Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ สิงหาคม 2528








 
นิตยสารผู้จัดการ สิงหาคม 2528
พลโทชวลิต ยงใจยุทธ "จิ๋ว" แต่แจ๋ว             
 


   
search resources

ชวลิต ยงใจยุทธ
Economics




“คุณรู้ไหมว่าปัญหาของบ้านเมืองในขณะนี้ที่สำคัญที่สุดคืออะไร” เจ้าของคำถามข้างต้นคือ พลโทชวลิต ยงใจยุทธ หรือ “บิ๊กจิ๋ว” นั่นเอง ท่าทางร่าเริง เสมือนหนุ่มใหญ่เจ้าสำราญติดจะขี้เล่นนิดๆ นั้นแลไม่เห็นเมื่อคำถามข้างต้นหลุดจากปาก เมื่อได้คำตอบเจ้าของคำถามก็ทวนคำ “ใช่ ปัญหาเศรษฐกิจ”

แต่ก็เจ้ากรรมที่การรับรู้ทางตรงสำหรับทัศนะของพลโทชวลิตด้านเศรษฐกิจนั้นไม่อาจรับรู้เป็นข้อมูลชั้นหนึ่งได้ ทัศนะหลักๆ ที่นำเสนอครั้งนี้ส่วนใหญ่จึงเป็นข้อมูลชั้นสองผสมกับข้อมูลชั้นหนึ่งบ้างเป็นบางตอนสอดแทรกเท่านั้น

มาพิจารณาในคำกล่าวของพลโทชวลิตที่ว่า ปัญหาสำคัญยิ่งของประเทศไทยในสถานการณ์ปัจจุบันคือ ปัญหาเศรษฐกิจนั้น จากการติดตามความคิดของพลโทชวลิตทั้งทางตรงและผ่านบุคคลอื่น พอจะกล่าวได้ว่า พลโทชวลิตมิได้มองแต่ปัญหาในเฉพาะหน้านี้เท่านั้น แต่มองในแง่ของยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจที่ว่า “เศรษฐกิจเป็นรากฐานของสังคม และสังคมเป็นรากฐานของการต่อสู้ทางการเมือง”

เป้าหมายใหญ่ในแนวทางของพลโทชวลิตนั้นก็คือ สร้างความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจให้กับประเทศให้ได้ในรูปของเศรษฐกิจแบบทุนนิยม แต่เนื่องจากตระหนักดีว่า เศรษฐกิจแบบทุนนิยมนี้นำมาซึ่งความแข็งแกร่งของภาคเอกชนจนกลายเป็นการผูกขาด ในคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 66/2523 เรื่องนโยบายการต่อสู้เพื่อเอาชนะคอมมิวนิสต์หรือที่เรียกกันว่า คำสั่ง 66 ซึ่งเป็นที่ทราบ ซ้ำได้รับการยืนยันจากพลโทชวลิตเองด้วยว่า เป็นผู้เขียนมากับมือ ก็ได้เน้นถึง “การทำลายการกดขี่ทั้งสิ้น” นั่นก็หนีไม้พ้นการกดขี่ทั้งทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม

แต่อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่กระแสของคำสั่ง 66 มาแรง หัวโจก 66 ก็มิใช่ลำพังพลโทชวลิตเท่านั้น ที่อื้อฉาวก็เช่น พลเอกหาญ ลีนานนท์ (ที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ในปัจจุบัน) ก็เป็นหัวโจกด้วยผู้หนึ่ง และมีลักษณะสุดขั้วในการเสนอทัศนะในการแก้ไขปัญหาบ้านเมือง ซึ่งก่อให้เกิดความไขว้เขวไม่น้อยกว่าคำสั่ง 66 ต้องการเช่นนั้นจริงหรือไม่ อาทิ การเผชิญหน้ากับกลุ่มทุนผูกขาดทุกประเภทอย่างไม่เห็นแก่หน้าอินทร์หน้าพรหม หรือที่ฮือฮากันมากก็คือ เรื่องการยึดธนาคารพาณิชย์มาเป็นของรัฐบาล ซึ่งจากกรณีตัวอย่างเหล่านั้น อาจกล่าวได้ว่า ก่อให้เกิดความไม่ไว้วางใจ ไม่พอใจ ระหว่างกลุ่มทุนผูกขาดกับกองทัพขึ้นมาอย่างหนักทีเดียวซึ่งว่ากันที่จริงแล้วก็ขัดกันกับแนวทางทั่วไปของคำสั่ง 66 เองในตอนหนึ่งที่ระบุไว้ว่า "ยึดถือหลักการแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจการเมืองและสังคม โดยเที่ยงธรรมและสันติวิธี” (ในหัวข้อทั่วไปของคำสั่ง 66 ข้อ 1.3)

