Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ สิงหาคม 2528








 
นิตยสารผู้จัดการ สิงหาคม 2528
ปัญหาที่ผู้จัดการตลาดหุ้นคนใหม่ต้องเจอ             
 


   
search resources

ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
มารวย ผดุงสิทธิ์
Economics
Stock Exchange
Knowledge and Theory




การป้องกันไม่ให้ถูก TAKE OVER กับเรื่องปั่นหุ้นที่อาจจะต้องกลับมาอีก

ปัญหาในตลาดหลักทรัพย์ที่กรรมการและผู้จัดการคนใหม่จะต้องเจอในระยะใกล้ๆ นี้ (ดร.มารวย ผดุงสิทธิ์ รับตำแหน่งวันที่ 1 กันยายน 2528) มีอยู่หลายประการด้วยกัน อย่างแรกก็คือ การปรับตัวของตลาดต่อภาวะใหม่

เหตุที่ต้องปรับตัวก็เนื่องมาจากตลาดหลักทรัพย์ของเราในระยะ 2 ปีที่ผ่านมา ได้รับความสนใจจากนักลงทุนจากต่างประเทศอย่างมาก และพวกนี้ส่วนใหญ่จะเป็นพวกที่มีความรู้เคยซื้อขายหลักทรัพย์ในต่างประเทศมาแล้วทั้งนั้น คือเป็นประเภท FUND MANAGEMENT ดังนั้นเราจึงจำเป็นต้องการปรับตัวเปลี่ยนแปลงกฎข้อบังคับต่าง ๆ ที่ไม่สอดคล้องกับภาวะที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เพื่อเตรียมรองรับสถานการณ์เช่นนั้น

อย่างหนึ่งที่ผู้เขียนคิดว่าอาจจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงอย่างเช่นนักลงทุนต่างชาติเข้ามาซื้อหุ้นในบริษัทใดบริษัทหนึ่งที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ในระดับราคาหนึ่ง (ซื้อในราคาที่สูงกว่าราคาตลาดจำนวนมาก) อาจจะทำให้บริษัทนั้นเกรงว่าตนเองกำลังจะถูก TAKE OVER เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ตลาดหลักทรัพย์หรือผู้จัดการคนใหม่ต้องป้องกันไม่ให้เกิดขึ้น

ที่พูดอย่างนี้ไม่ได้หมายความว่าการ TAKE OVER จะทำไม่ได้ หรือรวมกระทั่ง MERGER หรือรวมบริษัทเข้าด้วยกันเพียงแต่ตลาดหลักทรัพย์เองต้องมีการออกกฎเกณฑ์มาให้ชัด

อีกเรื่องหนึ่งที่คิดว่าผู้จัดการคนใหม่อาจเจอปัญหาเรื่องการปั่นหุ้น

ก่อนหน้านี้เราบอกได้ว่าตลาดหลักทรัพย์ค่อยๆ ดีขึ้นความสนใจของคนยังมีไม่มากนัก คนที่เข้ามาลงทุนส่วนใหญ่ได้แก่บรรดาสถาบันการเงินและราคาหุ้นต่างๆ ก็อยู่ในระดับที่สอดคล้องกับความเป็นจริง

แต่เมื่อมีนักลงทุนจากต่างประเทศเข้ามาจะเป็นตัวผลักความสนใจของคนในบ้านเราได้เกิดความตื่นตัวขึ้น ก็เป็นไปได้ที่จะมีการคิด “ทำราคาหุ้น” (ปั่นหุ้น) อะไรต่างๆ จะกลับเข้ามาใหม่อีกครั้งหนึ่ง

อย่างไรก็ตาม กฎข้อบังคับที่เรามีอยู่ทุกวันนี้ก็เพียงพอสำหรับป้องกันปัญหาที่จะเกิดขึ้น เพียงแต่เราจะใช้อย่างเข้มงวดแค่ไหน มาตรการการป้องกันการลงโทษมีอยู่แล้วถ้าเราตีความในลักษณะที่เข้มงวดมากขึ้น แต่ทั้งนี้ก็ไม่ได้หมายความว่าเป็นเรื่องง่าย เพราะถ้าเข้มงวดเกินไปอาจจะส่งผลให้ตลาดหลักทรัพย์ซบเซาก็ได้ และถ้าไม่เข้มงวดก็อาจจะทำให้มีการปั่นหุ้น

