จันทร์ที่ 26 สิงหาคม 2528 ข่าวแพร่กระจายกันอย่างเงียบเชียบในหมู่ผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจฉบับต่างๆ
ว่าจะมีการเลี้ยงขอบคุณผู้สื่อข่าวเป็นการภายในโดยสิริลักษณ์ รัตนากร กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ที่ลาออกและพ้นจากตำแหน่งในวันที่
31 สิงหาคมที่ผ่านมา
งานที่ว่าจัดที่ร้าน “นวลนาง” อันเป็นร้านอาหารกึ่งสถานที่แสดงงานศิลปะ
เพราะเจ้าของคืออาจารย์อวบ สาณะเสน ศิลปินอาวุโสชื่อดังของเมืองไทยยุคนี้
ตามกำหนดนัดหมายงานจะเริ่มประมาณ 6 โมงเย็น แต่ด้วยฝนที่ตกกระหน่ำทั่วกรุงตั้งแต่
5 โมงเย็น รวมทั้งสถานที่นัดหมายหากไม่สังเกตอย่างเอาจริงเอาจัง ก็ยากนักหนาที่จะรู้ว่าที่นั่นเป็นร้านอาหารที่ต้องการจะไป
นักข่าวจึงทยอยไปถึงระหว่างทุ่มถึงสองทุ่ม
พิธีเปิดอย่างง่ายๆ เป็นกันเองโดยมีฉอ้าน วุฑฒิกรรมรักษา ผู้จัดการฝ่ายประชาสัมพันธ์ของตลาดหลักทรัพย์เป็นผู้ดำเนิน
และกำกับรายการพูดแนะนำความเป็นมาของร้านนวลนางให้หลายคนที่ข้องใจและสงสัยเพราะดูยังไงก็ไม่เหมือนร้านอาหาร
ซึ่งน่าเห็นใจเนื่องจากดูสภาพแล้วเหมือนกับยกโต๊ะอาหารไปตั้งกลางงานแสดงศิลปะสักงานหนึ่ง
มีภาพเขียนและประติมากรรมตั้งรายล้อมไปหมด
จากนั้นตัวเจ้าภาพคือสิริลักษณ์ รัตนากร ก็พูดเสริมถึงสาเหตุที่ตนเลือกสถานที่แห่งนี้เป็นที่จัดเลี้ยงก็เพราะเคยมากับเพื่อน
และรู้สึกติดใจในบรรยากาศ รวมทั้งเมื่อทราบประวัติความเป็นมาของเจ้าของก็เกิดความชื่นชม
เนื่องจากตนก็เป็นคนที่ชอบงานด้านศิลปะอยู่แล้ว
“อีกอย่างหนึ่งบรรยากาศค่อนข้างเป็นกันเองมาก มากกว่าที่จะไปตามภัตตาคาร
ที่จริงหากมีความสามารถก็อยากจะจัดที่บ้าน แต่เนื่องจากที่บ้านสถานที่มันคับแคบและไม่มีคนทำกับข้าวเป็น
ตัวเองก็ทำไม่เป็น เลยคิดว่าอาศัยที่นี่ บรรยากาศก็เหมือนบ้าน”
ก็คงจะเป็นอย่างอดีตผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์หมาดๆ เล่าให้ฟัง ทุกผู้ทุกคนพูดคุยกันอย่างสนุก
เป็นกันเอง จะเป็นเพราะบรรยากาศอย่างที่ว่าหรือฤทธิ์บรั่นดียี่ห้อขวานหงายสก็อตตราดำและเบียร์คู่บ้านคู่เมืองที่ผู้ใดใคร่จิบ
จิบ ก็แล้วแต่
ฉอ้าน พิธีกรตลอดงาน อดีตประชาสัมพันธ์คู่ใจของโสภณ รัตนากร อดีตปลัดกระทรวงยุติธรรม
