Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ สิงหาคม 2528








 
นิตยสารผู้จัดการ สิงหาคม 2528
ความในใจของสิริลักษณ์ รัตนากร "ดิฉันลาออกเพราะความอิจฉาของคนคนเดียว"             
 


   
search resources

ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
สิริลักษณ์ รัตนากร




จันทร์ที่ 26 สิงหาคม 2528 ข่าวแพร่กระจายกันอย่างเงียบเชียบในหมู่ผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจฉบับต่างๆ ว่าจะมีการเลี้ยงขอบคุณผู้สื่อข่าวเป็นการภายในโดยสิริลักษณ์ รัตนากร กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ที่ลาออกและพ้นจากตำแหน่งในวันที่ 31 สิงหาคมที่ผ่านมา

งานที่ว่าจัดที่ร้าน “นวลนาง” อันเป็นร้านอาหารกึ่งสถานที่แสดงงานศิลปะ เพราะเจ้าของคืออาจารย์อวบ สาณะเสน ศิลปินอาวุโสชื่อดังของเมืองไทยยุคนี้

ตามกำหนดนัดหมายงานจะเริ่มประมาณ 6 โมงเย็น แต่ด้วยฝนที่ตกกระหน่ำทั่วกรุงตั้งแต่ 5 โมงเย็น รวมทั้งสถานที่นัดหมายหากไม่สังเกตอย่างเอาจริงเอาจัง ก็ยากนักหนาที่จะรู้ว่าที่นั่นเป็นร้านอาหารที่ต้องการจะไป นักข่าวจึงทยอยไปถึงระหว่างทุ่มถึงสองทุ่ม

พิธีเปิดอย่างง่ายๆ เป็นกันเองโดยมีฉอ้าน วุฑฒิกรรมรักษา ผู้จัดการฝ่ายประชาสัมพันธ์ของตลาดหลักทรัพย์เป็นผู้ดำเนิน และกำกับรายการพูดแนะนำความเป็นมาของร้านนวลนางให้หลายคนที่ข้องใจและสงสัยเพราะดูยังไงก็ไม่เหมือนร้านอาหาร ซึ่งน่าเห็นใจเนื่องจากดูสภาพแล้วเหมือนกับยกโต๊ะอาหารไปตั้งกลางงานแสดงศิลปะสักงานหนึ่ง มีภาพเขียนและประติมากรรมตั้งรายล้อมไปหมด

จากนั้นตัวเจ้าภาพคือสิริลักษณ์ รัตนากร ก็พูดเสริมถึงสาเหตุที่ตนเลือกสถานที่แห่งนี้เป็นที่จัดเลี้ยงก็เพราะเคยมากับเพื่อน และรู้สึกติดใจในบรรยากาศ รวมทั้งเมื่อทราบประวัติความเป็นมาของเจ้าของก็เกิดความชื่นชม เนื่องจากตนก็เป็นคนที่ชอบงานด้านศิลปะอยู่แล้ว

“อีกอย่างหนึ่งบรรยากาศค่อนข้างเป็นกันเองมาก มากกว่าที่จะไปตามภัตตาคาร ที่จริงหากมีความสามารถก็อยากจะจัดที่บ้าน แต่เนื่องจากที่บ้านสถานที่มันคับแคบและไม่มีคนทำกับข้าวเป็น ตัวเองก็ทำไม่เป็น เลยคิดว่าอาศัยที่นี่ บรรยากาศก็เหมือนบ้าน”

ก็คงจะเป็นอย่างอดีตผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์หมาดๆ เล่าให้ฟัง ทุกผู้ทุกคนพูดคุยกันอย่างสนุก เป็นกันเอง จะเป็นเพราะบรรยากาศอย่างที่ว่าหรือฤทธิ์บรั่นดียี่ห้อขวานหงายสก็อตตราดำและเบียร์คู่บ้านคู่เมืองที่ผู้ใดใคร่จิบ จิบ ก็แล้วแต่

