Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ เมษายน 2528








 
นิตยสารผู้จัดการ เมษายน 2528
เดอะซูเปอร์แมเนเจอร์             
โดย ไพบูลย์ สำราญภูติ
 


   
search resources

เจนเนอรัล มอเตอร์ส (ประเทศไทย), บจก.
Motorola Inc.




9. ขุนพลยิ่งใหญ่ของเยนเนอรัลมอเตอร์

ถ้าจะถามถึงผู้บริหารของยี.เอ็ม. แล้วคนส่วนใหญ่จะรู้จักกันเพียงไม่กี่คน เช่น ฮาว์ดลว์ เคอร์ติส และจอห์น ซี. เดอลอรีน คนแรกโด่งดังมาก เมื่อได้รับการแต่งตั้งให้เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในสมัยประธานาธิบดีไฮเซนฮาว์ และเป็นผู้ที่กล่าวอยู่เสมอว่า "อะไรก็ตามที่ ยี.เอ็ม. เห็นว่าดี อเมริกาก็ต้องเห็นดีด้วยเสมอ "

ส่วนเดอลอรีนนั้น มีชื่อเสียงโด่งดังฉาวโฉ่จากการกระทำของเขา ที่พยายามจะรักษาสถานการณ์ และความอยู่รอดของบริษัทผลิตรถยนต์ที่เขาเป็นเจ้าของอยู่ จนถูกจับในกรณีค้ายาเสพติด

ขุนพลอื่นๆ ของ ยี.เอ็ม. ที่ไม่ค่อยจะมีชื่อเสียงมากนัก ก็ยังมีสิทธิที่จะถูกนำมาบรรจุไว้ในทำเนียบผู้บริหารที่มีฝีมือระดับซูเปอร์แมเนเจอร์ได้อีกหลายต่อหลายคน

ขุนพลหรือขุนศึกในธุรกิจรถยนต์แห่งเมืองดีทรอยต์ ที่ควรเอามาเล่าให้ฟังคือ โทมัส เอ.เมอร์ฟี่ และอีเอียด เอ็ม.เอสเต้ส์ ประธานกรรมการและกรรมการผู้จัดการ ที่พยายามทุกวิถีทางในการผลักดันโครงการ Fifty Billion Dollar Fighr - back ให้บังเกิดผลสำเร็จ รวมทั้งโรเจอร์ บี.สมิธ และเอฟ.เจมส์ แมคโดนัล ที่ช่วยกันปลุกปล้ำขับเคี่ยวให้บริษัทมีการพัฒนาเปลี่ยนแปลงระบบการบริหารต่างๆ อยู่ตลอดกาล

จริงอยู่การที่ต้องเสียค่าใช้จ่ายและกำลังคนไปมากมายในแต่ละส่วนก็เพื่อที่จะพยายามกอบกู้ฐานะของบริษัทให้กลับฟื้นคืนมา หลังจากที่มีผู้บริหารระดับสูงหลายต่อหลายคนได้เข้าไปบริหาร และเกิดความผิดพลาดมากมายหลายครั้ง ซึ่งเป็นบทเรียนอันล้ำค่าที่สุดในการบริหารธุรกิจขนาดใหญ่ของโลก

เหตุการณ์ดังกล่าวนี้ทำให้นิตยสารฉบับหนึ่งเขียนบทความถึงเรื่องนี้ว่า "Will Success Special General Motors?" ในปี 2526 นี้เอง

ครับ เรื่องนี้คงจะไม่เป็นไปอย่างมี่คาดหมายแน่ หาก ยี.เอ็ม. ไม่ยอมหลงผิดอยู่กับการโยนความผิดพลาดต่างๆ ที่เกิดขึ้นให้กับผู้บริหารระดับสูงที่เคยทำมา หรือกำลังทำอยู่ในปัจจุบัน อย่างน้อยที่สุดความผิดพลาดทั้งหลายที่มีอยู่และเกิดขึ้นในอดีตนั้น มันคงจะเป็นบทเรียนที่มีค่ามากที่สุดในการบริหารต่อไปในอนาคตด้วย

จะว่ากันไป การบริหารที่ทันสมัยและได้ผลนั้น เริ่มมาตั้งแต่แมคโดนัลเป็นผู้นำมาใช้ เขายึดถือหลักความจริงที่ว่า แม้จะไม่มี ยี.เอ็ม. อยู่ โลกนี้ก็ยังจะดำรงคงอยู่ได้ เขาเป็นคนที่มีแนวความคิดก้าวหน้า อิสรเสรีที่จะทำอะไรๆ ที่เห็นว่าสมควรเหมาะสม ไม่ยึดติดกับของเก่า หรือการอนุรักษนิยม

