“เนื่องจากการดำเนินกิจการที่ผ่านมาต้องต่อสู้กับปัญหานานาชนิดไม่รู้จักหมดสิ้น
และทำให้บริษัทยังขาดทุนอยู่ การที่ผมได้ชักชวนเพื่อนซึ่งรักใคร่นับถือกันมาเข้าชื่อซื้อหุ้นและต้องขาดทุนแบบนี้ผมไม่สบายใจมาก
ผมอยากจะขอลาออกจากตำแหน่งกรรมการผู้จัดการ และถ้าท่านผู้ถือหุ้นเห็นว่าใครเหมาะสมก็โปรดเสนอชื่อมาทำงานแทนด้วย
ผมจะได้ของพักผ่อนบ้าง”
กล่าวกับที่ประชุมผู้ถือหุ้นเมื่อ 28 เมษายน 2514
ในวันนั้นเมื่อ 15 ปีที่แล้วทุกคนคัดค้านไม่เห็นด้วย และทุกคนสนับสนุนให้กำลังใจ
วิชัย มาลีนนท์ ให้ทำงานต่อไป
คุณหญิงลลิลทิพย์ ธารวณิชกุล ถึงกับชมเชยวิชัย มาลีนนท์ ว่าทำมาได้รายได้ขนาดนี้ก็ถือว่าเป็นผลงานชิ้นเยี่ยมแล้ว
เมื่อเทียบกับช่องอื่นซึ่งตั้งมานานกว่า
15 ปีต่อมา ในวันนี้ วิชัย มาลีนนท์ ก็เริ่มไม่สบายใจอย่างมากๆ และครั้งนี้วิชัยรู้ว่าไม่มีผู้ถือหุ้นคนไหนจะมานั่งรับฟังการลาออกของวิชัยในวันนี้อีก
ที่เจ็บปวดกว่านั้นก็คือ วิชัยจะลาออกก็ออกไม่ได้เสียแล้ว
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับช่อง 3 ในปี 2528 มันมีความหมายกับวิชัยมากกว่าทุกๆ อย่างที่ได้เคยเจอมาในชีวิตนี้ทั้งสิ้น
เมื่อธนาคารสยามยุค เกษม จาติกวณิช และวารี หะวานนท์ ยื่นฟ้องเรียกหนี้ช่อง
3 คืน 453 ล้านสามแสนสี่พันหนึ่งร้อยสี่สิบเอ็ดบาท
คนที่สนิทกับวิชัย มาลีนนท์ รู้ดีว่า คนคนนี้ยอมตายเสียดีกว่าการเสียชื่อเสียง
แต่งานนี้ถึงตายไปก็ไม่ได้เป็นการแก้ปัญหาแน่ๆ
เพราะการแก้ปัญหาครั้งนี้ของวิชัยดูเหมือนจะมีทางเลือกไม่มาก และเป็นทางเลือกที่ต้องใช้น้ำอดน้ำทน
บวกกับความมานะพยายามใหม่เหมือนเมื่อยุคแรกของช่อง 3
ใช่ มันดูเหมือนว่าปี 2528 นี้จะมีความยากลำบากเหมือนสมัยที่วิชัย มาลีนนท์
เพิ่งจะเริ่มช่อง 3 ใหม่ๆ เมื่อเกือบ 20 ปีที่แล้ว
ยุคแรกของช่อง 3
ในตอนแรกของการบุกเบิกช่อง 3 นั้นหัวเรี่ยวหัวแรงในเรื่องความคิดจริงๆ มาจากคนชื่อ
มนูญสิริ ขัตติยะอารี (ดูล้อมกรอบกำเนิดของช่อง 3 )
สมัยนั้นสตูดิโอช่อง 3 ยังไม่มี แต่ใช้วิธีจ้างครูแก้ว อัจฉริยกุล เป็นหัวหน้าฝ่ายผลิต
ซึ่งการผลิตก็ใช้กล้อง16 มม. ทั่วๆ ไป คุณภาพก็ไม่มี ค่าใช้จ่ายก็สูง เงินเบิกค่าเบี้ยเลี้ยงก็สูงมาก
บางคนเงินเดือนแค่ 1,500 บาท แต่เบิกเบี้ยเลี้ยงเดือนละ 2-3 หมื่นบาท
ยุคนี้เป็นยุคที่ต่ำที่สุดของช่อง 3 เพราะคลื่นส่งก็เป็นประเภท Low Band
ความนิยมก็ไม่มี เรียกได้ว่าอยู่อันดับสุดท้ายของทีวีทั้ง 4 ช่อง
“ใน 5 ปีแรก ช่อง 3 ขาดทุนจนคุณวิชัยแทบจะหมดตัว แต่แกเป็นคนสู้และแกไม่ยอมแพ้ก็เลยมุต่อไป”
แหล่งข่าวในวงการทีวียุคแรกๆ เล่าให้ “ผู้จัดการ” ฟัง
เริ่มเข้าสู่ยุคสาม “ประ”
วิชัย มาลีนนท์ มีลูกหลายคนทีเดียว แต่ที่มาช่วยงานได้เป็นเรื่องเป็นราวก็มีอยู่
3 คนคือ ประสาร – ประวิทย์ และประชา มาลีนนท์
ในตอนแรกนั้นทั้งสาม “ประ” ยังคงเรียนหนังสืออยู่แถวชิคาโก สหรัฐอเมริกา
พอกลับมาทั้งสามก็ทุ่มทั้งกายและใจเข้ามาช่วยพ่อทำงานอย่างเต็มที่
“ช่อง 3 เวลานั้นให้คุณหญิงลลิลทิพย์เป็นประธาน เพราะต้องใช้เงินธนาคารเอเชียทรัสต์