ฉอ้าน พิธีกรตลอดงาน อดีตประชาสัมพันธ์คู่ใจของโสภณ รัตนากร อดีตปลัดกระทรวงยุติธรรม สามีของสิริลักษณ์เชิญชวนผู้จัดการและผู้สื่อข่าวรับประทานอาหารค่ำร่วมกัน เมื่อเวลาล่วงเลยไปสองทุ่มเศษ

มโหรีวงเล็ก คือมีกีตาร์โปร่งตัวเดียวที่เล่นโดยนักศึกษาครุศาสตร์สาขาดนตรีจากจุฬาฯ และผู้สื่อข่าวจากหนังสือพิมพ์ฉบับต่างๆ เปลี่ยนหน้ากันขึ้นไปร้องเพลงกล่อมเจ้าภาพและเพื่อนพ้องให้เจริญอาหารด้วยลีลาเสียงที่ไม่แพ้นักร้องอาชีพ (บางคนเท่านั้นนะ)

อาหารมื้อนั้นแม้จะมีเพียง 4 อย่าง คือแกงเผ็ดเป็ดย่าง ยำปลาหมึก ผัดกระหล่ำ และไข่สก็อต (ไข่เค็มทอด) รสชาติถูกปากจนเจ้าภาพต้องยิ้มรับคำชมหลายต่อหลายครั้ง ดนตรีและเพลงยังกระหึ่มตลอดเวลา พอกับเสียงคุยเสียงหัวเราะที่สอดแทรกเป็นระยะๆ

ประมาณสามทุ่มคนส่วนใหญ่รับประทานอาหารเรียบร้อยแล้ว พิธีกรก็ประกาศเชิญผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ขึ้นไปร้องเพลงให้ผู้สื่อข่าวฟังบ้าง ซึ่งสิริลักษณ์ก็ตอบสนองต่อคำเชิญนั้น แต่ก่อนที่เธอจะร้องเพลง เธอได้ถือโอกาสกล่าวคำปราศรัยครั้งแรกและครั้งเดียวในคืนนั้น

“รู้สึกว่าจะถูกเคี่ยวเข็ญให้ร้องเพลง แต่ก่อนที่จะร้องหรือไม่ร้องก็ขอถือโอกาสนี้ขอบคุณทุกท่านที่ได้มาในวันนี้ ที่ได้กรุณาให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีตลอดระยะเวลา 3 ปีกับ 1 เดือน จะครบในวันที่ 31 สิงหาคมนี้

ก็ต้องขอบอกว่าช่วง 3 ปีกับ 1 เดือนที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ มีความรู้สึกอบอุ่นกับสื่อมวลชน คือพวกเรามากจริงๆ ถึงแม้ว่าจะมีบางคนบางท่านแซวกันแรงไปหน่อยก็คิดว่า จะหวังอะไรที่ดี ที่สวยงาม ที่งดงามเหมือนที่ดิฉันได้รับคงไม่ได้แล้ว คนเราจะหวังอะไรร้อยเปอร์เซ็นต์คงไม่ได้ เท่าที่ได้รับนี่ก็เกิน 80 เปอร์เซ็นต์ ก็รู้สึกขอบคุณ ขอบคุณจริงๆ”

เสียงพูดเสียงคุยเงียบลงเมื่อสิริลักษณ์ รัตนากร กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์เริ่มร้องเพลงโดยมีนักข่าวหญิง 2 คนร้องคลอไปด้วย เพลงที่เธอร้องมีอยู่ 2 เพลง เพลงแรกคือเพลง “WHAT EVER WILL BE….WILL BE” ส่วนเพลงที่สองคือ “โดมในดวงใจ”

ฟังเพลงแรกแล้วไม่แน่ใจว่าเธอต้องการบอกนัยของเพลงให้ใครฟัง หรือเพียงแค่ต้องการบอกให้ตัวเองรู้โดยลำพัง…

“QUES SERA SERA, WHAT EVER WILL BE… WILL BE, THE FUTURE NOT OURS TO SEE, QUES SERA SERA…”