เขาเป็นคนเชื่อในหลักการที่ว่า ต้องใช้ทรัพยากรการบริหารน้อยที่สุด เพื่อให้ได้ผลงานมากที่สุด ( LIMO: the Least Input of human (and all other) resources for the Most Output) และศึกษาข้อผิดพลาดทั้งหลายที่เกิดขึ้นในอดีตมาเป็นบทเรียนในการบริหารรวมทั้งการใช้การพัฒนาวิธี เทคโนโลยีสมัยใหม่มาใช้ให้เกิดประโยชน์มากขึ้น

ข่าวสารข้อมูลต่างๆ ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่เขาให้ความสำคัญต่อมันเป็นอันมาก และถือเป็นเรื่องคอขาดบาดตายเอาเสียจริงๆ การสนใจที่จะศึกษาข้อมูลรายละเอียดต่างๆ ของคู่แข่งขันไม่ว่าจะเป็นจุดแข็งหรือจุดอ่อนที่มีอยู่ รวมทั้งจุดยืนของตัวเองที่ต้องพยายามรักษาหรือพัฒนาให้ก้าวหน้ายิ่งๆ ขึ้นไปด้วย

ที่สำคัญอย่างยิ่งก็คือ การประเมินคู่ต่อสู้ต่ำกว่าความเป็นจริงด้วยความประมาท หรือการประเมินค่าตนเองสูงกว่าที่ควรจะเป็นเพราะความหลงตัวเอง

เขาจะตัดสินใจในทันทีโดยไม่รอช้า หรือลังเลใจแม้แต่น้อย และเมื่อสั่งการแล้วก็จะติดตามรอดูอยู่ตลอดเวลา และหากสิ่งที่ตัดสินใจลงมือกระทำไปนั้น จะบังเกิดผลเสียหายหรือมีข้อโต้แย้งเกิดขึ้นมากเพียงพอ เขาก็พร้อมที่จะแก้ไขหรือยุติการกระทำนั้น โดยไม่พะวงหลงติดอยู่กับความเจ็บปวดเสียหน้า หรือการทำลายความรู้สึกของใครบางคน แม้แต่ตัวเอง

แต่หากการกระทำนั้นบังเกิดผลเป็นไปตามที่คาดหมายไว้ เขาก็จะไม่รั้งรอที่จะบุกไปข้างหน้า และทุ่มเทจนสุดกำลังความสามารถ

การศึกษาภาวการณ์ของตลาดอย่างลึกซึ้งและต่อเนื่อง เป็นเรื่องหนึ่งที่สนใจและติดตามอยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะอย่างยิ่งความเคลื่อนไหวของคู่แข่งขัน เพื่อที่จะนำมาใช้ในการวางแผนกลยุทธ์ทางการตลาด พยายามหลีกเลี่ยงการเข้าปะทะจุดแข็งของคู่แข่งขัน แต่กลับจะพยายามใช้ยุทธวิธีอื่นๆ ที่ได้ผลกว่า เช่น การโจมตีจุดอ่อนที่คู่แข่งขันนั้นมีอยู่ หรือพัฒนาให้ล้ำออกไป

จะอย่างไรก็ตาม เอดะซูเปอร์แมเนเจอร์หรือผู้จัดการมือฉมังเหล่านั้น จะต้องยอมรับความจริงทั้งหลายทั้งปวงที่เกิดขึ้น และไม่โยนบาปให้คนอื่นๆ หรือลงโทษตัวเอง ซึ่งเป็นการกระทำที่ไม่ได้ประโยชน์ใดๆ เลย ไม่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นทั้งในด้านดีหรือด้านเลวก็ตาม จะต้องกล้าที่จะเผชิญกับมันอย่างไม่ย่อท้อ ไม่ควรที่จะปิดบังหรือแคลบแฝงใดๆ ทั้งสิ้น เพราะเขาย่อมรู้ดีว่าสิ่งที่เกิดนั้นจะมีผลอย่างไรต่อตัวเขา ต่อองค์การที่เขาต้องรับผิดชอบอยู่