สามีของสิริลักษณ์เชิญชวนผู้จัดการและผู้สื่อข่าวรับประทานอาหารค่ำร่วมกัน
เมื่อเวลาล่วงเลยไปสองทุ่มเศษ
มโหรีวงเล็ก คือมีกีตาร์โปร่งตัวเดียวที่เล่นโดยนักศึกษาครุศาสตร์สาขาดนตรีจากจุฬาฯ
และผู้สื่อข่าวจากหนังสือพิมพ์ฉบับต่างๆ เปลี่ยนหน้ากันขึ้นไปร้องเพลงกล่อมเจ้าภาพและเพื่อนพ้องให้เจริญอาหารด้วยลีลาเสียงที่ไม่แพ้นักร้องอาชีพ
(บางคนเท่านั้นนะ)
อาหารมื้อนั้นแม้จะมีเพียง 4 อย่าง คือแกงเผ็ดเป็ดย่าง ยำปลาหมึก ผัดกระหล่ำ และไข่สก็อต
(ไข่เค็มทอด) รสชาติถูกปากจนเจ้าภาพต้องยิ้มรับคำชมหลายต่อหลายครั้ง ดนตรีและเพลงยังกระหึ่มตลอดเวลา
พอกับเสียงคุยเสียงหัวเราะที่สอดแทรกเป็นระยะๆ
ประมาณสามทุ่มคนส่วนใหญ่รับประทานอาหารเรียบร้อยแล้ว พิธีกรก็ประกาศเชิญผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ขึ้นไปร้องเพลงให้ผู้สื่อข่าวฟังบ้าง ซึ่งสิริลักษณ์ก็ตอบสนองต่อคำเชิญนั้น
แต่ก่อนที่เธอจะร้องเพลง เธอได้ถือโอกาสกล่าวคำปราศรัยครั้งแรกและครั้งเดียวในคืนนั้น
“รู้สึกว่าจะถูกเคี่ยวเข็ญให้ร้องเพลง แต่ก่อนที่จะร้องหรือไม่ร้องก็ขอถือโอกาสนี้ขอบคุณทุกท่านที่ได้มาในวันนี้ ที่ได้กรุณาให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีตลอดระยะเวลา
3 ปีกับ 1 เดือน จะครบในวันที่ 31 สิงหาคมนี้
ก็ต้องขอบอกว่าช่วง 3 ปีกับ 1 เดือนที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ มีความรู้สึกอบอุ่นกับสื่อมวลชน
คือพวกเรามากจริงๆ ถึงแม้ว่าจะมีบางคนบางท่านแซวกันแรงไปหน่อยก็คิดว่า จะหวังอะไรที่ดี
ที่สวยงาม ที่งดงามเหมือนที่ดิฉันได้รับคงไม่ได้แล้ว คนเราจะหวังอะไรร้อยเปอร์เซ็นต์คงไม่ได้ เท่าที่ได้รับนี่ก็เกิน
80 เปอร์เซ็นต์ ก็รู้สึกขอบคุณ ขอบคุณจริงๆ”
เสียงพูดเสียงคุยเงียบลงเมื่อสิริลักษณ์ รัตนากร กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์เริ่มร้องเพลงโดยมีนักข่าวหญิง
2 คนร้องคลอไปด้วย เพลงที่เธอร้องมีอยู่ 2 เพลง เพลงแรกคือเพลง “WHAT
EVER WILL BE….WILL BE” ส่วนเพลงที่สองคือ “โดมในดวงใจ”
ฟังเพลงแรกแล้วไม่แน่ใจว่าเธอต้องการบอกนัยของเพลงให้ใครฟัง หรือเพียงแค่ต้องการบอกให้ตัวเองรู้โดยลำพัง…
“QUES SERA SERA, WHAT EVER WILL BE… WILL BE, THE FUTURE NOT OURS