ซึ่งจากความขัดแย้งที่มีลักษณะเผชิญหน้าดังกล่าวนั่นเอง ที่ทำให้กองทัพโดยเฉพาะนายทหารที่มีส่วนเกี่ยวข้องอย่างสำคัญกับคำสั่ง 66 ถูกโจมตีทั้งทางตรงทางอ้อม ที่ป้ายสีกันขนาดใหญ่ก็คือ ในประเด็นที่ว่าทหารกลุ่ม 66 กำลังแปรเปลี่ยนการจัดการทางเศรษฐกิจในแบบทุนนิยมไปเป็นในแบบสังคมนิยม โดยเฉพาะสังคมนิยมปีกที่สัมพันธ์กับรัฐในอินโดจีน การณ์ครั้งนั้นนำมาซึ่งความระส่ำระสายอย่างยิ่ง จนถึงการยุบสภาในเดือนมีนาคม 2526 ซึ่งเมื่อมองในจุดนี้แล้วจะเห็นได้ว่า การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองนั้นมิใช่เป็นความขัดแย้งด้านการเมืองล้วนๆ แต่อาจกล่าวได้ว่า ส่วนใหญ่มาจากความขัดแย้งทางเศรษฐกิจเป็นมูลฐาน

แต่สำหรับตัวพลโทชวลิตนั้นก็ได้ทำการชี้แจงด้วยตนเอง และในนามของกองทัพมาโดยตลอด ในลักษณะที่ยึดการแก้ไขปัญหาทุกด้านอย่างสันติวิธี โดยเฉพาะในเรื่องการ “ยึดแบงก์” มาเป็นของรัฐ พลโทชวลิตได้ชี้แจงทั้งก่อนหน้าและหลังการยุบสภาครั้งสุดท้ายนั้นว่า “นักเสรีนิยมที่คิดจะยึดธนาคารนั้นเป็นบุคคลที่เราอาจจะกล่าวได้ว่า ไร้เดียงสา ไร้สติสัมปชัญญะเช่นเดียวกับนักสังคมนิยมประชาธิปไตยที่คิดเช่นนี้ก็ไร้เดียงสา” (14 ธ.ค. 25 - สยามอินเตอร์คอนติเนนตัล)

อาจกล่าวได้ว่า พลโทชวลิตนั้นเป็นนักยุทธศาสตร์คนหนึ่ง ไม่เฉพาะเป็นนักยุทธศาสตร์ของกองทัพเท่านั้น แต่นับได้ว่าเป็นนักยุทธศาสตร์ของประเทศคนหนึ่งทีเดียว ฉะนั้นในการมองปัญหาด้านเศรษฐกิจนั้น พลโทชวลิตก็มองในลักษณะยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจ เท่าที่ติดตามมาได้นั้นยุทธศาสตร์เศรษฐกิจของชาติที่ พลโทชวลิตกำหนดในการเตรียมประเทศและการต่อสู้เพื่อบรรลุผลนั้นมีด้วยกัน 3 ประการ คือ หนึ่ง) ระดมทุน สอง) ระดมตลาด สาม) ประสิทธิภาพในการจัดการ

จุดมุ่งหมายของการระดมทุนนั้นก็คือ เพื่อการผลิตทั้งบริโภคภายในและการส่งออก ทั้งนี้เพื่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจและรายได้ของผู้ผลิตและผู้ใช้แรงงานและผู้ให้บริการอื่นๆ ซึ่งถ้าได้ผลจะก่อให้มีชีวิตชีวาและการเติบโตอย่างสมบูรณ์ทางสังคมด้วย