ใช่ อนาคตของทุกคนในองค์การอยู่ในมือของเขาเพียงผู้เดียว

ขุนศึกรุ่นใหม่ของ ยี.เอ็ม ได้นำวิธีการบริหารดังกล่าวมาใช้อย่างได้ผล ในประการแรกสุด เขาตัดสินใจทุ่มทุนที่มีอยู่มหาศาลและได้เปรียบกว่าใครๆ ทั้งปวง เพื่อพลิกฟื้นกู้ฐานะที่ตนเองเคยเป็นผู้นำอยู่กลับคืนมาให้ได้ โดยเฉพาะในธุรกิจรถยนต์ของโลก และจะต้องเป็นผู้ชนะ ผู้นำของตลาดทุกส่วนของโลกอีกด้วย

นับว่าเป็นยุทธวิธีที่ชาญฉลาดไม่น้อย โอกาสความเป็นไปได้มีสูงมาก เพราะจะว่ากันไปแล้ว ยี.เอ็ม. มีทรัพยากรบุคคลและเงินทุนมหาศาลจริงๆ ซึ่งก็เหมือนกับนายพลมองต์โกเมอร์รี่กระทำกับทหารของฝ่ายพันธมิตรในการรบที่อลาเมนนั้นทีเดียว

ได้มีการนำวิธีการบริหารระบบจ่ายน้อยได้มาก (LIMO) ไปใช้ทั่วแห่งหนทั่วโลกพร้อมๆ กัน เพื่อตรวจสอบดูว่าควรจะต้องทำอะไรกันบ้าง และต้องใช้กำลังคนมากน้อยแค่ไหน

ในปี 2525 บริษัทสามารถลดกำลังคนลดได้จาก 741,000 คน เหลือ 657,000 คน หรือลดลงไปเท่ากับ 11.5% ทีเดียว แต่กำลังการผลิตกับเพิ่มขึ้นสูงกว่าเดิม สามารถลดเวลาการประกอบเครื่องยนต์จาก 47.8 ชั่วโมง ลดเหลือเพียง 19 ชั่วโมงต่อเครื่องเท่านั้น

ผลจากการที่นำเทคนิคสมัยใหม่มาใช้ และโยนความเป็นผู้อนุรักษนิยมทิ้งไป ยิ่งทำให้ ยี.เอ็ม. ตื่นตัวได้เร็วขึ้น และยิ่งเพิ่มเทคโนโลยีและวิธีการใหม่ๆ เข้ามาเสริมสร้างสมรรถนะมากยิ่งขึ้นเป็นลำดับ ทั้งนี้เพราะ ยี.เอ็ม. รู้ตัวดีว่า การที่จะมัวงมอยู่กับแนวความคิดแบบโบราณ ล้าสมัยแบบเก่า จะทำให้ตนเองหยุดชะงัก และบังเกิดผลเสียหายมากมายเหลือคณานับ จึงจำเป็นต้องทุ่มทุนอย่างมหาศาลเพื่อพัฒนา ศึกษาเทคโนโลยีสมัยใหม่มากขึ้น

ยี.เอ็ม. ตัดสินใจดำเนินโครงการการทำงานโดยมุ่งหน้าขึ้นที่เเมืองโอเรียนทาว์นธิป รัฐมิชิแกน เป็นเงินถึง 600 ล้านเหรียญ สร้างรถแข่งยี่ห้อ ปอนเตียด เฟียโร่ (Pontiac Fiero) ที่มีตัวถุงเป็นพลาสติก และใช้เครื่องยนต์แบบใหม่ ที่สามารถลดต้นทุนการผลิตได้อย่างมาก ซึ่งรวมไปถึงใช้ใช้คอมพิวเตอร์มาช่วยในการออกแบบ และการคำนวณ การพัฒนาการผลิตวงจรอิเล็กทรอนิกส์ยี่ห้อเดลโก้ เพื่อนำมาประกอบวิทยุรถยนต์ และโยกย้ายการผลิตอื่นๆ มาที่เมืองโคโคโม อินเดียนา แทน

ในขณะที่ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปตามแนวการบริหารแบบใหม่ ที่มุ่งเน้นการคิดค้น การลงมือผลิตทุกสิ่งทุกอย่างด้วยตนเอง แทนที่จะไปพึ่งพาอาศัยคนอื่นๆ แนวความคิดดังกล่าวได้รับการต่อต้านและคัดค้านจากกลุ่มคนรุ่นเก่าและยังเชื่อว่าแนวความคิดอนุรักษนิยมน่าจะดีกว่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งการที่ให้คนอื่นผลิตชิ้นส่วนต่างๆ แล้วส่งกลับมายังบริษัทแม่ แทนที่ต้องลงมือทำเองเสียทุกอย่าง