งานเลี้ยงยังไม่เลิกรา ผู้สื่อข่าวบางส่วนขอตัวกลับไปก่อน ที่เหลือก็ย้ายตัวเองมานั่งรวมกลุ่มกันเพื่อจะได้พูดคุยกับเจ้าภาพได้สะดวกหน่อย หลายประโยคที่ “ผู้จัดการ” ได้ยินจากปากสิริลักษณ์ รัตนากร น่าจะเป็นความในใจที่แสนอัดอั้นที่ยังไม่เคยเล่าให้ใครฟังมาก่อน จึงอยากเอามาเรียบเรียงให้อ่านเท่าที่เก็บความได้

“ตอนนี้ก็อายุ 52 ชราแล้ว แก่แล้วนะ ความจริงก็ปลดเกษียณได้แล้วสำหรับผู้หญิง ควรจะปลดประมาณอายุ 50” เสียงพูดกลั้วหัวเราะอย่างไม่เอาจริงเอาจังของผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ ขณะเดียวกันก็มีเสียงค้านกันเซ็งแซ่ว่า ไม่จริง ยังไม่แก่

“ผลงานเท่าที่ผ่านมาคิดว่าตัวเองประสบความสำเร็จแล้วหรือยัง สำหรับผู้หญิงคนหนึ่ง” เสียงใครไม่รู้ตั้งคำถามขึ้นมา

“ความสำเร็จไม่ว่าของผู้หญิงหรือผู้ชาย ดิฉันมีความเชื่อมั่นว่า หนึ่งจะต้องมีความอุดมการณ์ สองต้องมีความจริงใจต่ออุดมการณ์ ไม่ใช่ปากว่าตาขยิบ แล้วดิฉันว่าดิฉันเองเป็นคนอย่างนั้น ดิฉันคิดว่าดิฉันประสบความสำเร็จที่ผ่านมาเพราะเป็นคนที่มีความจริงใจมาก” เป็นคำตอบอย่างเครียดๆ จากผู้หญิงคนแรกที่ได้เป็นผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ก่อนที่จะพูดติดต่อกันอย่างยืดยาว

“ดิฉันมาเป็นผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ได้เงินเดือน 6 หมื่นบาท เสียภาษีเดือนหนึ่งเกือบ 2 หมื่นบาท ได้รับเงินเดือนจริงๆ 4 หมื่นบาท คนที่เป็นผู้จัดการบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ต่างๆ เงินเดือนมากกว่าดิฉันตั้งเยอะแยะ แต่ผลงานที่ดิฉันทำเขาก็ได้กัน ดิฉันไม่ได้ สาธารณชนก็ได้ประโยชน์ ดิฉันก็ไม่ได้คิดอะไร ถ้าเป็นคนอื่นเล่นหุ้นสักนิดเดี๋ยวเดียวก็ได้ สี่ซ้าห้าแสนก็ได้ หรือเผลอๆ ถ้าเงียบสักหน่อยล้านสองล้านก็ได้

แต่ดิฉันไม่ได้ทำ ดิฉันไม่มีอะไรเกี่ยวข้องเลย เงินเดือนดิฉัน 4 หมื่นบาท ดิฉันถือว่ารับงานมาแล้วก็จะต้องทำงานนี้เพื่อแผ่นดิน (เน้นเสียง) เพื่อประเทศชาติ นั่นคืออุดมการณ์ของดิฉัน สู้ดิฉันก็สู้ให้ มีอุปสรรคดิฉันก็แก้ให้ ตราบใดที่ดิฉันมีแรง SUPPORT ที่เพียงพอ วินาทีที่ดิฉันออกเพราะดิฉันรู้สึกว่าแรง SUPPORT ที่ดิฉันต้องการไม่มีอีกแล้วดิฉันถึงออก ไม่มีประโยชน์ที่จะอยู่ต่อไป นี่คือความรู้สึกต่างๆ ของดิฉัน ซึ่งหาคนเข้าใจยากเหลือเกิน (เสียงแผ่ว)”