(ธนาคารสยามปัจจุบัน) ซึ่งทางธารวณิชกุลก็ส่งสุสุทธิ์ วิจิตรานนท์ เข้ามาเซ็นเช็คร่วมกับวิชัย
และต่อมาก็เปลี่ยนเป็นนิรันดร์ วิจิตรานนท์ มาเป็นแทนในตำแหน่งรองกรรมการผู้จัดการ
ส่วนลูกคุณวิชัยทั้ง3 ก็เป็นผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการกันหมด” แหล่งข่าวคนเดิมกล่าวต่อ
วิชัย มาลีนนท์ ก็คงจะรู้จักลูกของตัวเองดีว่า ใครเหมาะสมที่จะทำอะไรบ้าง
ประสาร มาลีนนท์
พี่ชายเป็นคนที่ดูแลเรื่องการเงินอย่างเดียว อาจจะเป็นเพราะเป็นคนที่ต้องคุมการเงินก็เลยขาดมนุษยสัมพันธ์กับพนักงาน
และอาจจะเป็นเพราะว่าไม่ได้ยุ่งเรื่อง OPERATION และการวางแผนงานเท่าไหร่นักก็ทำให้ไม่มีใครรู้ว่ามีความสามารถมากน้อยแค่ไหน
ประสารมีภรรยาแล้ว ซึ่งเดิมทำงานอยู่ช่อง 3 รุ่น ดร.เอมอร ชูพินิจ ต่อมาไปเป็นแอร์โฮสเตสของสายการบินแห่งหนึ่งแล้วมาแต่งงานกับประสาร
ปัจจุบันทั้งคู่พักอยู่คฤหาสน์ในหมู่บ้านทิพวัล
ประสารเป็นคนที่เชื่อประชา มาลีนนท์ มาก
ประวิทย์ มาลีนนท์
เป็นนักเรียนเก่าอัสสัมชัญศรีราชา เช่นเดียวกับประสาน เคยเรียนอยู่โรงเรียนนายร้อยตำรวจสามพราน
แต่ลาออกไปศึกษาต่อต่างประเทศ
ประวิทย์เป็นคนสุขุมเยือกเย็นไม่โกรธใครง่ายๆ ให้เกียรติคน ประวิทย์เป็นนักวางแผนตัวฉกาจ
มองอะไรไกลและมองหลายชั้น เป็นคนใช้คนเป็น ใจกว้าง
เป็นคนคนเดียวที่เชื่อมกับกลุ่มธารวณิชกุลได้อย่างนุ่มนวลที่สุด
แต่งงานแล้ว ภรรยาช่วยงานเป็นเลขา ปัจจุบันยังอยู่กับวิชัย มาลีนนท์ ที่คฤหาสน์ในซอยกล้วยน้ำไท
เป็นพี่ที่น้องๆ เกรงใจ
ประชา มาลีนนท์
เป็นคนที่กล้าได้กล้าเสีย ตัดสินใจเร็ว รักใคร รักจริง ช่วยจริง แต่เป็นคนที่มักถูกสิ่งแวดล้อมครอบงำได้ง่าย
โดยเนื้อแท้เป็นคนโอบอ้อมอารี ไม่มีความพยาบาท
เขาอาจจะทะเลาะกับใครอย่างแทบเป็นแทบตาย แต่พอเลิกแล้วก็หมดเพียงเท่านั้น
เป็นคนติดตามงานอย่างถึงลูกถึงคน ในขณะที่ลูกน้องจะเกรงประวิทย์แต่ก็จะกลัวประชา
แต่งงานแล้ว เป็นคนมีใจกว้างยิ่งกว่ามหาสมุทรแปซิฟิก ชอบเดินทางไปพักผ่อนตากอากาศที่เก็นติ้งไอร์แลนด์
มาเลเซีย เป็นประจำ
เมื่อลูกทั้ง 3 กลับมาอยู่ข้างพ่อก็ถึงเวลาที่ช่อง 3 ยุคที่สองต้องเดินต่อไป
เพียงแต่การเดินครั้งนี้เป็นการเดินเพื่อสร้างประวัติศาสตร์ในวงการบันเทิงแท้ๆ
โดยลักษณะงานแล้วประวิทย์จะเป็นคนวางแผนและประชาจะเป็นคนลุยงานตามแผน ซึ่งเป็นคู่ที่สมพงษ์กันมากถ้าดูในลักษณะการทำงานแล้ว
ในยุคแรกนั้น ช่อง 3 ยังมีการขายเวลาทีวีให้คนอื่นเอาไปจัด แต่โดนเบี้ยวเรื่องเงินทองมากก็เลยเลิก
ประจวบเหมาะกับลูกๆ ของวิชัยกลับมาช่วยงาน ก็เลยเอาเวลาเหล่านั้นมาทำเอง
ยุทธศาสตร์ของช่อง 3 ก็เริ่มด้วยการซื้อภาพยนตร์ต่างประเทศเข้ามาฉาย และช่อง
3 ก็ได้เป็นผู้สร้างทีมนักพากย์ที่เลื่องชื่อลือนามขึ้นมา เช่น อุดม สุนทรจามร
ที่พากย์ “เปาบุ้นจิ้น” และอีกทีมหนึ่งที่โด่งดังมากแต่ปัจจุบันออกไปหากินอิสระและพากย์เรื่อง
โอชิน ที่ช่อง 5 อยู่ปัจจุบัน
ในช่วงนั้นทั้งประวิทย์และประชาต้องทำงานตัวเป็นเกลียว เดินทางไปต่างประเทศตลอดเวลาเพื่อซื้อหนัง
