Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ เมษายน 2528








 
นิตยสารผู้จัดการ เมษายน 2528
ปูนใหญ่กับเงินหมื่นล้าน เดินหน้าต่อไปอีกหลายโครงการ             
 

   
related stories

2527 อีกปีหนึ่งที่ปูนใหญ่ กำไรจนเขิน

   
www resources

โฮมเพจ เครือซิเมนต์ไทย

   
search resources

ปูนซิเมนต์ไทย, บมจ.
พารณ อิศรเสนา ณ อยุธยา
Cement




ปูนซิเมนต์ไทยยุคพารณ อิศรเสนา เตรียมลุยหนักหลายโครงการ ตั้งแต่ขยายกำลังการผลิตปูนฯ ตั้งโรงงานผลิตลวดเหล็กตีเกลียวไปจนถึงการสำรวจและทำเหมืองแร่โปแตชที่ภาคอีสาน ทุกโครงการนี้จะต้องใช้เงินลงทุนนับหมื่นล้านบาท

เมื่อราวต้นเดือนมีนาคม 2528 บริษัทปูนซิเมนต์ไทยหรือที่มักจะเรียกกันสั้นๆ ง่ายๆ แต่ได้ใจความว่า "ปูนใหญ่" ได้จัดให้มีการแถลงข่าว ต่อสื่อมวลชนขึ้นที่สำนักงานใหญ่ บางซื่อ

เป็นการแถลงถึงโครงการใหม่ๆ ที่จะเริ่มดำเนินการในปี 2528 ซึ่งอาจพูดได้ว่า เป็นการแถลงข่าวครั้งใหญ่ครั้งแรกในยุคที่ผู้จัดการใหญ่ชื่อ พารณ อิศรเสนา ณ อยุธยา ซึ่งเพิ่งจะเข้ารับตำแหน่งสืบแทนจรัส ชูโต เมื่อต้นปีนี้เอง

ทวี บุตรสุนทร ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่อาวุโสเป็นคนแรกที่แถลงถึงโครงการขยายกำลังผลิตปูนซีเมนต์ของบริษัทปูนซิเมนต์ไทย

นายช่างทวีได้กล่าวว่า จากการสำรวจดูความต้องการปูนซีเมนต์ภายในประเทศนั้น พบว่ามีอัตราเพิ่มขึ้นทุกปี และถ้าหากปริมาณการผลิตปูนซีเมนต์ในประเทศจากผู้ผลิตทั้ง 3 ราย ยังคงอยู่ในระดับเดิม คือประมาณปีละ 9.5 ล้านตัน ดังเช่นปัจจุบันนี้แล้ว

คาดว่าภายในปี 2530 กำลังผลิตปูนในประเทศจะไม่เพียงพอกับความต้องการ อาจจะต้องมีการนำเข้าปูนซีเมนต์จากต่างประเทศมาชดเชยในส่วนที่ขาด

เพราะฉะนั้นเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดสถานการณ์ดังกล่าว บริษัทปูนซิเมนต์ไทยจึงได้เตรียมขยายกำลังการผลิตขึ้นที่โรงงาน 2 แห่ง คือที่แก่งคอย จังหวัดสระบุรี และที่ทุ่งสง จังหวัดนครศรีธรรมราช โดยขณะนี้ได้รับอนุมัติในหลักการให้ขยายกำลังผลิตจากกระทรวงอุตสาหกรรมไปแล้ว

โรงงานปูนซีเมนต์แก่งคอย เป็นโรงงานที่เริ่มดำเนินการผลิตมาตั้งแต่ปี 2514 เวลานี้มีกำลังผลิตรวมทั้งสิ้นปีละ 1.7 ล้านตัน จากหม้อเผาที่ใช้จำนวน 2 หม้อ

