ไอ-โมบายครึ่งปีแรกยอดขายในประเทศ 1.7 ล้านเครื่องทะลุเป้า อีสานเป็นตลาดใหญ่ มั่นใจปีนี้ทำยอดขายเกินเป้าจากเดิมทั้งไว้ 3.3 ล้านเครื่อง เป็น 3.7 ล้านเครื่อง ส่วนแผนครึ่งปีหลังเน้นออกเครื่องใหม่ 20 รุ่น ราคาเฉลี่ย 4,000-5,000 บาท เพราะเพิ่มราคาเฉลี่ยดีดรายได้เข้าเป้า 12,800 ล้านบาท ล่าสุดเปิดตัวใหม่อีก 3 รุ่น
นายธนานันท์ วิไลลักษณ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท สามารถ ไอ-โมบาย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ครึ่งปีแรกที่ผ่านมาไอ-โมบาย สามารถทำเป้ายอดขายในประเทศได้เกินเป้าหมายเล็กน้อยที่ 1.7 ล้านเครื่องจากเป้าหมายที่วางไว้ทั้งปี 3.3 ล้านเครื่อง ซึ่งตลาดหลักยังเป็นภาคอีสาน มียอดขายถึง 60,000 เครื่องต่อเดือน ส่วนตลาดต่างประเทศครึ่งปีแรกทำยอดขายได้ต่ำกว่าเป้าหมายเล็กน้อยที่ 3-4 แสนเครื่อง จากเป้าทั้งปี 7-8 แสนเครื่อง แต่ไอ-โมบายยังมั่นใจว่าจะสามารถทำยอดขายรวมทั้งในและต่างประเทศได้ตามเป้าหมาย 3.5 ล้านเครื่องหรืออาจทะลุเป้าหมายมากกว่า 3.7 ล้านเครื่อง
ปัจจัยที่ทำให้ยอดขายเครื่องในประเทศช่วงครึ่งปีแรกเกินเป้า เพราะไอ-โมบายออกเครื่องรุ่นใหม่กระตุ้นตลาดหลายรุ่นราว 15-20 รุ่น และส่วนใหญ่เป็นเครื่องที่มีราคาต่ำในระดับ 1,500-3,000 บาท แต่ก็ส่งผลเสีย ทำให้ราคาเฉลี่ยต่อเครื่องลดลงจากราคาเฉลี่ยที่ 2,000 บาทต่อเครื่องในปีที่ผ่านมาเล็กน้อย
ส่วนตลาดต่างประเทศสาเหตุที่ยอดขายต่ำกว่าเป้าเล็กน้อยเป็นเพราะจำนวนสินค้าในคลังสินค้าประเทศต่างๆ ยังมีอยู่มากจึงไม่มีการสั่งสินค้าใหม่โดยเฉพาะประเทศอินเดีย และอินโดนีเซีย แต่คาดว่าในครึ่งปีหลังจะมีการสั่งซื้อมากขึ้น
อย่างไรก็ดี ตลาดต่างประเทศ พบว่า ปีนี้ลาวมียอดขายที่น่าพอใจเฉลี่ยที่ 10,000 เครื่องต่อเดือน ขณะที่ลาวมีประชากรทั้งหมดเพียง 3 ล้านคน ส่วนการทำตลาดในประเทศอื่นเพื่อการควบคุมต้นทุนไอ-โมบาย จะเน้นขายส่งอย่างเดียวแทนการเข้าตั้งสำนักงานทำตลาดเต็มตัว
“ในส่วนของรายได้แม้ราคาเฉลี่ยเครื่องจะปรับตัวลดลงเล็กน้อยในช่วงครึ่งปีแรก แต่เรายังมั่นใจว่าจะสามารถทำรายได้ให้เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ 12,800 ล้านบาท เพราะแม้ราคาเฉลี่ยลดลงแต่ยอดขายยังเติบโตได้ดี ซึ่งปีนี้คาดว่ายอดขายจะโตจากปีที่ผ่านมาราว 10-15%”
นายธนานันท์ กล่าวว่า ช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมาเครื่องที่ได้รับความนิยมและมียอดขายมากที่สุดคือ เครื่อง QWERTY หรือเครื่องที่มีแป้นพิมพ์คล้ายคีย์บอร์ด โดยมียอดขายกว่า 30% ของยอดขายเครื่องทั้งหมด ส่วนเครื่องหน้าจอสัมผัส (ทัชสกีน) มียอดขายราว 20% ของยอดขายรวม
ส่วนแนวทางการทำการตลาดในช่วงครึ่งปีหลัง ไอ-โมบาย จะหันไปเน้นเครื่องรุ่นใหม่ที่ราคา 4,000-5,000 บาทมากขึ้นเพื่อเพิ่มราคาเฉลี่ยให้สูงขึ้นโดยจะเน้นออกเครื่องรุ่นใหม่ระบบQWERTY ที่เป็นระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ สองซิมรองรับ 3G และ 2G ซึ่งจะมีการออกเครื่องรุ้นใหม่ตีตลาดถึง 20 รุ่นในครึ่งปีหลัง
ทั้งนี้ ในส่วนตลาดเฮาส์แบรนด์ในประเทศไทยยังคงมีทิศทางที่ดี เพราะปัจจุบันไอ-โมบาย ยังคงมีส่วนแบ่งการตลาดอยู่ที่ 30% เป็นอันดับ 2 ของตลาดมือถือในประเทศไทย
ล่าสุด ได้เปิดตัวโทรศัพท์มือถือ 2 รุ่น คือ i-mobile S382 ขนาดหน้าจอกะทัดรัด และ i-mobile S383 ขนาดหน้อจอ 2.4 นิ้ว ซึ่งเป็นโทรศัพท์มือถือปุ่มกด QWERTY ควบคุมการใช้งานแบบสัมผัสด้วยแทรค แพค ความละเอียดกล้อง 2 ล้านพิกเซล สามารถใช้งานได้ 2 ซิม ดูทีวีได้ อีกทั้งตอบสนองการใช้งานอินเทอร์เน็ต การใช้งานโซเชียล เน็ตเวิร์ก ทั้งเฟสบุ๊ก ทวิตเตอร์ และแชตออนไลน์ ในราคา 3,190 บาท และ 3,290 บาท
นอกจากนี้ ยังเปิดตัวโทรศัพท์กลุ่มสมาร์ทโฟน 3จี แอนดรอยด์ รุ่นi-mobile i858 มือถือไวด์สกรีนทีวีหน้าจอขนาด 4.3 นิ้ว ซึ่งเป็นมือถือ 3จี แอนดรอยด์รุ่นแรกในตลาดที่รองรับการดูฟรีทีวีด้วยระบบออโต้ ทีวีจูนเนอร์ และมาพร้อมการใช้งานมัลติมีเดียครบถ้วน ความละเอียดกล้อง 5 ล้านพิกเซล และตอบสนองการงช้งานอินเทอร์เน็ต โซเชียล เน็ตเวิร์ก รวมถึงดาวน์โหลดแอปพลิเคชันต่างๆ โดยมีราคาจำหน่ายที่ 11,000 บาท
นายธนานันท์ กล่าวว่า ปัจจุบัน ไอ-โมบาย มีผู้ใช้บริการซิม 3Gx อยู่ทั้งสิ้น 80,000 ราย จากยอดซิมที่ได้รับอนุมัติจากทีโอที 200,000 ซิม และมียอดจดทะเบียนใช้บริการใหม่เดือนละ 300-400 ราย นับเป็นผู้ประกอบการที่มีผู้ใช้บริการมากที่สุดในจำนวน MVNO ของทีโอที
|