Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ สิงหาคม 2528








 
นิตยสารผู้จัดการ สิงหาคม 2528
พลโทพิจิตร กุลละวณิชย์ "เสือใหญ่" ผู้กำลังอยู่ในขั้นสะสมพลัง             
 


   
search resources

ชวลิต ยงใจยุทธ
Economics
พิจิตร กุลละวณิชย์
Political and Government




พลโทพิจิตร กุลละวณิชย์ หรือเจ้าของฉายา “เสือใหญ่” นั้น อาจกล่าวได้ว่าในรอบ 4 ปีที่ผ่านมานี้นับเป็นนายทหารที่มีบทบาทสูงอย่างยิ่งผู้หนึ่ง ด้วยตัวพลโทพิจิตรเองและปัจจัยเกื้อหนุนที่ทำให้นักการเมืองและนักธุรกิจบางคนถึงกับออกปากว่า “พลโทพิจิตรนั้นไม่ธรรมดา” แต่ก็ไม่สามารถขยายความไปได้มากกว่านี้ ว่า “ไม่ธรรมดาอย่างไรกันแน่”

การกล่าวขวัญถึงพลโทพิจิตรนั้นก็เช่นเดียวกับพลโทชวลิตที่ว่า มิใช่มีศักยภาพสูงเพียงพอที่จะเป็นผู้นำกองทัพเท่านั้น แต่ไกลถึงการเป็นผู้นำประเทศอีกด้วย

จากสมมุติฐานข้างต้นนั่นเองที่นำไปสู่การพิจารณาด้านแนวทาง นอกเหนือไปจากบทบาทเชิงปรากฏการณ์ที่เห็นที่เป็นอยู่

แนวที่ชัดเจนที่สุดของพลโทพิจิตรนั้นอยู่ที่แนวในการพิทักษ์ชาติและสถาบันพระมหากษัตริย์ จนถึงได้ฉายาว่า “นายทหารพิทักษ์ราชบัลลังก์” ซึ่งนับจากปีเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 เป็นต้นมาก็เห็นจะมีพลโทพิจิตรที่ได้รับยกย่องเช่นนี้

สำหรับแนวทางทางด้านเศรษฐกิจนั้นยืนยันได้ว่า เป็นเพียงแนวทางในการมองและแก้ปัญหาเพียงเฉพาะหน้า บนพื้นฐานของจิตใจที่รักและห่วงใยในความเป็นอยู่ของราษฎรเท่านั้น

จุดสำคัญที่ทำให้พลโทพิจิตรเข้ามาศึกษาปัญหาทางเศรษฐกิจนั้น เริ่มจากในระดับท้องถิ่น คือ เนื่องจากการรับผิดชอบในการพัฒนาชุมชนที่เขาค้อภายหลังการสลายฐานที่มั่นและกำลังของพรรคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พคท.) เนื่องจากความต้องการที่จะให้ราษฎรที่เขาค้อมีหลักประกันในการดำรงชีพ มีการยกระดับความเป็นอยู่โดยลำดับ พลโทพิจิตรก็ได้สั่งการรวมทั้งเอาใจใส่ดูแลอย่างใกล้ชิดด้วยตนเองต่อพื้นที่เขาค้อโดยตลอด ตั้งแต่การวางแผนด้านการผลิต (รวมทั้งการระดมทุนจากผู้ที่ต้องการช่วยเหลือราษฎร) วางแผนด้านการตลาด โดยเน้นที่ด้านการจัดตั้งราษฎรในพื้นที่นั้นให้มีวินัยอย่างยิ่งเพื่อเป็นหลักประกันความสำเร็จ