TO SEE, QUES SERA SERA…”
งานเลี้ยงยังไม่เลิกรา ผู้สื่อข่าวบางส่วนขอตัวกลับไปก่อน ที่เหลือก็ย้ายตัวเองมานั่งรวมกลุ่มกันเพื่อจะได้พูดคุยกับเจ้าภาพได้สะดวกหน่อย หลายประโยคที่
“ผู้จัดการ” ได้ยินจากปากสิริลักษณ์ รัตนากร น่าจะเป็นความในใจที่แสนอัดอั้นที่ยังไม่เคยเล่าให้ใครฟังมาก่อน
จึงอยากเอามาเรียบเรียงให้อ่านเท่าที่เก็บความได้
“ตอนนี้ก็อายุ 52 ชราแล้ว แก่แล้วนะ ความจริงก็ปลดเกษียณได้แล้วสำหรับผู้หญิง
ควรจะปลดประมาณอายุ 50” เสียงพูดกลั้วหัวเราะอย่างไม่เอาจริงเอาจังของผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์
ขณะเดียวกันก็มีเสียงค้านกันเซ็งแซ่ว่า ไม่จริง ยังไม่แก่
“ผลงานเท่าที่ผ่านมาคิดว่าตัวเองประสบความสำเร็จแล้วหรือยัง สำหรับผู้หญิงคนหนึ่ง”
เสียงใครไม่รู้ตั้งคำถามขึ้นมา
“ความสำเร็จไม่ว่าของผู้หญิงหรือผู้ชาย ดิฉันมีความเชื่อมั่นว่า หนึ่งจะต้องมีความอุดมการณ์
สองต้องมีความจริงใจต่ออุดมการณ์ ไม่ใช่ปากว่าตาขยิบ แล้วดิฉันว่าดิฉันเองเป็นคนอย่างนั้น
ดิฉันคิดว่าดิฉันประสบความสำเร็จที่ผ่านมาเพราะเป็นคนที่มีความจริงใจมาก”
เป็นคำตอบอย่างเครียดๆ จากผู้หญิงคนแรกที่ได้เป็นผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ก่อนที่จะพูดติดต่อกันอย่างยืดยาว
“ดิฉันมาเป็นผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ได้เงินเดือน 6 หมื่นบาท เสียภาษีเดือนหนึ่งเกือบ
2 หมื่นบาท ได้รับเงินเดือนจริงๆ 4 หมื่นบาท คนที่เป็นผู้จัดการบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ต่างๆ
เงินเดือนมากกว่าดิฉันตั้งเยอะแยะ แต่ผลงานที่ดิฉันทำเขาก็ได้กัน ดิฉันไม่ได้
สาธารณชนก็ได้ประโยชน์ ดิฉันก็ไม่ได้คิดอะไร ถ้าเป็นคนอื่นเล่นหุ้นสักนิดเดี๋ยวเดียวก็ได้
สี่ซ้าห้าแสนก็ได้ หรือเผลอๆ ถ้าเงียบสักหน่อยล้านสองล้านก็ได้
แต่ดิฉันไม่ได้ทำ ดิฉันไม่มีอะไรเกี่ยวข้องเลย เงินเดือนดิฉัน 4 หมื่นบาท
ดิฉันถือว่ารับงานมาแล้วก็จะต้องทำงานนี้เพื่อแผ่นดิน (เน้นเสียง) เพื่อประเทศชาติ
นั่นคืออุดมการณ์ของดิฉัน สู้ดิฉันก็สู้ให้ มีอุปสรรคดิฉันก็แก้ให้ ตราบใดที่ดิฉันมีแรง
SUPPORT ที่เพียงพอ วินาทีที่ดิฉันออกเพราะดิฉันรู้สึกว่าแรง SUPPORT ที่ดิฉันต้องการไม่มีอีกแล้วดิฉันถึงออก ไม่มีประโยชน์ที่จะอยู่ต่อไป นี่คือความรู้สึกต่างๆ