ส่วนการระดมตลาดนั้น อาจกล่าวได้ว่า เกี่ยวข้องโดยตรงกับการระดมการผลิต การตัดสินใจทางการผลิต เพราะตลาดเป็นตัวกำหนดการผลิตทั้งในแง่ของปริมาณและคุณภาพ ทัศนะของพลโทชวลิตในด้านการระดมตลาดนั้น แตกแขนงต่อไปด้วยว่าระบบการผลิตและการตลาดนั้นแยกกันไม่ออกจากระบบการเงิน ดังนั้นผู้ที่กุมอำนาจการตัดสินใจของระบบผลิตและระบบการตลาดที่แท้จริงนั้นคือ “นายทุนการเงิน” ซึ่งถ้านายทุนการเงินตัดสินใจทางการผลิตสอดคล้องกับรัฐทุกอย่างก็จะราบรื่น แต่ถ้าไม่สอดคล้อง นั่นก็หมายถึงความปั่นป่วนในทุกด้าน ไม่ว่าเศรษฐกิจ การเมือง หรือสังคม

ดังนั้น ความร่วมมือกันระหว่างภาครัฐบาลกับภาคเอกชนในการตัดสินใจทางการผลิตของประเทศนั้นจึงเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง ในเฉพาะหน้านั้นอาจกล่าวได้ว่าขณะนี้เอกชนยังเป็นฝ่ายนำในการตัดสินใจ สำหรับรัฐบาลนั้นมีขอบเขตเพียงส่วนที่เกี่ยวกับความมั่นคงของชาติเท่านั้น

ในแง่ของการจัดการให้มีประสิทธิภาพในปัญหาการระดมทุนและระดมตลาดนั้นนับได้ว่าเป็นหัวใจสำคัญอย่างยิ่ง เพราะการจัดการนำไปสู่ผลกระทบสองด้านคือ หนึ่ง) ส่งเสริมให้เศรษฐกิจขยายตัว หรือ สอง) ขัดขวางการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ซึ่งทั้งนี้ทั้งนั้นขึ้นอยู่กับความสอดคล้องและประนีประนอมกันระหว่างภาครัฐบาลและภาคเอกชนเป็นสำคัญ ซึ่งหมายถึงการรวมพลังและการลดความขัดแย้งทางสังคมไปด้วยในตัว

เมื่อติดตามต่อไปว่า จากจุดมุ่งหมายดังกล่าวนั้น เมื่อนำไปสู่ขั้นดำเนินการแล้วจะส่งผลเช่นไรบ้าง ก็ค้นคว้าได้ว่า พวกเขาตั้งเป้าว่า จะนำไปสู่ หนึ่ง) การลดดุลและเพิ่มดุล สอง) การประกันรายได้และประกันราคาสินค้า สาม) รักษาระดับค่าครองชีพ สี่) ควบคุมอัตราเงินเฟ้อภายใน ห้า) รักษาคุณค่าของเงิน

สิ่งที่คิดและต้องการให้บรรลุผลข้างต้นนั้น ยากที่จะมีหลักประกันความสำเร็จ หากไม่มี “การจัดตั้งทางเศรษฐกิจ” ใน 3 ระดับคือ ระดับผู้ผลิต ผู้ประกอบการ และผู้บริโภค ซึ่งเป็นพื้นฐานในการกำหนดแผนและโครงการ

ความหวังอันสูงสุดของพวกเขานั้นน่าจะอยู่ที่สามารถบรรลุโครงสร้างสังคมทุนนิยมและโครงสร้างทางการเมืองที่เป็นประชาธิปไตยในที่สุด

ตานี้ก็ต้องวกกลับมาดูสภาพตัวจริงในปัจจุบันว่า เขาสามารถทำตามยุทธศาสตร์ที่วางไว้ได้มากน้อยเพียงไร ก็เห็นจะบอกได้เพียงว่า นักยุทธศาสตร์มาเจอกับเงื่อนไขภายในประเทศเข้า นักยุทธศาสตร์ก็กลายมาเป็นเพียงนักแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเท่านั้นไม่ว่าจะเป็นปัญหาเฉพาะหน้าในทางเศรษฐกิจ การเมือง หรือสังคม