ที่โรงงานแห่งนี้ปูนซิเมนต์ไทยมีโครงการขยายกำลังการผลิต 2 โครงการด้วยกันคือ

โครงการแก่งคอย 3 จะเป็นการเพิ่มหม้อเผาเป็นหม้อที่ 3 ใช้เงินลงทุนประมาณ 3,600 ล้านบาท ปูนซิเมนต์ได้สั่งเครื่องจักรไปแล้วจากประเทศญี่ปุ่นเมื่อปลายปี 2526 ระหว่างนี้กำลังลงมือก่อสร้างและติดตั้งเครื่องจักรอยู่ หากแล้วเสร็จซึ่งคาดว่าจะราวๆ ต้นปี 2530 ก็จะสามารถเพิ่มกำลังการผลิตได้อีกปีละไม่น้อยกว่า 1.6 ล้านตัน

โครงการแก่งคอย 4 เป็นโครงการที่จะเริ่มกันในปี 2528 นี้ คือจะเพิ่มหม้อเผาอีก เป็นหม้อที่ 4 คาดว่าเมื่อเสร็จสิ้นขั้นตอนการประกวดราคาเครื่องจักรและติดตั้งเครื่องจักรได้เรียบร้อยก็คงจะเดินเครื่องใช้ได้ราวปี 2532 และจะช่วยเพิ่มกำลังการผลิตได้อีกปีละ 1.6 ล้านตัน

โครงการดังกล่าวจะต้องใช้เงินลงทุนประมาณ 3,400 ล้านบาท

" เมื่อขยายกำลังผลิตทั้ง 2 โครงการนี้ แล้วเสร็จในปี 2530 และ 2532 โรงงานแก่งคอยก็จะมีกำลังผลิตเพิ่มขึ้นเป็นปีละ 4.9 ล้านตัน นับเป็นโรงงานปูนซีเมนต์ที่ทันสมัยที่สุดในเอเชียอาคเนย์ และใหญ่ที่สุดในประเทศไทย" นายช่างทวีสรุป

ส่วนโครงการขยายกำลังผลิตที่โรงงานอีกแห่งหนึ่ง คือที่ทุ่งสง ซึ่งขณะนี้มีกำลังการผลิตปีละ 9 แสนตันนั้น ปูนซิเมนต์ไทยเรียกว่า โครงการทุ่งสง 4

โครงการทุ่งสง 4 เป็นโครงการที่จะเพิ่มกำลังการผลิตขึ้นอีกปีละ 1 ล้านตัน ใช้เงินลงทุนประมาณ 2,200 ล้านบาท ปูนซิเมนต์ไทยจะเริ่มโครงการนี้พร้อมๆ กับโครงการแก่งคอย 4 คือกำลังดำเนินการกันอยู่ในขณะนี้นั่นเอง และคาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2532

โครงการขยายกำลังผลิตทั้ง 3 โครงการ ทั้งที่แก่งคอยและที่ทุ่งสงนี้จะทำให้ปูนซิเมนต์ไทยมีกำลังผลิตรวมทั้งสิ้น 10 ล้านตัน นับตั้งแต่ปี 2532 เป็นต้นไป

จึงเป็นการแน่นอนว่า คงจะไม่มีสถานการณ์วิกฤตการณ์อันเกิดจากการขาดแคลนปูนซีเมนต์ขึ้นในประเทศไทย

และก็เป็นการแน่นอนอีกเช่นกันที่ปูนซิเมนต์ไทยจะได้ครองสัดส่วนในตลาดปูนซีเมนต์ของประเทศไทยมากขึ้น หากคู่แข่งอีก 2 แห่ง ไม่ว่าจะเป็น "ปูนกลาง" หรือ "ปูนเล็ก" ขยับตัวตามสถานการณ์ปรับกำลังการผลิตนี้ไม่ได้หรือไม่ทัน

โครงการใหญ่เหมือนกันอีกโครงการหนึ่ง ซึ่งทวี บุตรสุนทร เป็นผู้แถลงคือ โครงการผลิต KILN FUNITURE ที่โรงงานวัสดุทนไฟ ท่าหลวง จังหวัดสระบุรี เป็นโครงการที่มีขนาดกำลังผลิตปีละ 1,650 ตัน ใช้เงินลงทุนย่อมเยาลงมาหน่อยคือเพียงประมาณ 60 ล้านบาท จะเริ่มเดินเครื่องการผลิตกลางปี 2529