พลโทพิจิตรได้เคยให้สัมภาษณ์ผู้เขียนชัดเจนว่า การที่จะให้บรรลุเป้าหมายนั้นจะต้องกำหนดรายได้ต่อหัวต่อปีไว้ และทำให้ได้ตามที่มุ่งมั่นนั้น นั่นเป็นในระดับท้องถิ่นส่วนในระดับชาตินั้นจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องตั้งเป้าหมายรายได้ประชาชาติให้แน่นอนลงไปว่า เป็นเท่าใดแน่ และดำเนินการให้บรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ “หากทำในแต่ละท้องถิ่นได้ผลตามเป้าหมายก็จะส่งผลถึงประเทศโดยรวมด้วย” พลโทพิจิตรกล่าวในตอนหนึ่งซึ่งคนใกล้ชิดผู้หนึ่งได้วิจารณ์แนวความคิดทางด้านเศรษฐกิจของพลโทพิจิตรว่า “แนวทางด้านเศรษฐกิจของพลโทพิจิตรนั้นชัดเจนในระดับท้องถิ่นเท่านั้น แต่นั่นก็เป็นพื้นฐานสำคัญสำหรับการเติบโตในอนาคตไม่ใช่หรือ” หรือจะกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ พลโทพิจิตรนั้นเป็นเพียงนักยุทธวิธีคนสำคัญคนหนึ่งเท่านั้น ในทางเศรษฐกิจในหมู่ทหารระดับสูง

พลโทพิจิตรนั้นถึงจะไม่ใช่หัวหอกคนสำคัญของคำสั่ง 66 แต่ก็เป็นในแง่ของการจัดการกดขี่ทั้งสิ้น โดยเฉพาะในแง่ของการขจัดการกดขี่ทั้งสิ้น โดยเฉพาะพลโทพิจิตรยืนเต็มตัวในการคัดค้านและต่อสู้กับกลุ่มทุนผูกขาด และเรื่องนี้ พลโทพิจิตรแรงกว่านายทหาร 66 คนอื่นๆ ที่หลงเหลืออยู่ในกองทัพขณะนี้เสียด้วยซ้ำ โดยเฉพาะในด้านการพิจารณว่า พรรคการเมือง (บางพรรค) เป็นตัวแทนของกลุ่มทุนและรับใช้ทุนของตนแทนรับใช้ประชาชน ซึ่งพลโทพิจิตรรังเกียจอย่างยิ่ง

สำหรับแนวความคิดเกี่ยวกับปัญหาธนาคารพาณิชย์หรือกลุ่มทุนการเงินที่กำหนดนโยบายการผลิตและการตลาดของประเทศนั้น พลโทพิจิตรไม่เคยแสดงทัศนะที่ชัดเจนออกมาให้อ้างอิงได้

“พลตรีพิจิตรต้องการให้ทุนเสรี (ในประเทศไทย) พัฒนาอย่างเต็มที่ ในภาคชนบทนั้นให้ความสนใจต่อการพัฒนาในแบบการพัฒนาหมู่บ้านในเกาหลี ̒แซมาเอิลอันดอง̓ (รวมทั้งกิ๊บบุช-ของอิสราเอลด้วย) โดยนำไปประยุกต์ใช้ที่เขาค้อ ซึ่งผลที่ได้ก็น่าภูมิใจ เพราะผลผลิตสามารถที่จะเลี้ยงตนเองได้และส่งขายเป็นทุนสะสมในการพัฒนาต่อไป ความสนใจในการพัฒนาเศรษฐกิจของเกาหลีของพลตรีพิจิตรนั้น มิได้เฉพาะในการพัฒนาชนบท แต่สนใจในการพัฒนาเสรษฐกิจโดยรวมของเกาหลีทีเดียว เพราะจากข้อมูลที่พลตรีพิจิตรได้รับนั้นรายได้ต่อหัวของประชาชนเกาหลีนั้นอยู่ในระดับที่น่าพอใจอย่างยิ่ง ซึ่งพลตรีพิจิตรมีความมุ่งหวังที่จะให้เศรษฐกิจของไทยรุดหน้าเช่นนั้นบ้าง” จากแหล่งข่าว เล่มที่ 12 7-13 พฤศจิกายน 2526 นั้นคือ พลตรี)