โรงงานขนาดใหญ่ แฮมแทรงค์ ที่เมืองดีทรอยต์ ได้ถูกออกแบบอย่างเรียบง่าย ไม่มีขั้นตอนยุ่งยากเหมือนที่เมืองโอเรียนทาว์นธิป ด้วยเหตุผลที่ว่า " เมื่อเราได้เรียนรู้ถึงระบบการผลิตที่มีประสิทธิภาพของบริษัทญี่ปุ่นแล้ว เราก็เห็นว่าไม่จำเป็นที่ต้องไปทำให้มันยุ่งยากซับซ้อนต่อไปอีก"

นิตยสารฟอร์จูนได้กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า ฝ่ายบริหาร ยี.เอ็ม. ได้พยายามที่จะแข่งขันกับบริษัทญี่ปุ่นทุกวิถีทาง เพื่อที่จะเอาชนะให้จงได้ ไม่ยอมท้อถอยหรือย่อท้อ แม้ว่าบางครั้งบางทีแทบจะหมดหวังก็ตามที

ในยุโรปเองก็พยายามที่จะพัฒนาปรับปรุงระบบการบริหารต่างๆ จนสามารถเอาชนะบริษัทฟอร์ดไปได้ และผลตอบแทนที่มองเห็นได้ชัดเจนก็คือ การเอาชนะเหมือนบริษัทโพล์คสวาเกน ซึ่งทำการผลิตรถยนต์โฟล์คเต่าทองมาตีตลาดโลกได้อย่างงดงาม

ถ้าหากไม่มีการตัดสินใจดังกล่าวแล้ว ย่อมเชื่อได้ว่าเหตุการณ์ต่างๆ ย่อมไม่มีวันที่จะเกิดขึ้นได้เป็นอันขาด โดยเฉพาะโครงการใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นในช่วงที่สมิธและแมคโดนัลร่วมกันบริหารอยู่ ทีมงานใหม่ที่สร้างขึ้นมา ล้วนแต่มีโอกาสได้สัมผัสและมีความเข้าใจในกระบวนการผลิตตั้งแต่ต้นจนจบ เพื่อให้เกิดความรู้ความเข้าใจอย่างแท้จริง ในเรื่องคุณภาพก็เช่นกัน อะไรก็ตามที่ตัดสินใจสั่งการไปแล้ว จะต้องได้รับการดูแลควบคุมอย่างใกล้ชิดจนกว่าจะแล้วเสร็จ

แมคโดนัลสั่งให้ผู้จัดการทั่วไปทุกคนทำแผนงานการปรับปรุงคุณภาพทุกปี และแผนระยะยาว 5 ปี ซึ่งแผนดังกล่าวนี้ไม่ใช่เป็นการบีบบังคับให้ทำ แต่เป็นเรื่องของความมีสำนึกร่วมกันของระดับบริหาร ที่จะทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างสมบูรณ์แบบที่สุด อย่างน้อยก็ทัดเทียมระบบการทำงานในบริษัทญี่ปุ่น ซึ่งมีผลทำให้สามารถลดปริมาณสินค้าคงคลังในปี 2524 ลงไปได้ถึง 2.2 พันล้านเหรียญ ภายในระยะเวลาเพียง 2 ปี

นอกจากนี้ การใช้กลยุทธ์เดิมที่มุ่งอยู่แต่การออกแบบที่เป็นเลิศซึ่งไม่ประสบความสำเร็จอย่างใดเลยได้ถูกระงับลง และมุ่งเน้นไปที่การปรับปรุงสมรรถนะของเครื่องยนต์แทน เช่น การขับเคลื่อนด้วยล้อหน้าแทนที่จะเป็นล้อหลังแบบเก่า การพัฒนาสินค้าแต่ละโครงการ เป็นเรื่องของประสิทธิภาพการทำงานของเครื่องยนต์ ประหยัดน้ำมัน และรูปแบบที่ดึงดูดใจแทน