KILN FUNITURE เป็นภาชนะที่ใช้รองรับเซรามิกดิบสำหรับเข้าเผาในเตาเผา ปัจจุบันความต้องการใช้ในประเทศในกลุ่มผู้ผลิตผลิตภัณฑ์เซรามิกมีอยู่ประมาณ 4,300 ตันต่อปี ซึ่งจำนวน 64% ต้องนำเข้าจากต่างประเทศ คิดเป็นมูลค่าตกปีละ 60 ล้านบาท

ดังนั้น โครงการนี้จึงมีประโยชน์มากในแง่ที่จะช่วยประหยัดเงินตราต่างประเทศ รับกับนโยบาย "เมดอินไทยแลนด์" ของรัฐบาลพอเหมาะพอเจาะ

การผลิต KILN FUNITURE นี้ นายช่างทวีบอกว่า KILN FUNITURE จะใช้เทคโนโลยีของบริษัท VEREINGTE GROSSALMERODE TONWERKE Ltd. (VGT) แห่งประเทศเยอรมนีตะวันตก อันเป็นเทคโนโลยีที่ทันสมัยและสามารถใช้วัตถุดิบในประเทศได้อย่างมากที่สุด

จึงเชื่อว่าคุณภาพน่าจะทัดเทียมกับของต่างประเทศ อีกทั้งราคายังจะถูกกว่ากันอย่างน้อยต้องถึง 15% ด้วย

ปูนซิเมนต์ไทยจะมีโครงการขยายกำลังการผลิต KILN FUNITURE เพิ่มขึ้นอีกประมาณปีละ 1,000 ตัน หากโครงการในระยะแรกนี้ไปได้ราบรื่น

อมเรศ ศิลาอ่อน ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่อาวุโส เป็นผู้บริหารระดับสูงอีกคนหนึ่งที่ได้แถลงถึงโครงการใหม่ลำดับต่อมา คือโครงการผลิตลวดเหล็กตีเกลียวสำหรับงานคอนกรีตอัดแรงของบริษัทเหล็กสยาม ซึ่งเป็นบริษัทหนึ่งในเครือซิเมนต์ไทย

โครงการผลิตลวดเหล็กฯ หรือ P.C.STRAND เป็นโครงการที่ได้รับการส่งเสริมจาก บีโอไอ เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2528 เพิ่งไม่กี่เดือนมานี้เอง โดยจะมีกำลังการผลิตเต็มที่ปีละ 8,000 ตัน ใช้เงินลงทุนประมาณ 100 ล้านบาท ตัวโรงงานจะตั้งอยู่ที่จังหวัดสระบุรี ในบริเวณเดียวกันกับโรงงานของบริษัทเหล็กสยาม

ในการจัดตั้งโรงงานปูนซิเมนต์ไทยกำลังพิจารณาเครื่องจักรและเทคโนโลยีจากประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเป็นผู้นำในด้านอุตสาหกรรมเหล็กของโลกปัจจุบัน คาดว่าโครงการจะเริ่มในปี 2528 นี้ และคงจะแล้วเสร็จในราวปีหน้า

ปัจจุบันมีผู้ผลิต P.C.STRAND ในประเทศไทยอยู่เพียงรายเดียว โดยมีกำลังการผลิต 6,000 ตัน ต่อปี แต่ความต้องการในปี 2528 กลับจะมีสูงถึง 7,000 ตัน และจะเพิ่มขึ้นอีกในอัตราปริมาณปีละ 13% ในปี 2533 จึงคาดว่าความต้องการจะพุ่งสูงถึง 13,000 ตัน

"เมื่อผลิตได้เต็มกำลังผลิตที่ประมาณการไว้ เราจะสามารถประหยัดเงินตราต่างประเทศได้อย่างน้อย 18 ล้านบาทต่อปี…" อมเรศ ศิลาอ่อน กล่าว

อีกโครงการหนึ่งที่น่าสนใจไม่แพ้กันเห็นจะได้แก่ โครงการก่อตั้งบริษัทไทยโปแตช เพื่อสำรวจและทำเหมืองแร่โปแตชขึ้นที่จังหวัดขอนแก่น และจังหวัดมหาสารคาม ครอบคลุมพื้นที่ทั้งสิ้นประมาณ 3,500 ตารางกิโลเมตร

