรียงกัน อันนี้ธนาคารพาณิชย์เขาก็หวังให้ธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นผู้นำ

ธนาคารแห่งประเทศไทยก็ยืนยันว่าเราไม่ออกประกาศ ที่จะปรับอัตราดอกเบี้ย การไม่ออกประกาศนั้นก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่ทำให้ดอกเบี้ยขึ้นลงอย่างเป็นระเบียบเสมอกัน ทำได้ ผมคิดว่าแบงก์ชาติทำได้ เพราะมีหลายมาตรการที่แบงก์ชาติออกไปโดยไม่ได้อาศัยอำนาจกฎหมายก็มี อยู่ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยบอกว่า โอ.เค. เห็นสมควรจะต้องลดดอกเบี้ย ถ้าเป็นอย่างนี้แล้ว มีการติดตามดูแลให้เป็นไปอย่างถูกต้องเหมาะสม ก็คิดว่าคงคุ้ม

คือการลดดอกเบี้ยนั้นอาจจะมีการเหลื่อมบ้าง มีการแข่งขันเรื่องดอกเบี้ยเล็กน้อย แต่จะต้องไม่ถึงกับเสียหายต่อฐานะของธนาคาร อย่างนี้เราคงปล่อยให้ทำ แต่หากว่าเป็นการแข่งขันกันจนกระทั่งธนาคารเล็กรับเงินฝากเข้าไปมากมาย อย่างนี้เสียหาย เพราะสภาพการเงินขณะนี้ใครยิ่งรับเงินฝากมาก ฐานะก็ยิ่งขาดทุนเพราะไปปล่อยต่อลูกค้าไม่ได้

เราในฐานะที่รู้ฐานะการเงินของธนาคาร รู้ฐานะรายได้รายจ่าย ว่าต้นทุนสูงขึ้นรายได้เป็นอย่างไร เช่น เงินฝากรับมาเยอะแยะเลย แต่เงินกองทุนมีกำลังอยู่ไม่มาก ปล่อยกู้ก็ไม่ได้ ติดอัตราส่วนระหว่างเงินกองทุนกับสินทรัพย์เสี่ยง เพราะฉะนั้นเราก็ต้องไปบอกว่าคุณกำลังดำเนินนโยบายการเงินที่ผิด แบงก์ชาติก็ต้องเข้าแทรกแซง

ดังนั้นแบงก์ชาติจึงต้องทำหน้าที่เป็นผู้นำในการลดดอกเบี้ยอีกครั้งหนึ่ง

ก็หมายถึงว่ามีการเจรจากันแล้วเห็นว่าควรจะลดดอกเบี้ย และลดเท่าไหร่ ถ้าหากเราเห็นด้วยเราก็คงให้สัญญาณออกไปในลักษณะปรับอัตราดอกเบี้ยในส่วนที่ทางการเกี่ยวข้อง สัญญาณอันนี้มันก็จะเป็นตัวบอกอย่างชัดเจน

ที่ผ่านมามีเสียงบ่นว่าแม้แบงก์ชาติจะเป็นตัวนำในการลดดอกเบี้ยแล้ว ก็มีเสมอที่บางแบงก์ไม่ทำตาม

ก็มีเสียงบ่นบ้าง แต่ก็ไม่ได้ถึงกับมากมาย คืออาจจะมีสาขาต่างจังหวัดบางแห่งที่อาจจะฝ่าฝืนบ้าง ไม่อย่างนั้นลูกค้ารายใหญ่ของเขาต้องหลุดไป อาจจะมีบ้างผมก็ยังไม่ยืนยัน แต่ก็ไม่ได้เป็นเรื่องทำกันอย่างเปิดเผย เช่น ประกาศว่าโอนมาแบงก์นี้ผมให้ 13 เปอร์เซ็นต์ ที่เปิดเผยก็คือทุกแบงก์ที่ส่งประกาศมาให้เราก็คือ 12.5 เปอร์เซ็นต์ การที่ทำเป็นกรณีนี่นะ ต้องยอมรับความจริงว่าแม้จะมีอัตราดอกเบี้ยสูงสุด 13 เปอร์เซ็นต์ ก็มีการทำอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นเรื่องบ่นมันจึงมีมาตั้งแต่โบร่ำโบราณ

ที่ธนาคารพาณิชย์บอกว่าเงินล้นเป็นเพราะปล่อยกู้ไม่ออก หรืออัตราดอกเบี้ยต่างประเทศมันต่ำมาก

ก็ทั้ง 2 เหตุผลประกอบกัน คือการขยายเงินให้กู้ยืมปีนี้ต่ำมากคือเมื่อสิ้นเดือนมิถุนายนอัตราก็ยังเพิ่มเฉลี่ยปีละ 14 เปอร์เซ็นต์ ในขณะที่เงินฝากเพิ่มขึ้น 18 เปอร์เซ็นต์ เห็นได้ชัดๆ ว่าเงินฝากเพิ่มมากกว่าทำให้เงินฝากส่วนหนึ่งปล่อยไม่ได้ ก็เป็นสภาพคล่องส่วนเกิน การที่เงินกู้ยืมเพิ่มน้อยเพียง 14 เปอร์เซ็นต์ ก็เนื่องมาจากธุรกิจต่างๆ ซบเซา การลงทุนลดน้อยลง ความต้องการกู้ยืมก็น้อยอันนี้เป็นสาเหตุประการแรก