เลี้ยงรับรองเอเย่นต์หนังต่างประเทศ ว่ากันว่า เงินค่าเลี้ยงรับรองอย่างเดียวปีๆ
หนึ่งจะเป็นตัวเลขเจ็ดหลักขึ้นไป
“พวกนี้เวลาเลี้ยงรับรองก็เลี้ยงจริง เขาสามารถผูกใจเอเย่นต์หนังได้จนสามารถพูดได้ว่า
ในยุคนั้นเขากุมตลาดหนังต่างประเทศอยู่คนเดียว” แหล่งข่าวในวงการอีกคนหนึ่งพูดเสริมขึ้นมา
ในขณะที่ช่อง 7 และ 5 ยังมัววุ่นวายอยู่กับการสร้างหนังเรื่องจักรๆวงศ์ๆ
และละครน้ำเน่าตลอดจนบันเทิงแบบชุดราตรียาวออกมาครวญเพลงให้คนต่างจังหวัดฟัง
ช่อง 3 ก็กำลังคืบคลานเข้าจับตลาดชั้นกลางในกรุงเทพฯ และรอบนอก ตลอดจนจังหวัดใกล้เคียง
โดยที่ไม่มีใครสนใจ จนกระทั่งนักดูทีวีเมืองไทยได้มีโอกาสดู “เปาบุ้นจิ้น”
ที่บริษัทสหพัฒนพิบูลเป็นผู้นำเข้ามา
จากวันนั้นเป็นต้นมา พฤติกรรมการดูทีวีของคนไทยก็เริ่มเปลี่ยนแปลงโดยการชักนำของช่อง
3 และบริษัทสหพัฒนพิบูลในครั้งนั้น
ความนิยมที่คนดูมีต่อ “เปาบุ้นจ้น” ทำให้ช่อง 3 เริ่มหันมามองตลาดภาพยนตร์จีนอย่างจริงจังขึ้น
“ตอนนั้นช่องอื่นๆ เล่นกันแต่หนังไทยและละครน้ำเน่า โดยไม่ลืมหูลืมตาดูอะไรเลย”
แล้วยุทธศาสตร์การบุกตลาดภาพยนตร์จีนมาออกทีวีเมืองไทยก็เริ่มต้น
ประชา มาลีนนท์ บินไปติดต่อและเซ็นสัญญาเป็นตัวแทนของ TVB ในฮ่องกง “ตอนนั้นแข่งกันอยู่
2 เจ้า คือ TVB และRTV แต่คุณภาพ TVB ดีกว่ามาก ตลอดจนเนื้อเรื่องและผู้แสดง”
ก็คงจะเป็นเช่นนั้น เพราะจาก “กระบี่ไร้เทียมทาน” ที่พอ ฉีเส้าเฉียน
เลิกเล่นบทฮุ้นปวยเอี้ยงก็ต้องตายทำเอาคนดูถึงกับเขียนจดหมายมาด่าสถานี จนถึง
“เจ้าพ่อเซี้ยงไฮ้” ที่เนื้อเพลงถูกร้องกันตั้งแต่รัฐมนตรีดอกเตอร์
ไปจนถึงหมอนวด หรือ “คมเฉือนคม” และอีกมาก
อาจจะเป็นเพราะมันเริ่มเป็นยุคของช่อง 3 ไปเสียแล้ว แม้แต่การจัด VARIETY
SHOW ก็ได้รับการกล่าวขวัญมากไป จนกระทั่งการจัดประกวดนักร้องของช่อง 3 ซึ่งส่งเพียง
2 คน ก็ได้รางวัลนักร้องยอดเยี่ยมของเอเชียมาทั้ง 2 คน คือนันทิดา แก้วบัวสาย
กับ มณีนุช เสมรสุต
เมื่อสักเกือบ 10 ปี ที่แล้ว ประชา มาลีนนท์ ได้ทำในสิ่งหนึ่งซึ่งต้องยอมรับกันว่าเป็นการปฏิวัติละครเมืองไทยขึ้นมาใหม่และเรื่องนี้
ประชา มาลีนนท์ กับช่อง 3 ก็ควรจะได้รับเครดิตอย่างเต็มที่
ประชา มาลีนนท์ ได้ให้โอกาส ภัทราวดี ศรีไตรรัตน์ ได้ทดลองจัดทำละครไม่บอกบทเป็นครั้งแรก
“ไฟพ่าย” / “ตุ๊กตาเสียกระบาล” / “จิตไม่ว่าง”
/ “ขบวนการคนใช้” ฯลฯ ทั้งหมดนี้เป็นลมแรงที่ช่วยโหมไฟแห่งชัยชนะของช่อง
3 ให้ลุกโชติช่วงกว่าเก่า
บวกกับ “เจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้” / “กระบี่ไร้เทียมทาน”/
“มังกรหยก” / “คมเฉือนคม” ฯลฯ ปุ่มช่อง 3 บนแผงหน้าทีวีเป็นแผงที่ทุกคนกดกันประจำ
ไม่ต้องสงสัยช่อง 3 กระโดดจากอันดับสุดท้ายมาเป็นอันดับแรกอย่างเต็มภาคภูมิ
พิเศษไปกว่านั้น ช่อง3 ยังเป็นผู้ริเริ่มเอาข่าวดาวเทียมเข้ามาเป็นคนแรกจากความคิดของประวิทย์
มาลีนนท์ จนในที่สุดทุกช่องต้องตามช่อง3 กันเป็นแถว พอเรียกได้ว่า ยุคนั้นเป็นยุคที่ทุกคนมีความสุขที่ช่อง
3
ว่ากันว่า ตั้งแต่ตกเย็นพอเริ่มมีละครไม่พากย์ ตามด้วยข่าวดาวเทียม และต่อด้วยภาพยนตร์จีน