ใครเคยติดตามความเคลื่อนไหวของโครงการพัฒนาชายฝั่งทะเลตะวันออก โดยเฉพาะเกี่ยวกับการจัดตั้งโครงการปุ๋ยแห่งชาติและโครงการโซดาแอช ก็คงต้องการทราบแน่ว่า อะไรคือโปแตชหรือที่มีการบัญญัติศัพท์เป็นภาษาไทยว่า "เกลือหิน"

โปแตชโดยทั่วๆ ไป จะใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตปุ๋ยเคมี บอกเสียเลยก็ได้

สิงห์ ตังทัตสวัสดิ์ ผู้อำนวยการฝ่ายการเงินและวางแผนของบริษัทปูนซิเมนต์ไทย เป็นผู้แถลงเรื่องราวเกี่ยวกับโครงการนี้ว่า

บริษัทไทยโปแตช จำกัด ได้ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2524 ทุนจดทะเบียน 1 ล้านบาท มีเป้าหมาย และวัตถุประสงค์หลักเพื่อทำการสำรวจและทำเหมืองแร่โปแตช

ไทยโปแตช เป็นบริษัทร่วมทุนระหว่างบริษัท ดูวัล คอร์ปอเรชั่น แห่งสหรัฐอเมริกา บริษัท ซีอาร์เอ เอ็กซ์พลอเรชั่น ทีพีวาย แห่งออสเตรเลีย บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด และรัฐบาลไทยก็ร่วมถือหุ้นอยู่ด้วย

ไทยโปแตชได้รับอนุมัติจากรัฐบาลไทยให้ทำการสำรวจเหมืองแร่ดังกล่าว และขณะนี้กำลังอยู่ในระหว่างการขออาชญาบัตร และสิทธิบัตรในการสำรวจ รวมทั้งขอส่งเสริมการลงทุนจาก บีไอโอ คาดว่าจะเริ่มลงมือสำรวจได้ภายในปี 2528 นี้

ในการสำรวจต้องใช้เงินลงทุนราวๆ 85 ล้านบาท และหากการสำรวจได้ผล พบปริมาณแร่สำรองมากเพียงพอคุ้มกับการลงทุนก็จะทำเหมืองแร่ผลิตแร่ในปริมาณปีละ 2 ล้านตัน ซึ่งก็ต้องใช้เงินลงทุนอีกประมาณ 10,000 ล้านบาท

โปแตชจากเหมือนแร่ที่ภาคอีสานนี้ ส่วนใหญ่จะส่งไปจำหน่ายยังต่างประเทศ เนื่องจากเข้าใจว่าความต้องการในประเทศยังมีน้อย

โครงการปุ๋ย โครงการโซดาแอช ตามแผนพัฒนาชายฝั่งตะวันออก ยังไม่มีอะไรแน่นอนก็ต้องวางเป้าหมายผลิตเพื่อส่งออกไว่ก่อนเป็นธรรมดา

สรุปกันตอนท้ายนี้ ก็ต้องบอกว่าโครงการทั้งหลายนี้เป็นความก้าวหน้าอีกก้าวหนึ่งของปูนซิเมนต์ไทย ซึ่งเมื่อลองรวมยอดเงินลงทุนดูเล่นๆ แล้ว ก็จะเป็นเงินนับหมื่นล้านบาท

และถ้ามองถึงประโยชน์ที่สังคมจะได้รับแล้วก็ล้วนแต่จะเป็นโครงการที่ให้ประโยชน์อย่างมาก

โดยเฉพาะในแง่ที่เป็นการพัฒนาขีดความสามารถด้านการผลิตของประเทศไทยให้สามารถยืนอยู่ได้บนขาของตัวเอง ไม่ต้องพึ่งการนำเข้า

ประกาศนี้ลูกหม้อเก่าอย่างสมหมาย ฮุนตระกูล คงจะพอใจอย่างมากเป็นแน่

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us