มาถึงปี 2528 พลโทพิจิตรให้สัมภาษณ์ถึงเรื่องการพัฒนาเขาค้ออีกครั้งหนึ่ง มีการขยายความคิดในการพัฒนาพื้นที่นั้นคือ กล่าวว่าอยากให้เขาค้อเป็น “กึ่งกิ๊บบุชแต่เป็นแบบไทยๆ ทุกคนมีพื้นดินของตนในการทำกินไม่ใช่ใครเป็นเจ้าของผืนใหญ่ คนเหล่านี้เป็นลูกจ้างทำ แต่ต้องมีความร่วมแรงร่วมใจกัน และถ้ามีเครื่องจักรที่ทันสมัยขึ้นมาก็ให้เป็นของกลาง ไม่ใช่ของบุคคลใดบุคคลหนึ่ง คือต้องเป็นลักษณะของไทยๆ คืออย่างนี้ครับ ในชุมชนหนึ่งแต่ละครอบครัวรู้สึกว่าตนได้ทำอะไรให้เกิดประโยชน์ต่อส่วนรวม ในขณะเดียวกันก็เกิดประโยชน์ต่อครอบครัวด้วย เกิดความรักสามัคคีกัน ก็เป็นลักษณะของสังคมไทยเดิมๆ ที่เรามักลืมกัน อย่างความช่วยเหลือรวมหมู่กันที่เรียกว่า “ลงแขก” นั้น เราก็ลืมกันไปแล้ว หายไปหมดแล้ว เดี๋ยวนี้มีแต่จ้างกันดำนา เกี่ยวข้าวแทรกเตอร์ ก็ต้องจ้างกัน เมื่อก่อนมันไม่เป็นอย่างนี้ จะเห็นได้ว่า ความเจริญทางวัตถุที่เราไปรับเขาเข้ามานั้น ทำให้ความเจริญทางด้านจิตใจ ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ที่มีมาแต่เดิมนั้นลดน้อยลงไป อันนี้อันตราย อันนี้ที่ผมพูดนี่ต้องเข้าใจนะครับว่า ไม่ใช่ผมมีโซเชียลลิสต์ ไอเดีย ไม่ใช่นะครับ”

ที่ยกมาข้างต้นก็เป็นการเน้นแนวความคิดในการวางรากฐานทางเศรษฐกิจของพลโทพิจิตรจากระดับท้องถิ่นสู่ระดับชาติ จากล่างขึ้นสู่บน โดยเริ่มต้นจากพื้นที่ในความรับผิดชอบของตนจากเขาค้อ สู่บางพื้นที่ชายแดนในความรับผิดชอบของกองทัพภาคที่ 1

และด้วยทราบกันแพร่หลายยิ่งขึ้นว่าพลโทพิจิตรร้อนใจและห่วงใยในปัญหาเศรษฐกิจที่กระทบถึงราษฎรนั้น ก็ทำให้ผู้ประกอบการหรือผู้ที่เกี่ยวข้องในปัญหาเศรษฐกิจด้านต่างๆ มักจะเข้ามาปรึกษาหารือหรือขอคำแนะนำตลอดจนให้ข้อมูลกับพลโทพิจิตรเสมอ ไม่ว่าข้าว เหล้า น้ำมัน ฯลฯ ซึ่งพลโทพิจิตรก็พยายามรักษาท่าทีเพียงรับรู้หรือมีความเห็นบ้างเท่านั้น เพราะเพียงฐานะของแม่ทักกองทัพภาคที่ 1 ยังไม่อาจทำอะไรได้มากกว่านี้ โดยเฉพาะในแง่ของการตัดสินใจทางนโยบาย และอาจจะทำให้ถูกมองเลยระดับจาก “ความตั้งใจดี” หรือความหวังดีที่มีต่อประเทศชาติและราษฎร กลายเป็นเรื่องของการ “จัดการนอกสั่ง” ก้าวก่ายหรือถึงขั้นต้องการแข่งบารมีกับผู้รับผิดชอบสูงสุดในปัจจุบัน

ไม่มีข้อสรุปว่า ใครเหมาะสมหรือเหมาะกว่า กรุณาตัดสินกันเอง

เส้นทางเติบโตของพลโทชวลิตและพลโทพิจิตรนั้นใครจะไปได้ไกลแค่ไหนนั้น แม้จะไม่รู้กันในชั่วข้ามคืนนี้ แต่ก็คงอีกไม่เนิ่นนานนัก และต้องยอมรับว่า ความคิดของมนุษย์นั้นมีการพัฒนาและแปรเปลี่ยนเสมอ ดังนั้นกุมหลักกันให้มั่น และอย่ามองอย่างตายตัว

“อำนาจ” นั้นเป็นตัวแปรในการเปลี่ยนแนวความคิดและพฤติกรรมอย่างสำคัญ จึงอาจกล่าวได้ว่า แนวคิดและพฤติกรรมนั้นมีสิทธิเปลี่ยนแปลงกันได้ถ้าท่านทั้งหลายไม่ระมัดระวัง

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us