หัวเลี้ยวหัวต่อของประเทศช่วงนี้นับได้ว่ายาวนานอย่างยิ่ง แม้ว่ารัฐบาลพลเอกเปรม (เปรม 1-2-3-4) จะอยู่ได้ยาวนานเกิน 4 ปี และพลโทชวลิตจะได้รับความไว้วางใจอย่างยิ่งจากพลเอกเปรม (เน้นว่าในทางการเมืองเป็นด้านหลัก ส่วนในทางเศรษฐกิจนั้น พลเอกเปรมยังให้น้ำหนักที่พลโทชวลิตเบาอยู่ ทั้งนี้ด้วยเหตุผลที่ว่าพลโทชวลิตเป็นทหาร มิใช่ดอกเตอร์ด้านเศรษฐศาสตร์ และในปัจจุบันนี้พลเอกเปรมก็มีนักเศรษฐศาสตร์มือดีอยู่ใกล้ตัว คอยให้คำปรึกษาหารือ แ ละที่ “ขึ้นหม้อ” มากเวลานี้ก็คือ ดร.วีรพงษ์ รามางกูร ซึ่งความสัมพันธ์ระหว่าง ดร.วีรพงษ์ - “โกร่ง” กับพลโทชวลิต - “จิ๋ว” ก็นับว่าใกล้ชิดและมีการประสานระหว่างกันอย่างดี) แต่กระนั้นทั้งรัฐบาลพลเอกเปรมและตัวพลโทชวลิตก็ยังไม่มีพลังเพียงพอในการพัฒนาประเทศหรือแก้ไขปัญหาชาติให้เดินไปบนทางยุทธศาสตร์ใหญ่ 555 ที่คิดหวังไว้ จึงคงกล้ากล่าวว่า หัวเลี้ยวหัวต่อนี้ยืดยาวนัก และก็ไม่มั่นใจด้วยว่า จะออก “หัวเรือห้อย” เพราะนี่คือสังคมไทย ที่ทุกอย่างมักลงท้ายด้วยคำว่า “ไทย ๆ “

เอาเป็นว่ากะเทาะแนวความคิดทางเศรษฐกิจมาให้ได้อ่านกันเพียงแค่นี้ เพราะถ้าให้พลโทชวลิตพูดในสถานการณ์ปัจจุบันที่อะไรต่อมิอะไรยังไม่ลงตัวนั้น ก็อาจจะผูกมัดตัวเองจนเกินไปนัก เพราะธรรมดานักการเมือง (การทหาร) มักจะไม่ทำกัน และในสถานการณ์ปัจจุบันนี้นั้น ฐานะของพลโทชวลิตยังต้องเล่นบทบาท “กึ่งลับกึ่งเปิดเผย” ต่อไปถึงจะมีสิทธิ “โต” โดยไม่ถูกตีตายเสียก่อน ว่ากันที่จริงแล้วยุทธศาสตร์ใหญ่ของพลโทชวลิตที่แท้จริงในทุกด้านนั้น ขณะนี้ยังมองเห็นกันไม่ชัดเท่าใดนัก นักวิชาการบางคนวิจารณ์ว่า เป็นแบบแตกแขนงออกไปเรื่อยๆ จนกว่าสถานการณ์รอบด้านสมบูรณ์นั่นแหละถึงจะเห็นชัดว่า เอาอย่างไรกันแน่

ในส่วนที่พลโทชวลิตออกปากกับใครต่อใครหลายคนว่า จะเกษียณอายุให้กับตนเองเมื่ออายุได้ 55 ปี นั้นก็นับเป็นจุดที่น่าจับตามองอย่างยิ่งว่า หนึ่ง) เมื่ออายุ 55 นั้นพลโทชวลิตอยู่ในจุดที่กุมการนำสูงสุดของกองทัพบกหรือไม่ สอง) ถ้าพลโทชวลิตเกษียณอายุตัวเองเมื่อนั้นจริง ก้าวต่อไปของพลโทชวลิตคืออะไร จับตาแค่ 2 ประเด็นนี่ก็คงพอไม่เช่นนั้นจะฟุ้งจนเกินไป

แล้วก็อย่าลืมอ่านล้อมกรอบเรื่องระบบเศรษฐกิจ ซึ่งพลโทชวลิตพูดไว้เมื่อปี 2525 นับเป็นการพูดในปัญหาเศรษฐกิจที่ชัดเจนและกว้างขวางที่สุด เนื่องจากเงื่อนไขของสถานการณ์ขณะนั้นเอื้ออำนวย

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us