ในช่วง 3-4 ชั่วโมงนั้น ช่อง 3 เห็นเงินเข้าแถวมาหาจนต้องเมื่อยเอว เพราะก้มนับเงิน
“ในช่วง 3 ชั่วโมงนั้นช่อง 3 รับโฆษณาประมาณ 40 นาที ได้รายได้เฉพาะช่วงนี้อยู่ในระหว่าง
2 ล้านบาท” ผู้อำนวยการแผนกสื่อโฆษณาระดับใหญ่คนหนึ่งพูดให้ฟัง
และก็ได้ผล ความเป็นผู้นำของช่อง 3 ถึงแม้จะเป็นช่วงแคบที่ความถี่การส่งต่ำที่สุด
แต่ก็ทำให้ช่อง 7 ต้องกระทบกระเทือนอย่างมากๆ ทั้งๆ ที่อุปกรณ์เครื่องมือต่างๆ ก็สู้ไม่ได้
(ช่อง 3 เพิ่งจะเปลี่ยนเครื่องมือเมื่อ 3 ปีที่แล้ว)
จนกระทั่งเมื่อช่อง 7 ขยายขอบข่ายการส่งของดาวเทียมทำให้ตลาดโฆษณาถูกช่อง
7 ดึงเอาไปได้มากพอสมควร
แต่ช่อง 3 ก็สู้กลับด้วยการไปซื้อเวลาของโทรทัศน์ท้องถิ่นในเครือข่ายกรมประชาสัมพันธ์ซึ่งก็ได้ผลดีพอสมควรเมื่อเทียบกับจำนวนเงินที่ลงทุนไป
โรงเรียนการแสดงก็เป็นความคิดของช่อง 3 ที่บุกเบิกขึ้นมาอย่างน่าปรบมือให้ที่สุด
และผลผลิตของโรงเรียนนี้ก็มีดีๆ เด่นๆ เช่น กษมา นิสสัยพันธ์ หรือไอ้ฟัก ในคำพิพากษา
, ดิลก ทองวัฒนา ฯลฯ
ยุคที่ช่อง 3 เฟื่องที่สุดและรุ่งเรืองที่สุดก็คงจะเป็นยุคตั้งแต่ 3 พี่น้อง
“ประ” มาลีนนท์ กลับมาจากชิคาโกช่วยงานพ่อ
จนกระทั่งปี 2526 ที่กลุ่มมาลีนนท์เริ่มคิดจะจับธุรกิจที่ใช้ช่อง 3 เป็นฐาน
และธุรกิจแรกคือ การจัดคอนเสิร์ต
“ความจริงความคิดในการจัดคอนเสิร์ตนั้นมันเริ่มทำกันตรงที่จะจัดดาราจีนมาหนุนรายการช่อง3
และคอนเสิร์ต โจวเหวินฟะ ของเขาก็ประสบความสำเร็จอย่างสูง ทำให้ทุกคนมองไปที่คอนเสิร์ตฝรั่งเป็นรายการต่อไป”
แหล่งข่าวในวงการคอนเสิร์ตพูดให้ฟัง
ในช่างแรกของการจัดคอนเสิร์ตนั้น ทั้งประวิทย์ ประชา และประสาร มาลีนนท์
กระโดดเข้ามาร่วมมือร่วมใจกันอย่างเต็มที่
แต่พอแนวทางการจัดเริ่มเปลี่ยนไปทางฝรั่งและขาดทุนมากขึ้น ประวิทย์ก็ถอนตัว
ทิ้งให้ประชาสู้ต่อไป
“มันเริ่มจากการที่สิ่งแวดล้อม ประชา มาลีนนท์ เขาไปอ้างกับประชาว่า
ทาง NITE SPOT เขาดูถูกว่า ประชาทำไม่ได้ ประชาก็ต้องทำให้ดูถึงขาดทุนก็ต้องทำ
ทั้งๆ ที่ทาง NITE SPOT เขายืนยันว่า เขาไม่ได้พูดเช่นนั้น” คนในวงการคอนเสิร์ตคนเก่าพูดต่อให้ฟัง
ประชา มาลีนนท์ เมื่อ 3-4 ปีที่แล้วหลังจากประสบผลสำเร็จมากในช่อง 3 ก็เริ่มหันมามองธุรกิจบันเทิงที่เป็นของตัวเองมากขึ้น
การจัดละครก็จะใช้วิธีให้ช่อง 3 จ้างบริษัทของประชาเป็นผู้จัด แล้วประชาก็อาจจะจ้างคนอย่างเช่น
มยุรฉัตร เหมือนประสิทธิเวช หรือ ทาริกา ธิดาทิตย์ หรือ มาเรีย เกตุเลขา
เป็นผู้จัดต่อ
นอกจากการจัดคอนเสิร์ตนั้นแล้ว ประชายังหันเข้าสู่วงการภาพยนตร์จากการเข้าร่วมกับ
เกียรติ เอี่ยมพึ่งพร แห่งไฟว์สตาร์โปรดักชั่น ทำภาพยนตร์เรื่องแรกชื่อ บ้านทรายทอง
และทำเงินให้มาก ทำให้อนาคตของการร่วมทุนดูสดใสเอามากๆ
จนกระทั่งเกียรติ เอี่ยมพึ่งพร ถูกยิงตาย โครงการก็เลยมีการเปลี่ยนแปลงไป
และที่เปลี่ยนแปลงอีกประการหนึ่งคือ ประชา มาลีนนท์ ไปไหนมาไหนหลังจากเกียรติตายก็เลยต้องมีมือปืนติดตามตลอด
จนกระทั่งมาถึงวันนี้ยังคงมีมือปืนและสิ่งแวดล้อมตามอยู่ตลอดเวลา