สาเหตุประการที่ 2 คือว่าธุรกิจขนาดใหญ่ที่สามารถกู้ยืมเงินจากต่างประเทศเขาก็หันไปกู้จากต่างประเทศ เห็นได้ชัดว่าตั้งแต่เดือนมีนาคมเป็นต้นมาเงินกู้ยืมจากต่างประเทศเข้ามาเดือนหนึ่ง 4-5 พันล้านบาท ตอนต้นปีช่วงที่ดอลลาร์สหรัฐมันแข็งขึ้นมาก อัตราแลกเปลี่ยนมีความไม่แน่นอน แต่ดอลลาร์มีแนวโน้มแข็งตัว ช่วงนั้นเงินมันไหลออก พอเดือนมีนาคมแนวโน้มมันเริ่มเปลี่ยน มีการนำเข้าทุนของภาคเอกชน 6.5 พันล้านบาท เดือนพฤษภาคมอีก 5 พันล้านบาท

เหตุที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะดอลลาร์อ่อนตัวลง แนวโน้มมันกลับตรงกันข้ามแต่ก่อนมีแต่แนวโน้มจะขึ้น เพราะฉะนั้นคนที่กู้เข้ามาก็มีทางได้ประโยชน์ คือ กู้เข้ามาตอนดอลลาร์ละ 27.70 บาท แต่เวลาใช้คืนอาจจะเหลือ 27 บาท ก็ได้กำไรคนก็เลยกู้เข้ามามาก อัตราแลกเปลี่ยน เปลี่ยนไปในทางที่ชักจูงให้คนกู้เข้ามา

อีกอย่างหนึ่งคือผู้กู้รายใหญ่เริ่มเข้าใจการกู้เข้ามาแบบ “บาสเกต” ธนาคารพาณิชย์ก็ออกประกาศมาเลยว่าลูกค้าคนไหนต้องการกู้แบบ “บาสเกต” เขาก็พร้อมที่จะให้คำแนะนำ เพื่อจะลดความเสี่ยง

เช่น อาจจะกู้เป็นเงินดอลลาร์ 50 เปอร์เซ็นต์ เงินเยน 30 เปอร์เซ็นต์ เงินมาร์ก 20 เปอร์เซ็นต์ อะไรทำนองนี้ อย่างธนาคารไทยพาณิชย์เขาก็มีสูตรของเขา เช่น ดอลลาร์ 60 เปอร์เซ็นต์ เงินมาร์ก 10 เปอร์เซ็นต์ เงินเยน 30 เปอร์เซ็นต์ แต่ทั้งหมดนี้เป็นการกู้ยืมเป็นเงินตราต่างประเทศอย่างน้อย 3 สกุล ทำให้อัตราแลกเปลี่ยนมันลดลงเหลือแค่ 1-2 เปอร์เซ็นต์ อัตราเสี่ยงแค่นี้เมื่อเทียบกับอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ต่างประเทศที่เขาคิดแค่ 8 เปอร์เซ็นต์ บวกมาร์จินสัก 1.5 เปอร์เซ็นต์ เสียจริงๆ แค่ 10-11 เปอร์เซ็นต์ มันถูกกว่ากู้ในประเทศตั้งเยอะ บวกความเสี่ยง 1-2 เปอร์เซ็นต์ก็ยังถูกกว่า

อันนี้เป็นผลทำให้เงินมันเหลือ ยิ่งสภาพปัจจุบันยิ่งเห็นได้ชัดเพราะดอลลาร์ยิ่งอ่อนตัวลง เงินกู้ยืมจากต่างประเทศก็จะยิ่งเข้ามามากยิ่งขึ้น เพราะผู้ที่กู้เข้ามาไม่จำกัดเฉพาะผู้กู้รายใหญ่เท่านั้น แม้แต่ผู้กู้ขนาดย่อมก็เริ่มเรียนรู้วิธีการกู้จากต่างประเทศกันแล้ว

ด้านในประเทศเนื่องจากธุรกิจไม่ค่อยดี ความต้องการกู้ยืมเงินจึงน้อย รวมทั้งธนาคารพาณิชย์ไม่อยากจะเสี่ยงคือไม่อยากเร่งการปล่อยกู้ ถ้าแบงก์พาณิชย์ต้องการปล่อยกู้เขาบอกสาขาเขาแป๊บเดียวก็เรียบร้อย