การพลิกรูปโฉมดังกล่าวทำให้ ยี.เอ็ม. สามารถกลับมายึดครองตลาดในสหรัฐฯ ได้อีกคำรบหนึ่ง ประมาณ 65% ของตลาดรถยนต์ที่ผลิตได้ในสหรัฐอเมริกา และเมื่อเปลี่ยนแนวทางการตลาดเสียใหม่ โดยแทนที่จะเผชิญหน้ากับคู่แข่งโดยตรงเหมือนแต่ก่อน ยี.เอ็ม. กลับไปสร้างตลาดรถยนต์ขนาดกลางและขนาดเล็กอย่างเอาเป็นเอาตาย เมื่อตลาดรถยนต์ของสหรัฐฯ ในปี 2526 กลับฟื้นคืนสถานะขึ้น ยี.เอ็ม. ก็ได้รับผลพวงดังกล่าวอย่างเต็มที่ เพราะลูกค้าหันมาสนใจรถยนต์ขนาดเล็กและขนาดกลางมากกว่าขนาดใหญ่ แต่ในยุโรปเองไม่เป็นเช่นนั้น บริษัทสาขาของยี.เอ็ม. ในอังกฤษไม่ได้รับอนุญาตให้ผลิตรถยนต์ขนาดเล็กมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2504 ก็สามารถกลับมายึดครองตลาดรถยนต์เล็กและขนาดกลางในอังกฤษได้ โดยสามารถเพิ่มส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าในระยะเวลาให้หลังเพียง 2 ปีเท่านั้น

จะเห็นได้ว่า นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเสมือนรางวัลที่ตอบแทนให้บริษัท เพราะมุ่งเน้นพัฒนาในสิ่งที่ลูกค้าต้องการอยากจะได้แทนที่จะหันไปผลิตสินค้าในสิ่งที่ตนอยากจะผลิตเหมือนแต่ก่อน และสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นนี้ หาใช่วิวัฒนาการทางการตลาดที่แปลกใหม่อะไรเลย มันเป็นเพียงเปลี่ยนสภาพจากยักษ์ที่หลับใหลอยู่หลายปีให้ฟื้นคืนขึ้นมาลืมตามองดูโลกที่แท้จริงนั่นเอง

นิตยสาร ฟอร์จูน ได้วิเคราะห์เหตุการณ์ดังกล่าวของยี.เอ็ม. ว่า เป็นเพราะการลงทุนทำวิจัยตลาด เพื่อให้รู้ถึงหนทางจริงที่เกิดขึ้นกับลูกค้า และจุดอ่อนต่างๆ ของคู่แข่ง ซึ่งมีผลกระทบโดยตรงต่อการพัฒนาสินค้าของยี.เอ็ม. หากไม่ทำเช่นที่ว่านี้ โอกาสที่จะทำให้ประสบความสำเร็จคงมีน้อยเต็มที หรืออาศัยโชคช่วยมากกว่าอย่างอื่น

ทั้งสมิธและแมคโดนัลต่างยอมรับว่าสิ่งที่เขาสามารถจะกระทำได้ ไม่ใช่การเอาชนะจุดแข็งของคู่แข่ง รถยนต์ญี่ปุ่นมีต้นทุนการผลิตถูกมากเพียง 1,500-2,000 เหรียญต่อคัน และแม้ยี. เอ็ม. จะทุ่มสุดตัวก็ไม่มีทางเอาชนะจุดนี้ไปได้

"เราคงไม่ได้อะไรดีขึ้น แต่คงจะต้องตามหลังเขาเรื่อยๆ ไป นี่ซิน่าคิด " โรเบิร์ต เจ.อีตัน รองกรรมการผู้จัดการ กล่าวอย่างเปิดอกกับนิตยสารบิสสิเนสวีค ความจริงในที่นี้ก็คือ การที่จะต้องหายุทธวิธีอื่นๆ ที่ชาญฉลาดและเหมาะสมกว่ามาใช้ หรือแก้ไขจุดอ่อนและสถานการณ์ที่เกิดขึ้น

จะว่าไปญี่ปุ่นเองก็มีปัญหาและจุดอ่อนในเรื่องการพัฒนาระบบเครื่องยนต์และการออกแบบ ซึ่งสิ่งนี้ยี.เอ็ม. ออกจะได้เปรียบอยู่เป็นอันมาก เพราะมีทีมงานผู้เชี่ยวชาญด้านนี้โดยเฉพาะอยู่แล้วถึง 7,000 คน ซึ่งจะต้องหันมาใช้ทรัพยากรบุคคลที่มีอยู่ดังกล่าวให้บังเกิดผลอย่างเต็มที่ เช่น การจัดระบบวิธีการผลิตแบบอัตโนมัติ การออกแบบที่สวยงามจูงใจลูกค้ามากกว่า รวมทั้งแนวความคิดต่างๆ ที่จะสามารถเอาชนะจุดอ่อนของคู่แข่งให้จงได้