”คุณประชาแกเปลี่ยนไปมาก จากการที่เขาเคยไปไหนมาไหนสบายๆ เดี๋ยวนี้กลายเป็นต้องมาในมาดอีกแบบหนึ่ง
และแกก็ห่างเหินคนช่อง 3 ไปมาก ทั้งที่คนช่อง3 ก็ยังรักเขาอยู่” พนักงานช่อง3
คนหนึ่งเล่าให้ “ผู้จัดการ” ฟัง
อาณาจักรธุรกิจส่วนตัวของประชา มาลีนนท์ ขยายไปเรื่อยๆ จากการจัดคอนเสิร์ต
มาเป็นการทำภาพยนตร์ มาทำร้านอาหารชื่อคุ้มหลวง ทำวิดีโอให้เช่าโดยใช้ชื่อ
วิดีโอ 3 แม้กระทั่งทำหนังสือพิมพ์ชื่อ พิมพ์ข่าว
“ผมเสียดายคุณประชาแกน่าจะเทตัวเองให้กับช่อง 3 อย่างเต็มที่ อย่าไปสนใจงานนอกแบบนั้น
เพราะคุณประวิทย์วางแผนแล้วคุณประชาทำนี่มันเป็นสูตรที่เพอร์เฟคมาก”
คนที่รู้จักสอง “ประ” นี้วิจารณ์ให้ฟัง
เมื่อ 2-3 ปีที่แล้ว ช่อง3 เองก็ได้สูญเสียสิทธิ์ในหนังจีนของ TVB ไปให้กับช่อง
7 และใน 2-3 ปีผ่านมานี้ทั้งช่อง 5 และช่อง 7 ได้ขยายขอบงานและสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ขึ้นมา
ในขณะที่
ช่อง 3 หยุดอยู่กับที่และพึ่งพาของเก่ากันไปทุกวัน
“ทุกวันนี้ช่อง 3 อยู่รองบ๊วย ช่อง 5 เอง เขาปรับตัวได้เร็วมาก หนังเรื่อง
โอชิน และรายการต่างๆ เช่น มาตามนัด นี่ทำให้ช่อง 5 แซงช่อง 3 ขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด”
คนที่ติดตามเรื่องทางทีวีวิพากษ์วิจารณ์ออกมา
อาจจะเป็นไปได้เพราะ 2-3 ปีที่ผ่านมานี้ ประชา มาลีนนท์ ทำงานช่อง 3 น้อยมาก
ความจริงแล้วระบบการบริหารของช่อง 3 เขาวางไว้ดีพอสมควร พนักงานช่อง 3 เป็นพนักงานที่มีระเบียบและวินัยมาก
”อันนี้ต้องให้เครดิตประวิทย์และประชา ที่นี่ทำงานโดยไม่มีการตอกบัตรลงเวลา
แต่ทุกคนทำไปตามความรับผิดชอบที่ได้รับมา” พนักงานช่อง 3 คนหนึ่งแอบแย้มให้ฟัง
ช่อง 3 จ่ายโบนัสให้กับพนักงานทุกปีนับตั้งแต่ปีแรกที่เริ่มกิจการถึงแม้จะขาดทุน
โดยเฉลี่ยแล้วจะได้โบนัสปีละประมาณ 4 เดือน
“แต่ที่พนักงานน้อยใจก็ตรงที่ บรรดาพวกดาราทั้งหลายที่มาจัดละครให้ช่อง
3 นั้นพากันร่ำรวยทุกคน ทั้งๆ ที่ 70% ของงานนั้นมาจากพนักงานช่อง 3 ทั้งนั้น
โดยเฉพาะการทำฉาก การกำกับกล้อง การตรวจแก้บท ฯลฯ แต่พวกเรามันก็อยู่เหมือนเดิม จะกี่ปีๆ ก็แบบนี้”
พนักงานช่อง 3 คนเก่าแก่บ่นอย่างเอือมระอา
ในเมื่อช่อง 3 เกิดมาจากรากฐานการเงินของธนาคารเอเชียทรัสต์ ก็พอจะพูดได้ว่า
สุขภาพของช่อง 3 ก็ย่อมขึ้นอยู่กับสุขภาพของเอเชียทรัสต์จริงๆ
เมื่อก่อนเมื่อมีใครพูดถึงช่อง 3 ทุกคนที่ฟังอยู่หรือร่วมวงสนทนาก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงธนาคารเอเชียทรัสต์
และในใจของทุกคนย่อมหมายถึงความมั่นคงปานหินผาทีเดียว
ในสมัยก่อนไม่มีใครจะนึกว่า จอห์นนี่ มา จะมีวันนี้ หรือธนาคารเอเชียทรัสต์จะมีอันเป็นไป
การเงินของช่อง 3 ผูกเอาไว้กับธนาคารเอเชียทรัสต์ ตั้งแต่วันแรกที่เปิดบัญชี
คือวันที่ 10 มกราคม 2512 ด้วยเงินเปิดบัญชี 200,000 บาท และได้วงเงินเบิกเกินบัญชีครั้งแรก
5 ล้านบาท ซึ่ง 15 ปีให้หลัง วงเงินนี้ขยายตัวมาจนเป็น 163,226,174.44 บาท
ในที่สุด โดยมีหลักทรัพย์คือคนชื่อ วิชัย มาลีนนท์ เป็นผู้ค้ำประกันแต่เพียงผู้เดียว