ของดิฉัน ซึ่งหาคนเข้าใจยากเหลือเกิน (เสียงแผ่ว)”
“เป็นเพราะผลประโยชน์ในตลาดหลักทรัพย์มากเกินไปหรือเปล่า ถึงได้มีปัญหากับผู้จัดการอยู่เสมอ”
อีกคำถามหนึ่งที่ถามแทรกขึ้นมา
“ในเรื่องผลประโยชน์ที่เราขัดกันหรือที่ดิฉันขัดกับเขา ดิฉันทนมาตลอด
ในเรื่องผลประโยชน์ก็มีส่วน แต่ไม่ใช่จุดใหญ่ที่ดิฉันลาออก สาเหตุใหญ่ที่ดิฉันลาออกเพราะแรง
SUPPORT ที่ดิฉันเคยได้รับกลับไม่ได้รับ (เน้นเสียง) และเป็นเรื่องที่น่าเสียใจมากกว่าแรง
SUPPORT ที่ดิฉันไม่ได้รับเกิดจากการอิจฉาของคนคนเดียว เกิดจากความอิจฉาริษยาของคน
คนเดียว (ใครเอ่ย) ทำพังหมดเลย น่าเสียดายมาก”
“คุณดุษฎี (สวัสดิ-ชูโต) หรือเปล่า” อีกเสียงถามขึ้นอย่างสงสัย
“สาเหตุจริงๆ ไม่ใช่คุณดุษฎี แต่อย่าพูดเลยว่าเป็นใคร” คำยืนจากสิริลักษณ์ตอบข้อข้องใจที่หลายคนคิดว่าการลาออกของเธอเป็นเพราะดุษฎี
สวัสดิ-ชูโต เจ้านายเก่าจากแบงก์ออมสิน ซึ่งเข้าไปเป็นประธานกรรมการตลาดหลักทรัพย์ช่วงเดียวกัน
“ดิฉันรักและให้ความเคารพคุณดุษฎีมาก แต่การที่คุณดุษฎีเอาเรื่องของดิฉันไปออกข่าวในการที่ดิฉันลาออกในที่ประชุมทำให้ดิฉันเสีย
ดิฉันจำเป็นต้องทำนิดหนึ่งซึ่งทำไปแล้วรู้สึกเสียใจ ดิฉันเสียใจไม่ใช่เรื่องลาออก
แต่เสียใจเพราะต้องออกข่าวอย่างนั้น ถ้าคุณดุษฎีไม่ออกข่าวอย่างนั้นและให้ดิฉันออกข่าวของดิฉันเอง
รับรองว่าจะไม่กระเทือนหูใครเลย ไม่เคยคิดจะทำใครเลย”
สี่ทุ่มเศษ มติของเสียงส่วนใหญ่เห็นว่าสมควรแก่เวลาแล้วที่จะต้องแยกย้ายกันเสียที
สิริลักษณ์ รัตนากรเดินนำกลุ่มผู้สื่อข่าวซึ่งตอนนี้เหลืออยู่สิบกว่าคน จากจำนวน
30 คนเศษเมื่อตอนหัวค่ำออกจากบริเวณจัดเลี้ยง
บริเวณทางเดินออกจาก “นวลนาง” ค่อนข้างมืดและไกลพอสมควร ใครที่เดินตามหลังจะเห็นเพียงเงาของคนตะคุ่มๆ จับกลุ่มเดินกันไปพร้อมกับเสียงพูดคุยกันเบาๆ และใครที่ไปร่วมงานตั้งแต่ตอนแรกๆ
คงอดย้อนคิดถึงคำพูดประโยคหนึ่งของเจ้าภาพไม่ได้
“ขอจริงๆ นะคะ วันนี้อย่าให้เป็นเรื่องอาลัยเลยนะคะ รู้สึกว่าเราคงไม่ได้สูญหายตายจากไปไหน
คงอยู่กันแถวๆ นี้ ดิฉันคงหนีพวกเราไปไหนไม่พ้น พวกเราก็คงหนีดิฉันไปไหนก็ไม่พ้น”
ใช่ เราจะพบกันอีก