ที่สำคัญที่สุดก็คงได้แก่ยุทธวิธีที่ว่า "หากเอาชนะไม่ได้ ก็ต้องเอามาเป็นพวกเสีย" ซึ่งนับว่าเป็นแนวทางที่สร้างความสำเร็จจอย่างใหญ่หลวงให้เกิดขึ้น จะเห็นได้จากการจับมือกับโตโยต้าเพื่อผลิตรถยนต์ขนาดกลางและขนาดเล็กในอเมริกา เป็นต้น สิ่งดึงดูดใจที่ทำให้ยี.เอ็ม. จับมือกับโตโยต้าในครั้งนี้ ก็เห็นจะได้แก่เงื่อนไขที่ญี่ปุ่นเสนอให้พิจารณา ในเรื่องวิธีการบริหารการงานที่ได้ผลอย่างน่ามหัศจรรย์ ซึ่งจะว่าไปแล้วก็ไม่ใช่เรื่องที่สลับซับซ้อนหรือยุ่งยากอะไรนัก เป็นแต่เพียงฝ่ายบริหารใช้สหภาพแรงงานเป็นเครื่องมือสำคัญ หลังจากที่ได้เจรจาตกลงกันในเรื่องของผลประโยชน์และเงื่อนไขต่างๆ เรียบร้อยแล้วเท่านั้น นอกจากนี้ยังสนใจที่จะพัฒนาให้เกิดคุณภาพชีวิตในการทำงาน (Quality of Working Life) ซึ่งมีผลทำให้ผู้บริหารทุกระดับมีความกระตือรือร้น รับผิดชอบงานมากขึ้นกว่าก่อนๆ และไม่โยนกลองหรือไถ่บาปให้คนอื่นอีกต่อไป

สิ่งที่น่าวิตกห่วงใยอีกเรื่องหนึ่งก็คือ ไม่มีใครสามารถคาดการณ์หรือพยากรณ์ได้ว่า ความล้มเหลวที่จะมีเกิดขึ้นในอนาคตนั้นเป็นอย่างไร ในปี 2516 จนถึง 2526 ทั้งคนในยี.เอ็ม. เอง หรือคนภายนอกก็เดาไม่ออกบอกไม่ถูกว่าจะมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นบ้างต่อจากนี้ไป แต่สิ่งที่ประสบอยู่เฉพาะหน้าในขณะนั้นก็คือ จำนวนผู้จัดการระดับต่างๆ เกือบ 45,500 คน ของยี.เอ็ม. ต้องถูกแขวนอยู่ในตำแหน่งหน้าที่ต่างๆ ตามนโยบายใหม่ และจำนวนผู้จัดการดังกล่าวนี้ มีมากกว่าคนงานทั้งหมดของโรงงงานผลิตรถยนต์บี.เอ็ม.ดับเบิลยูของเยอรมนีเสียอีก

ข่าวร้ายที่น่าวิตกซึ่งคงจะเกิดขึ้นตามมาในไม่ช้านี้คือ ต้นทุนการผลิตที่สูงกว่าคนอื่นๆ และนโยบายราคาที่จะทำให้กลับไปเป็นเจ้ายุทธจักรของวงการรถยนต์อีกครั้งหนึ่งนั่นเอง

ในที่สุดสิ่งที่ทุกคนคาดหวังก็เป็นความจริงในปีพ.ศ.2523 ข่าวที่แทนจะเป็นข่าวร้ายกลับเป็นข่าวดีให้กับยี. เอ็ม. ซึ่งเปรียบเสมือนเป็นการกระตุ้นเตือนให้ทุกคนตื่นจากฝันร้ายและทุ่มเทความพยายามอย่างสุดฝีมือเพื่อกอบโกยรายได้เข้าบริษัท ในปีพ.ศ.2526 ตลาดรถยนต์ในสหรัฐฯ ก็ตื่นตัวขึ้นอีกครั้ง คราวนี้เองที่ยี.เอ็ม. สามารถทำรายได้สุทธิถึง 900 ล้านเหรียญในทุกไตรมาส เนื่องจากการจำกัดการนำเข้าของรถยนต์ญี่ปุ่น ของรัฐบาลสหรัฐฯ ช่วงนั้น