ในยุคที่รุ่งเรืองและเฟื่องฟูเป็นยุคที่บัญชีช่อง 3 จะเป็นอย่างไรมันไม่สำคัญ
เพราะธารวณิชกุลและวิจิตรานนท์ ก็มีอยู่เกือบ 50% ในช่อง3 อยู่แล้ว
และก็ไม่มีใครสงสัยด้วยว่า กลางปี 2527 จะเป็นจุดจบของเอเชียทรัสต์
ธุรกิจของช่อง 3 เรียกได้ว่าขาดทุนใน 6-7 ปีแรกเท่านั้น แต่ตั้งแต่ปี
2516 เป็นต้นมา อีก 10 ปี เป็นช่วงระยะเวลาของการทำกำไรทั้งสิ้น
ประมาณการกันว่า เฉลี่ยกำไรตั้งแต่ปี 2516-2527 น่าจะได้ออกมาปีละอย่างต่ำ
59 ล้านบาทขึ้นไป
ธุรกิจที่กำไรสูงสุดเช่นนี้โดยใช้ทุนต่ำเพียง 12 ล้านบาท และเป็นธุรกิจที่เงินจะหมุนเข้าออกโดย
RECEIVABLE AGING ประมาณไม่เกิน 60 วัน - 90 วัน การใช้เพียงแค่เบิกเงินเกินบัญชีจึงเป็นสิ่งที่ควรทำที่สุด
การลงทุนของช่อง 3 ก็ไม่ได้มีการลงทุนอะไรที่ต้องใช้เงินมากมายนอกจากการต่อสัญญาช่วงปี
2518-19 ที่ต้องเสียเบี้ยบ้ายรายทางไปก้อนหนึ่ง ส่วนการซื้ออุปกรณ์ใหม่ทั้งชุดนั้นก็เพิ่งจะกระทำกันเมื่อ 3 ปีที่แล้ว
สรุปแล้ว ช่อง3 เป็นธุรกิจที่มีสุขภาพดีเอามากๆ หนี้วงเงินเบิกเกินบัญชีเพียง
160 กว่าล้านจึงเป็นเรื่องเล็ก
ช่อง 3 จ่ายปันผลกันอย่างเต็มที่โดยไม่สนใจที่จะตั้งกำไรสะสมเอาไว้เป็นทุนสำรองยามยาก
แต่ในเมื่อธุรกิจมีลักษณะของ HIGH RETURN ทุกคนก็เลยหวังพึ่งรายได้ในอนาคตเป็นเงินทุนการขยายงาน
แต่ทุกคนในช่อง 3 ลืมนึกไปว่าช่อง 3 กับเอเชียทรัสต์ เป็นคู่แฝดกันที่เมื่อเอเชียทรัสต์ไม่สบาย
ช่อง3 ก็ต้องไม่สบายด้วย และบังเอิญเอเชียทรัสต์ไม่ได้เป็นไข้หวัดธรรมดา
แต่ดันเป็นมะเร็งที่ต้องผ่าตัดกันอย่างมโหฬารเสียด้วย
ภาวการณ์ของเอเชียทรัสต์เริ่มเข้าสู่วิกฤตการณ์เมื่อต้นปี 2527 (โปรดอ่าน
“ผู้จัดการ” ฉบับที่ 12 เดือนสิงหาคม 2527) แล้ววิกฤตการณ์ก็เลวร้ายลงทุนเดือน
ช่อง 3 จะด้วยความเต็มใจหรือไม่ก็ตาม ก็ต้องเข้าร่วมขบวนการกู้เอเชียทรัสต์อย่างเต็มที่
วิชัย มาลีนนท์ เองถึงแม้ในส่วนลึกไม่อยากจะทำเช่นนั้น แต่ จอห์นนี่ มา เป็นหุ้นส่วนในช่อง
3 มาเกือบ 20 ปี และก็ยังได้ร่วมกันทำธุรกิจอีกมากมายหลายประการ ก็คงไม่มีทางเลือกนัก
“อีกอย่างหนึ่ง อย่าลืมว่าทุกคนในสังคมพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า
จอห์นนี่ มา มีเงินอยู่ต่างประเทศเยอะ เพียงแต่เขาเอาเงินเข้ามามันก็จบ
ทุกคนเชื่อว่าปัญหานี้แก้กันได้ง่ายและธนาคารจะขลุกขลักเพียงชั่วคราวเท่านั้น”
เจ้าหน้าที่ธนาคารสยามระดับบริหาร ลำดับเหตุการณ์ให้ฟัง
ขบวนการกู้เอเชียทรัสต์ในสายของช่อง 3 ก็เริ่มขึ้นในเดือนพฤษภาคม 2527 เป็นต้นไป
ตั้งแต่วันที่ 9 เดือนพฤษภาคม 2527 จนถึงวันที่ 4 เดือนกันยายน 2527 ช่อง
3 ได้ออกตั๋วอาวัลโดยธนาคารเอเชียทรัสต์แล้วไปขึ้นเงินกับสถาบันการเงินต่างๆ
รวมทั้งสิ้น 16 ครั้ง เป็นเงินทั้งหมด 253 ล้านบาท
ตั๋วที่อาวัลทั้งหมดเป็นตั๋วระยะสั้นตั้งแต่ 30 วันขึ้นไปจนถึง 210 วันสูงสุด
(ดูรายละเอียดล้อมกรอบ)
นอกจากนี้ช่อง 3 ยังได้ให้ธนาคารทำทรัสต์รีซีต เพื่อซื้ออุปกรณ์คุมแสงในห้องส่งอีกเป็นเงินสองล้านกว่าบาท