เท่าที่ผู้เขียนดูอยู่ขณะนี้ไม่อยากเรียกว่าการปั่นหุ้นได้เกิดขึ้นแล้ว แต่ก็มีราคาหุ้นบางตัวเหมือนกันที่สูงขึ้นในลักษณะที่ดูแล้วไม่สมเหตุสมผลเท่าไร ในช่วงแรกอาจจะเป็นไปได้ที่นักลงทุนต่างชาติจะสนใจเฉพาะหุ้นลงทุน แต่ระยะต่อไปผู้เขียนไม่เชื่อว่าเขาจะจำกัดอยู่แค่นั้น เขาคงแผ่การลงทุนไปในหุ้นประเภทอื่น และหุ้นลงทุนเองก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีการปั่น ผู้ลงทุนอาจจะมาปั่นราคาที่หุ้นลงทุนก็ได้

มีอยู่สิ่งหนึ่งที่เชื่อว่าแม้จะมีการพยายามทำราคา ภาวะในตลาดหลักทรัพย์ก็คงไม่มีทางมีสภาพเหมือนปี 2521-2522 ที่ตลาดบูมมาก และหุ้นมีระดับราคาที่ไม่มีเหตุมีผลเอาเสียเลย

เหตุที่เป็นเช่นนั้นสาเหตุประการสำคัญก็คือการควบคุมเรื่อง MARGIN หละหลวมมาก ผู้เขียนจำได้ว่าตอนนั้นการซื้อหุ้นบางครั้งไม่ต้องวางเงิน MARGIN เสียด้วยซ้ำ

สภาพที่เป็นอย่างนั้นตอนนี้คงไม่เกิดเพราะการควบคุม MARGIN ของเราดีขึ้นมาก รวมทั้งฝ่ายโบรกเกอร์เองก็คงยังเข็ดเหมือนกัน หากมีการสั่งซื้อหุ้นจำนวนมากๆ ในระดับราคาที่ไม่สมเหตุสมผล เขาก็ต้องเกิดความกลัวและมีการเรียก MARGIN เพิ่มขึ้นแน่ๆ

สำหรับนักลงทุนจากต่างประเทศในขณะนี้ที่อยู่ในรูปของกองทุนเพื่อการลงทุนอย่าง BANGKOK FUND ยังไม่มีแต่กำลังจะมีในอนาคตอันใกล้นี้ เชื่อว่ากองทุนอย่างที่ว่านี้มีอย่างมากก็ไม่เกิน 3 กองทุน ซึ่งก็อย่าคิดว่าไม่มาก เพราะหากเขาเข้ามาลงทุนในตลาดของเราทีเดียวหมดตลาดหลักทรัพย์ของเราก็รับไม่ไหว

จริงอยู่ตลาดหลักทรัพย์ของเราอยากจะให้ทุนจากต่างชาติเข้ามาเพิ่มขึ้น ในขณะเดียวกันอีกสิ่งหนึ่งที่เราต้องเร่งให้เกิดขึ้นก็คือจำนวนหลักทรัพย์ที่มีอยู่ ให้เพิ่มในอัตราที่สูงกว่านี้ เพราะยังเพิ่มในลักษณะที่เป็นอยู่ปีสองปีที่ผ่านมา ก็น่าคิดว่ามันจะเกิดปัญหาคือจำนวนหุ้นของเรามันจะไม่พบกับความต้องการที่เพิ่มขึ้น

และเมื่อนั้นนักลงทุนจากต่างประเทศอาจจะไม่ให้ความสนใจตลาดหุ้นของเรา หรือสนใจก็อาจจะกลายเป็นการปั่นหุ้นเพราะจะลงทุนเฉพาะในหุ้นที่มีอยู่อย่างจำกัด