ทั้งหมดนี้เป็นเพราะการยอมเปลี่ยนแนวความคิดแบบเก่าที่ไม่ยอมเปลี่ยนแปลงอะไร มาเป็นความตื่นเต้นกระตือรือร้น ใฝ่ฝันทะเยอทะยานและทุ่มเทอย่างสุดกำลังความสามารถพยายามศึกษาหาวิธีการใหม่ๆ ที่จะทำให้งานแต่ละอย่างบังเกิดผลเต็มที่ ซึ่งเป็นวิธีการที่ได้ผลดีเลิศ ซึ่งใครๆ ต่างก็ปรารถนา และจะเป็นวิธีการบริหารที่สามารถทำให้เห็นว่าบริษัทอื่นๆ ที่เล็กกว่ายี.เอ็ม. กลับฟื้นคืนมาใหม่ได้เช่นกัน จะเป็นธุรกิจใดก็ตาม เหมือนกับต้นไม้กลางทะเลทรายที่สามารถกลับฟื้นคืนชีพได้อีกฉันใดก็ฉันนั้น

10. บุรุษผู้ชุบชีวิตโมโตโรล่า

ดังได้กล่าวแล้วว่า บริษัทใดก็ตามที่มีปัญหาและกำลังเผชิญอยู่กับความวิกฤต ก็สามารถกลับฟื้นคืนชีพได้ หากใช้วิธีการที่ถูกต้องตามระบบการบริหารสมัยใหม่ สิ่งที่เรามักจะได้ยินได้ฟังกันอยู่เสมอๆ ก็คือนักธุรกิจรุ่นลูกๆ ไม่สามารถบริหารงานให้เป็นไไปตามรอยเท้าที่บิดาที่ทำชื่อเสียงและผลงานไว้ จนในที่สุดกิจการนี้ก็ต้องมีอันจบลงอย่างน่าเศร้าใจ

เช่นเดียวกับกรณีของโรเบิร์ต ดับเบิลยู. สนอฟฟ์ อดีตกรรมการบริษัทอาร์ซีเอ ซึ่งก่อตั้งโดยนายพลเดร็ค ซานอฟฟ์ เป็นธุรกิจด้านวิทยุซึ่งเดี๋ยวนี้กลายเป็นวิทยุติดรถยนต์แล้ว โดยที่ลูกชายคนหนึ่งของพอล กาลริน ซึ่งเป็นทายาทของเขาได้กล่าวว่า " แต่ก่อนเรามีบริษัทคู่แข่งอยู่มากเหลือเกิน แต่เดี๋ยวนี้ไม่มีให้เห็นอีกแล้ว เพราะบริษัทเหล่านั้นไม่ได้ปรับตัวให้สอดคล้องเข้ากับสถานการณ์ที่เป็นอยู่ เช่น แอดมิรัล และฟิลโก้ เป็นต้น"

พอลเล่าเรื่องนี้ให้กับนักเขียนชื่อจอห์น แฮคเครย์ ฟัง มีเรื่องราวต่างๆ อีกมากที่พอลสามารถทำให้โมโตโรล่าประสบความสำเร็จและเจริญก้าวหน้าเรื่อยมา โดยเฉพาะในเรื่องธุรกิจที่เกี่ยวกับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ การสื่อสารและคอมพิวเตอร์

โมโตโรล่าเป็นผู้นำที่มีชื่อเสียงในธุรกิจยิ่งกว่าใครๆ เพราะรู้จังหวะ และฉกฉวยโอกาสได้ก่อนคนอื่น ทั้งยังสามารถปกป้องส่วนแบ่งตลาดและตำแหน่งผู้นำด้านธุรกิจนี้ไว้ได้อย่างเหนียวแน่น แม้ว่าครั้งหนึ่งจะเคยมีปัญหาตกต่ำและเกือบอยู่ในภาวะวิกฤตมาแล้วเหมือนกัน