เงินทั้งจำนวนนี้มีข้อสังเกตว่า เป็นตั๋วที่ทำขึ้นมาเพื่ออาวัลในช่วงระหว่างเดือนพฤษภาคมถึงสิงหาคม
2527 เสียส่วนใหญ่
ซึ่งระยะเวลานั้นเป็นช่วงเวลาของวิกฤตการณ์ทางการเงินของธนาคารเอเชียทรัสต์อย่างที่สุด
และย่อมหมายถึงวิกฤตการณ์ของบริษัทในเครือของกลุ่มธารวณิชกุล และวิจิตรานนท์
ด้วย
ถ้าจะวิเคราะห์กันด้วยความเป็นธรรมแล้วจะเห็นได้ว่า ช่อง 3 เองคงจะใช้เงินเพียงแค่เงินเบิกเกินบัญชี
163 ล้านบาท กับตั๋วที่อาวัลตั้งแต่เดือนกันยายนปี 26 จำนวน 12 ล้านบาท กับทรัสต์รีซีต
3 ล้านบาท เท่านั้นเอง
ซึ่งยอดทั้งหมดก็ประมาณ 177 ล้านบาท นอกนั้นแล้วน่าจะเป็นเงินที่ถูกหมุนออกไปโดยใช้ช่อง
3 เป็นตัวแทน
ส่วนจะหมุนไปให้ใครโดยมีข้อตกลงกันว่าอย่างไรนั้น วิชัย มาลีนนท์ และวัลลภ
ธารวณิชกุล คงจะรู้ดีที่สุด
ที่แน่ๆ คือ ขณะที่วิชัย มาลีนนท์ กำลังนั่งเวียนหัวอยู่กับตัวเลขและหมายศาลในวันเวลาเดียวกันห่างไปทางตะวันออกเฉียงเหนือ
อีก 4,000 กว่ากิโล จอห์นนี่ มา ใส่เสื้อนอกหน้าอกกลัดดอกไม้เป็นประธานตัดริบบิ้นเปิดโรงงานปูนซีเมนต์ของตระกูลเฉินอยู่บนเกาะที่เรียกว่า
ไต้หวัน ที่พักพิงอีกแห่งหนึ่ง ซึ่งเอกยุทธ อัญชันบุตร กำลังใช้อยู่
สำหรับธนาคารสยามแล้วบรรดาลูกหนี้ทั้งหลายรวมทั้งสิ้น 3 พันกว่าล้านบาทนั้น จะมีก็เพียงช่อง3
โรงงานน้ำตาลราชบุรีเท่านั้น ที่อาจจะมีอนาคตเรียกคืนได้
สิ่งแรกที่ธนาคารสยามทำก็คือ ให้กำลังใจช่อง 3 บอกว่า ไม่เป็นไร เอาหลักทรัพย์มาค้ำให้พอแล้วกันแล้วก็ค้าขายต่อไป
วิชัยและลูกก็คงคิดว่า สถานการณ์คงดีขึ้นก็เลยขนที่ร้อยกว่าไร่ที่ตำบลหนองปรือ
บางละมุง ซึ่งเก็บไว้ทำฮวงซุ้ยมาวางเอาไว้ ที่ทั้งหมดอยู่ในชื่อของประสาร
ประวิทย์ และประชา มาลีนนท์
แต่ช่อง 3 กลับไม่ได้บอกธนาคารสยามว่าจะคืนเงิน 453 ล้านให้อย่างไร
สำหรับธนาคารสยามแล้ววิชัยจะเอาเงินไปไม่ถึง 453 ล้านนั้นมันจะจริงหรือไม่กลับไม่ใช่เรื่องที่จะต้องให้ความเห็นใจ
เพราะ 453 ล้าน เป็นเงินของประชาชน เมื่อช่อง 3 เอาไปก็ต้องตามเอามาคืน
“เดิมทีเขาไม่ยอมเจรจา เขาอ้างว่า จอห์นนี่ มา เอาไปและหนี้ 453 ล้านมากเกินไป
เราโนติ้สไปก็เฉย เราเลยต้องฟ้อง พอเรื่องถึงศาลถึงมีการติดต่อมาเจรจา ความจริงทุกอย่างคุยกันได้เราต้องการรู้ว่า
เขาตั้งใจจะจ่ายอย่างไรใน 5 ปีข้างหน้า ซึ่งระยะเวลาการจ่ายต้องไม่เกินระยะเวลาสัญญาที่ช่อง
3 ยังมีอยู่กับรัฐบาล” ผู้บริหารระดับสูงในธนาคารสยามพูดอย่างเหนื่อยใจกับ
“ผู้จัดการ”
ว่ากันว่า ชีวิตคนเรามีขึ้นและก็ต้องมีลง ไม่มีใครอยู่เย้ยฟ้าท้าดินได้จนเป็นอมตะ
ปัญหาบางอย่างเมื่อเกิดขึ้นก็ต้องเดินเข้าหา คนบางคนคิดว่า มีชีวิตอยู่ในสภาวะแบบนี้กลับมิสู้ตายไปเสียจะดีกว่า
แต่วิชัย มาลีนนท์ คงจะรู้ว่า ถึงอยากจะตายก็ตายไม่ได้ และการอยู่ก็ขมขื่นและทรมานอย่างแสนสาหัส
วิชัย มาลีนนท์ ประสาร ประวิทย์ และ ประชา มาลีนนท์ มีทางเลือกอยู่ไม่มากนัก
ทางออกแรก
ประวิงเวลาการต่อสู้คดีความและยอมล้มละลาย โดยหวังว่า คดีอาจจะยืดเยื้อถึง
2-3 ปี และก็ทำธุรกิจไปด้วยกำไรช่อง 3 มีเท่าไหร่ก็ยักย้ายถ่ายเทออกไป