ลดดอกเบี้ยในประเทศลงมาแค่ไหนจึงจะพอแก้ไขภาวะที่ว่านี้

ดอกเบี้ยอย่างเดียวคงไม่ช่วยแก้ภาวะการลงทุนให้ดีขึ้น ภาวะการลงทุนมันขึ้นอยู่กับเราขายสินค้าออกหรือเปล่า เวลานี้ราคาพืชผลเกษตรก็ตกต่ำ กำลังซื้อจึงแย่ ดอกเบี้ยจะช่วยตรงที่ว่าถ้าดอกเบี้ยลดลงต้นทุนที่เขากู้ยืมก็ลดลงตาม ทำให้ผู้ลงทุนที่ทำธุรกิจอยู่แล้วมีกำลังใจ เป็นผลทางจิตวิทยา ตัวมันเองไม่ใช่ว่าลดดอกเบี้ยแล้วทุกอย่างสดใสซาบซ่า ทุกคนตอนนี้มองมาแต่แบงก์ชาติว่าทำอะไรแล้วจะช่วยได้ทันที มันไม่ใช่

จะอย่างไรก็คงไม่ถึงระดับดอกเบี้ยเงินฝากลดลงเหลือแค่ 9 เปอร์เซ็นต์ และเงินให้กู้เหลือ 14 เปอร์เซ็นต์ อย่างที่แบงเกอร์บางคนพูด

(หัวเราะ) คงไม่ถึงขนาดนั้น คือธุรกิจธนาคารพาณิชย์ขณะนี้ผมคิดว่การยอมขาดทุนในเรื่องส่วนต่างดอกเบี้ย การขาดทุนที่ว่านี้ไม่ได้หมายถึงการขาดทุนติดลบ แต่เป็นการขาดทุนกำไรในช่วงนี้ดีกว่าทำให้คุณภาพหนี้เสียไป เพราะอันนั้นทำให้เสียต้นไปด้วย กิจการธนาคารพาณิชย์อาจจะมีรายได้หดตัวไประยะหนึ่ง แต่ถ้าทำให้ธุรกิจและลูกค้าดีขึ้น ในที่สุดเงินก็ไหลเงินก็จะไหลกลับเข้ามาในระบบอีก ดีกว่าอยู่ในสภาพเงินล้นแบงก์ที่ต้องแบกภาระดอกเบี้ยเงินฝาก

ปีก่อนพยายามคุมสินเชื่อไม่ให้ขยายเกิน 18 เปอร์เซ็นต์กลับเกิน ปีนี้ไม่คุมแต่ก็ไม่ถึง

(หัวเราะ) ต่ำกว่า 18 อีกปีนี้ แค่ 13-14 เท่านั้น (หัวเราะ) อย่างไรก็ตาม เรื่องดอกเบี้ยเป็นวิธีหนึ่งที่ทำให้เกิดผลในทางกระตุ้น คือถ้าลดลงมาแยะหน่อยผลมันก็จะแยะ อันนี้ถูกต้อง ในแง่ธนาคารพาณิชย์อาจจะมองว่าต้องการกระตุ้นการลงทุน ถ้าวัตถุประสงค์อยู่ที่เรื่องนี้เรื่องเดียวก็แน่ชัด ใช้วิธีลดดอกเบี้ยและใช้เต็มที่

แต่ในแง่ของเราเราต้องดูว่า โอ.เค.กระตุ้นการลงทุน ในขณะเดียวกันก็ต้องระมัดระวังทางด้านการออมด้วย ว่าประชาชนเขาจะเกิดผลกระทบอย่างไร ถ้าดอกเบี้ยเงินฝากลดลงมากๆ ทำให้การระดมเงินฝากเกิดปัญหาขึ้นเหมือนอย่างเมื่อปี 2523 ที่เงินฝากไม่เพิ่มจนต้องมีการประกาศเพิ่มดอกเบี้ย (ดอกเบี้ยเงินฝากจากร้อยละ 9 เป็นร้อยละ 12)

หากยามันแรงไปมันมีทั้งผลลบผลบวก คิดว่าผลบวกเราก็พอมองเห็น เพราะถ้าดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืมเหลือ 14 เปอร์เซ็นต์ อันนี้ผลมันแน่นอน อาจจะมีการขยายการลงทุนกันมาก ธุรกิจต่างๆ ขยายตัว ผลที่ตามมาก็คือการสั่งสินค้าเข้าเกิดปัญหาการขาดดุลการค้าอีก เพราะฉะนั้นเราจึงพยายามดูว่าลดแค่ไหนจึงจะเหมาะแก่การกระตุ้นการลงทุน

คือจะลดพรวดเดียว 4-5 เปอร์เซ็นต์ แม้แต่เกาหลีที่เขาลดลงแยะ ที่ผมไปดูเมื่อไม่กี่เดือนก่อนเขาลดจากดอกเบี้ยเงินกู้ 17 เปอร์เซ็นต์ เขาลดเหลือแค่ 10 เปอร์เซ็นต์ เขายังต้องลดถึง 4-5 จังหวะ เขาก็ไม่ได้ลดทีเดียว ขนาดเขาเป็นประเทศเผด็จการเด็ดขาด

การที่ค่อยๆ ลดดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไปนั้นเป็นวิธีการที่รอบคอบ แต่ก็มีผลเสียที่ว่าคนกู้เงินไปลงทุนอาจจะคิดว่าถ้าเป็นอย่างนั้นจริงอย่าเพิ่งกู้เลย รอให้ลงอีกรอบดีกว่า ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us