“เป็นเพราะผลประโยชน์ในตลาดหลักทรัพย์มากเกินไปหรือเปล่า ถึงได้มีปัญหากับผู้จัดการอยู่เสมอ” อีกคำถามหนึ่งที่ถามแทรกขึ้นมา

“ในเรื่องผลประโยชน์ที่เราขัดกันหรือที่ดิฉันขัดกับเขา ดิฉันทนมาตลอด ในเรื่องผลประโยชน์ก็มีส่วน แต่ไม่ใช่จุดใหญ่ที่ดิฉันลาออก สาเหตุใหญ่ที่ดิฉันลาออกเพราะแรง SUPPORT ที่ดิฉันเคยได้รับกลับไม่ได้รับ (เน้นเสียง) และเป็นเรื่องที่น่าเสียใจมากกว่าแรง SUPPORT ที่ดิฉันไม่ได้รับเกิดจากการอิจฉาของคนคนเดียว เกิดจากความอิจฉาริษยาของคน คนเดียว (ใครเอ่ย) ทำพังหมดเลย น่าเสียดายมาก”

“คุณดุษฎี (สวัสดิ-ชูโต) หรือเปล่า” อีกเสียงถามขึ้นอย่างสงสัย

“สาเหตุจริงๆ ไม่ใช่คุณดุษฎี แต่อย่าพูดเลยว่าเป็นใคร” คำยืนจากสิริลักษณ์ตอบข้อข้องใจที่หลายคนคิดว่าการลาออกของเธอเป็นเพราะดุษฎี สวัสดิ-ชูโต เจ้านายเก่าจากแบงก์ออมสิน ซึ่งเข้าไปเป็นประธานกรรมการตลาดหลักทรัพย์ช่วงเดียวกัน

“ดิฉันรักและให้ความเคารพคุณดุษฎีมาก แต่การที่คุณดุษฎีเอาเรื่องของดิฉันไปออกข่าวในการที่ดิฉันลาออกในที่ประชุมทำให้ดิฉันเสีย ดิฉันจำเป็นต้องทำนิดหนึ่งซึ่งทำไปแล้วรู้สึกเสียใจ ดิฉันเสียใจไม่ใช่เรื่องลาออก แต่เสียใจเพราะต้องออกข่าวอย่างนั้น ถ้าคุณดุษฎีไม่ออกข่าวอย่างนั้นและให้ดิฉันออกข่าวของดิฉันเอง รับรองว่าจะไม่กระเทือนหูใครเลย ไม่เคยคิดจะทำใครเลย”

สี่ทุ่มเศษ มติของเสียงส่วนใหญ่เห็นว่าสมควรแก่เวลาแล้วที่จะต้องแยกย้ายกันเสียที สิริลักษณ์ รัตนากรเดินนำกลุ่มผู้สื่อข่าวซึ่งตอนนี้เหลืออยู่สิบกว่าคน จากจำนวน 30 คนเศษเมื่อตอนหัวค่ำออกจากบริเวณจัดเลี้ยง

บริเวณทางเดินออกจาก “นวลนาง” ค่อนข้างมืดและไกลพอสมควร ใครที่เดินตามหลังจะเห็นเพียงเงาของคนตะคุ่มๆ จับกลุ่มเดินกันไปพร้อมกับเสียงพูดคุยกันเบาๆ และใครที่ไปร่วมงานตั้งแต่ตอนแรกๆ คงอดย้อนคิดถึงคำพูดประโยคหนึ่งของเจ้าภาพไม่ได้

“ขอจริงๆ นะคะ วันนี้อย่าให้เป็นเรื่องอาลัยเลยนะคะ รู้สึกว่าเราคงไม่ได้สูญหายตายจากไปไหน คงอยู่กันแถวๆ นี้ ดิฉันคงหนีพวกเราไปไหนไม่พ้น พวกเราก็คงหนีดิฉันไปไหนก็ไม่พ้น”

ใช่ เราจะพบกันอีก

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us