การเสียสละ วิชัย มาลีนนท์ คงต้องยอมเป็นคนล้มละลายและที่ซึ่งเอาจำนองไว้ก็ต้องถูกบังคับจำนอง
ผลเสีย เสียชื่อเสียงและที่เจ็บปวดคือ ที่สำหรับเก็บไว้ทำฮวงซุ้ยก็สูญไป
อีกประการหนึ่ง ธนาคารสยามมีสิทธิขออำนาจศาลบังคับให้ช่อง 3 เอารายได้ที่จะเกิดขึ้นทั้งหมดฝากไว้ที่ศาล
ทางออกทางที่ 2
ต่อรองขอลดดอกเบี้ยและเจรจาขายสัญญาส่วนที่เหลือออกไปให้กลุ่มอื่นที่สนใจรับช่วง
การเสียสละ สูญเสียสิ่งที่เพียรสร้างขึ้นมาเกือบ 20 ปี
ผลเสีย ผู้ที่จะเข้ามารับช่วงจะไม่กล้าเข้าเพราะระยะเวลาเพียง 5 ปี อาจจะสั้นเกินไปที่จะเข้ามา
เพราะถ้ารายใหม่เข้ามาก็จะเกิดความไม่แน่นอนในจิตใจของลูกค้าที่จะจองโฆษณาอาจจะทำให้รายได้ตกลงไปมาก
อีกประการหนึ่ง เมื่อสัญญาหมดแล้วก็ไม่แน่ว่า ผู้ที่เข้ามารับช่วงจะได้ต่อสัญญาหรือไม่
ทางออกทางที่ 3
ต่อรองขอลดดอกเบี้ย แล้วเจรจากับช่อง 9 (อสมท) ขอต่อสัญญาทันทีไปอีก 10
ปี แล้วกลับมาขอยืดเวลาผ่อนหนี้จาก 5 ปี เป็น 10 ปี เพื่อให้ภาระไม่ต้องหนัก
การเสียสละ ต้องเริ่มต้นกันใหม่ ทุกคนต้องมุมานะและพยายามเพื่อกอบกู้ชื่อเสียงของตระกูล
ผลเสีย การขยายงานอะไรคงจะต้องยุติรวมทั้งอิสรเสรีภาพการใช้จ่ายจะต้องถูกจำกัดลงหมด
ผลดี เป็นการแสดงความรับผิดชอบอย่างสูงออกมา และจะได้รับความเชื่ออย่างสูงในวงการ
เมื่อสามารถแก้ไขวิกฤตการณ์ได้หมดสิ้นเพราะคนที่เก่งจริงในชีวิตไม่ไช่คนที่ไม่เคยล้ม
แต่เป็นคนที่เคยล้ม แล้วลุกขึ้นมาได้ใหม่
ทางออกที่ 3 น่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด ทุกวันนี้ช่อง 3 คือป้อม ALAMO
ของตระกูลมาลีนนท์ ทุกคนทำงานได้และทำงานเป็น ทั้งประวิทย์และประชา นั้นเคยพิสูจน์มาแล้วว่า
ทำได้และทำได้ดีด้วย
ทุกวันนี้ช่อง 3 เปรียบเสมือนป้อมค่ายที่กำลังถูกข้าศึกรุก ทุกคนสมควรที่จะเข้ามาช่วยกันซ่อมรั้วซ่อมค่ายป้องกัน
แทนที่จะแยกตัวเองออกไปตั้งป้อมตั้งค่ายของตัวเอง
อย่างน้อยที่สุดมันก็เป็นเรื่องชื่อเสียงและหน้าตาของบิดาผู้ให้กำเนิด และสร้างทั้งสาม
“ประ” ขึ้นมา
ประชา มาลีนนท์ ควรจะหันกลับเข้ามาช่อง 3 และจับมือกับประวิทย์สร้างขึ้นมา
ธุรกิจภายนอกควรจะสละไปเสีย เพราะในที่สุดแล้วไม่มีธุรกิจใดที่จะดีและหนุนมาลีนนท์ด้วยกันได้เท่าช่อง
3
ธุรกิจด้านอื่นอาจจะเป็นธุรกิจเสริมสร้างบารมีของตนเอง ถึงแม้ว่าจะขาดทุน
แต่เพื่อสิ่งแวดล้อมรอบตัวก็จะทำพวกนี้เป็นม่านบังตาที่ทำให้มองไม่เห็นเป้าหมายที่แท้จริง
ธนาคารสยามก็คงสบายใจ ถ้าวิชัย ประสาร ประวิทย์ และประชา มาลีนนท์ พร้อมกันเดินเข้ามาหาแล้วบอกว่า
จะทำงานใช้หนี้ให้
สิ่งที่ช่อง 3 กำลังต้องการที่สุดขณะนี้คือ ความสามัคคี
ช่อง 3 เป็นธุรกิจครอบครัวที่แท้ ถ้าขาดความสามัคคีภายในกันแล้ว ช่อง3 ก็คงจะต้องบ้านแตกกันในที่สุด
ผู้ใหญ่ที่มีประสบการณ์ในชีวิตมักจะพูดให้ข้อเตือนใจอยู่เสมอว่า “คนเราสร้างอะไรขึ้นมามักสร้างได้ไม่ยาก
แต่จะรักษามันให้อยู่รอดตลอดไปมักจะยากกว่า”
คำพังเพยนี้พูดกันมานานและมีตัวอย่างให้เห็นชัดมาแล้ว แต่ก็อย่างที่ว่าแหละ
ไม่ค่อยมีใครจำกันหรอก