ระยะที่โมโตโรล่าแทบจะล้มละลายตายจากวงการ ก็เห็นจะเป็นช่วงพ.ศ.2517- 2518 ซึ่งเป็นระยะเวลาที่เซมิคอนดักเตอร์ หรืออุปกรณ์กึ่งตัวนำไฟฟ้าซบเซาตกต่ำมาก ทำให้โมโตโรล่าต้องขาดทุนเป็นจำนวนมหาศาล แต่พอล กาลริน ก็ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ เขาได้พยายามต่อสู้และฝ่าฟันอุปสรรคนานัปการ และหาทางชนะโดยการทุ่มสุดตัวเพื่อความเป็นเลิศในด้านเทคโนโลยี

พอลเล่าให้ฟังว่า "เมื่อ 10 ปีก่อน เราไม่สามารถแก้ไขอะไรได้เลย ในเรื่องการวิจัยตลาดและพัฒนาผลิตสินค้า แต่เดี๋ยวนี้เรากลับเห็นว่าการพัฒนาผลิตสินค้าในด้านเทคโนโลยีสมัยใหม่เป็นเรื่องที่จำเป็นอย่างยิ่งต่ออนาคตของเรา เรากล้าทุ่มค่าใช้จ่ายในเรื่องนี้อย่างเต็มที่ "

ซึ่งในปี พ.ศ.2525 เมื่อเกิดภาวะเศรษฐกิจของโลกตกต่ำอีกครั้งหนึ่ง โมโตโรล่ากลับยิ่งมองเห็นความสำคัญของเทคโนโลยีมากขึ้น เพระาแม้แต่ยอดผลกำไรของบริษัทจะลดลงเพียง 9% แต่งบประมาณค่าใช่จ่ายด้านการวิจัยและพัฒนากลับเพิ่มสูงเป็น 278 ล้านเหรียญ หรือเพิ่มสูงขึ้นถึง 11%

เพียงชั่วระยะเวลาไม่กี่ปีโมโตโรล่าก็ก้าวขึ้นมาเป็นบริษัทคู่แข่งที่น่ากลัวของบริษัท เทกซัส อินสตรูเมนท์ ซึ่งเป็นผู้นำอยู่ในยุทธจักรของผลิตภัณฑ์กึ่งตัวนำของโลกได้ ที่เป็นเช่นนี้เพราะในปี พ.ศ.2503 นั้น ยังไม่มีใครคาดคิดว่าว่าเหตุการณ์อย่างนี้จะเกิดขึ้นเป็นจริงได้ หัวเลี้ยวหัวต่อที่แท้จริงนั้น เป็นเพราะในปี 2513 กาลรินตัดสินใจทิ้งธุรกิจด้านทีวี แล้วหันเข้ามาสู่ตลาดเทคโนโลยีด้านอิเล็กทรอนิกส์มากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการปรับกระบวนการบริหารอย่างเต็มกำลัง เปลี่ยนแนววิธีการบริหารอย่างทันสมัย กระจายอำนาจมากขึ้นกว่าเดิม และยอมเลิกประเพณีเก่าๆ ที่เคยปฏิบัติกันมาอย่างสิ้นเชิง

จะว่าไปโมโตโรล่าก็พยายามที่จะศึกษาวิธีการต่างๆ ของบริษัทใหญ่ๆ ที่ก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำธุรกิจแต่ละประเภท ที่สำคัญที่สุดคือ เมื่อพอล กาลริน ได้อ่านหนังสือ ล่าวิญญาณแห่งความเป็นเลิศ (In Search f Excellence) (รายละเอียดดูในนิตยสารสไตล์) ซึ่งกล่าวไว้ว่า บริษัทที่มีความเป็นเลิศในยุทธจักรทั้งหลายนั้น ล้วนแล้วแต่ยึดถือแนวทางตามที่หนังสือนี้ชี้ไว้ แนวใดแนวหนึ่ง ในเรื่องนี้พอลกล่าวว่า เขาไม่ได้ยึดถือตามนั้น แต่กลับมองเห็นว่า ควรจะมีหลายสิ่งหลายอย่างประกอบกัน เพราะ "ถ้าเราจะยึดถือสิ่งใดสิ่งหนึ่งเป็นสรณะเพียงอย่างเดียว เช่น ไอบีเอ็ม ถือว่าการบริการเป็นหัวใจสำคัญแล้ว โมโตโรล่าก็ไม่สามารถบอกได้ว่าสิ่งนั้นคืออะไร "ซึ่งก็ย่อมหมายความว่าการบริหารงานที่เยี่ยมยอดเป็นเลิศนั้น ไม่จำเป็นต้องมีหัวใจสำคัญเพียงอย่างเดียวเสมอไป

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us