ดังนั้นในอนาคตอันใกล้เราจึงต้องเร่งหาจำนวนหุ้นให้เพิ่มขึ้น (เพิ่มบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์) และจะต้องเน้นเรื่องคุณภาพของหุ้นตลอดจนเพิ่มประเภทของหุ้นให้มีมากขึ้น เช่น การส่งเสริมให้มีหุ้นกู้หรือพันธบัตรลงทุนของเอกชนให้มากขึ้นด้วย

จะอย่างไรก็ตาม ผู้เขียนคิดว่าเราควรสนับสนุนให้ทุนจากต่างประเทศให้เข้ามา เพราะตลาดหุ้นของเราหากจะรอให้โตขึ้นมาด้วยตัวของมันเองคงต้องใช้เวลาอีกมาก เพราะคนยังกลัว ยังเข็ด ดังนั้นถ้าหากมีแรงกระตุ้นจากภายนอกเข้ามาจะทำให้ความสนใจของคนสูงขึ้น ขอให้จังหวะที่เขาเข้ามาเป็นจังหวะที่เหมาะสม ไม่ใช่อยู่ๆ แห่เข้ามาแล้วจากนั้นก็หายเงียบไปเลยก็แย่

สำหรับแนวโน้มของราคาหุ้นพูดจริงๆ แล้วทั้งปีมันดีแน่ แต่เผอิญว่าครึ่งปีแรกมันดีขึ้นมามากแล้ว ดังนั้นใน 5 เดือนหลังก่อนจะสิ้นปีผู้เขียนยังสงสัยอยู่ เพราะมีปัจจัยอยู่ 2 ประการคือ เรื่องอัตราดอกเบี้ย และการเติบโตของเศรษฐกิจของประเทศโดยรวม

เมื่อมองเฉพาะตัวดอกเบี้ยก็น่าจะเป็นตัวที่ช่วยตลาดได้มาก เพราะอยู่ในอัตราที่ต่ำ แต่ก็น่าสงสัยว่า คนที่จะมาลงทุนในตลาดหลักทรัพย์อาจจะให้ความสนใจกับเศรษฐกิจโดยส่วนรวมมากกว่า

หากเป็นไปอย่างที่สงสัยก็คิดว่าตลาดหลักทรัพย์ในครึ่งปีหลังไม่ดีเท่าไรนัก และเมื่อมองในแง่ของเศรษฐกิจโดยส่วนรวมแล้วคิดว่าผลกำไรทั้งปีของหุ้นจดทะเบียนในตลาดเฉลี่ยแล้วน่าจะต่ำกว่าปีที่ผ่านมา และเงินปันผลโดยเฉลี่ยก็อาจจะลดลงเล็กน้อย ทั้งนี้เข้าใจว่าบริษัทต่างๆ คงพยายามที่จะจ่ายเงินปันผลให้เท่าเดิมหรือใกล้เคียง คือเอาผลกำไรมาจ่ายเป็นเงินปันผลให้มากขึ้น (PAYOUT RATIO) และราคาหุ้นปลายปีคงไม่ต่างกับตอนต้นปีเท่าไรนัก

การคาดการณ์นี้มีข้อยกเว้นอยู่ประการหนึ่ง คือผู้เขียนไม่รู้ว่าการที่ทุนจากต่างชาติจะไหลเข้ามานั้นจะอยู่ในลักษณะอย่างไร ถ้าเพิ่มขึ้นมากตัวนี้จะเป็นตัวแปรที่สำคัญ คือเขาอาจจะมองว่าอัตราผลตอบแทนที่นักลงทุนไทยเห็นว่าสู้ปีที่แล้วไม่ได้ แต่สำหรับเขาอาจจะคิดว่ายังน่าสนใจอยู่เมื่อเปรียบเทียบกับการลงทุนในตลาดหุ้นประเทศอื่น

และถ้าทุนจากต่างประเทศเข้ามาจริง ราคาหุ้นของเราจะดีขึ้นแน่ และมีปัญหาบางประการที่ต้องระวังเกิดขึ้น ก็คือสิ่งที่ได้เขียนเตือนเอาไว้ในตอนต้นๆ ของเรื่องนี้

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us