ศาสตราจารย์บุญชนะ อัตถากร เป็นผู้มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันในหลาย ๆ
วงการ และออกจะเป็นผู้ที่มีภาพอยู่หลายภาพในตัว
ศาสตราจารย์บุญชนะเคยดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีหลายกระทรวงหลายยุค เคยเป็นนักการทูต
เป็นนักการเมือง นักวิชาการ นักเขียนผู้ซึ่งผลิตผลงานออกมาทั้งที่เป็นงานด้านวิชาการและอัตชีวประวัติในแต่ละช่วงของท่าน
นอกจากนี้ยังเคยถูกระบุว่าจะเป็นผู้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในครั้งที่กลุ่มยังเติร์กก่อการรัฐประหารขึ้นเมื่อวันที่
1-3 เมษายน 2525 อีกด้วย
ในทางธุรกิจศาสตราจารย์บุญชนะก็เป็นกรรมการบ้าง ที่ปรึกษาบ้าง ให้กับองค์กรธุรกิจหลายแห่ง
และโดยส่วนตัวนั้นเท่าที่ทราบกันท่านเป็นเจ้าของโรงแรมฟลอริดาซึ่งตั้งอยู่บริเวณสี่แยกพญาไท
ศาสตราจารย์บุญชนะสำเร็จเนติบัณฑิตจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ปริญญาโทด้านรัฐประศาสนศาสตร์และการคลังจากมหาวิทยาลัยอินเดียน่า
ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้ประกาศนียบัตรด้านการพัฒนาเศรษฐกิจจากมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด
ประเทศอังกฤษ ปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ด้านรัฐประศาสนศาสตร์จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
และปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ ทางด้านนิติศาสตร์จากมหาวิทยาลัยอินเดียน่า
สถาบันที่ท่านสำเร็จปริญญาโทมา
ในด้านผลงานและบทบาทที่เด่นๆ ก็เห็นจะได้แก่ การที่ท่านเป็นผู้กำหนดนโยบายและวางแผนโครงการต่างๆ
ให้แก่แผนพัฒนาเศรษฐกิจระยะ 6 ปีฉบับแรกของประเทศไทย ซึ่งประกาศใช้เมื่อปี
2504 ส่วนหน้าที่ที่ถือเป็นเกียรติสูงสุดก็คือ ตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเศรษฐการหรือคือกระทรวงพาณิชย์ในปัจจุบัน
และตำแหน่งเอกอัครราชทูตไทยประจำสหรัฐอเมริกา
และในวันนี้ด้วยวัย 75 ปี ศาสตราจารย์บุญชนะกำลังเพิ่มบทบาทให้แก่ตัวเองอีกบทบาทหนึ่งด้วยการเข้ารับตำแหน่งทางธุรกิจเป็นประธานกรรมการบริษัทไทยเศรษฐกิจประกันชีวิต
บริษัทไทยเศรษฐกิจประกันชีวิต เป็นบริษัทที่ได้แยกการประกอบธุรกิจประกันชีวิตออกมาเป็นเอกเทศจากบริษัทไทยเศรษฐกิจประกันภัย
เมื่อวันที่ 5 กันยายน 2526 ขณะนี้ไทยเศรษฐกิจประกันชีวิตมีทุนจดทะเบียนทั้งสิ้น
36 ล้านบาท
กลุ่มที่เข้าไปซื้อกิจการประกันชีวิตของไทยเศรษฐกิจประกันภัยและแยกเป็นบริษัทต่างหาก
คือ บริษัทไทยเศรษฐกิจประกันชีวิตนั้นก็คือ กลุ่มของศาสตราจารย์บุญชนะ อัตถากร
กลุ่มตระกูลเคียงศิริ และกลุ่มตระกูลอัศวินวิจิตร ซึ่งมีพื้นฐานมาจากการค้าส่งออกข้าวและพืชผลการเกษตรอีกหลายชนิด
ทั้งนี้ทั้ง 3 กลุ่มถือหุ้นอยู่ในอัตราส่วนที่เท่าๆ กัน
สำหรับบริษัทไทยเศรษฐกิจประกันภัย มีประวัติเริ่มก่อตั้งเมื่อปี 2485 โดยการสนับสนุนของจอมพล
ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีของรัฐบาลขณะนั้น ไทยเศรษฐกิจประกันภัยประกอบธุรกิจทั้งด้านการประกันวินาศภัยและประกันชีวิต
มีทุนจดทะเบียนครั้งแรกสุด 4 ล้านบาท แต่เรียกชำระเพียง 25% ผลการดำเนินงานปรากฏว่า
ประสบความสำเร็จด้วยดี สามารถนำเงินปันผลมาจ่ายเป็นค่าหุ้นได้ในปีต่อๆ มา
จนครบ 4 ล้านบาทโดยไม่ต้องเรียกเงินเพิ่มจากผู้ถือหุ้น
ในปี 2519 หรืออีก 34 ปีต่อมา เพิ่มทุนเป็นครั้งแรกจาก 4 ล้านบาทเป็น 8
ล้านบาทและเพิ่มอีกเป็น 10 ล้านบาทในปี 2521
ปี 2525 อันเป็นปีที่ดำเนินกิจการมาครบ 40 ปีเต็ม จึงได้มีการเสนอเพิ่มทุนจดทะเบียนเป็น
40 ล้านบาท
ไทยเศรษฐกิจประกันภัยนับเป็นผู้ประกอบธุรกิจประกันวินาศภัยและประกันชีวิตที่มีอายุเก่าแก่มากแห่งหนึ่งของไทย
แต่ถ้ามองด้านผลการดำเนินงานแล้วก็จะพบว่ามีอัตราการเติบโตที่ช้าและน้อยมาก
ทั้งนี้ว่ากันว่าสาเหตุใหญ่ก็คือ การขาดแคลนผู้บริหารที่มีฝีมือมาโดยตลอด
เพราะฉะนั้นนับตั้งแต่ปี 2525 อันเป็นปีที่ผู้ถือหุ้นจะต้องควักเงินเพิ่มทุนในทันทีอีก
30 ล้านบาทเพื่อให้มีทุนจดทะเบียนเป็น 40 ล้านบาทนั้น ก็ได้ชักนำการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เข้ามาด้วย
ไทยเศรษฐกิจประกันภัยมีผู้ถือหุ้นใหญ่ประมาณ 40 กว่าเปอร์เซ็นต์ เป็นหน่วยงานรัฐวิสาหกิจสังกัดกระทรวงพาณิชย์
ส่วนภาคเอกชนก็แบ่งกันถือหุ้นคนละเล็กละน้อยจำนวนหลายสิบราย เพราะฉะนั้นกรรมการผู้มีเสียงชี้ขาดจึงเป็นกรรมการจากกระทรวงพาณิชย์
ซึ่งก็คือ โพธิ์ จรรย์โกมล รองปลัดกระทรวงพาณิชย์ และอดีตเคยเป็นผู้อำนวยการสำนักงานประกันภัยหน่วยงานที่มีหน้าที่กำกับดูแลบริษัทประกันภัยโดยตรง
และด้วยความเห็นของโพธิ์ จรรย์โกมล ในฐานะกรรมการผู้มีอำนาจ โพธิ์หรือที่คนในวงการประกันภัยเรียกกันว่า
“อาจารย์โพธิ์” ได้ตัดสินใจมอบงานด้านการประกันวินาศภัยบางแขนงไปให้เอกชนกลุ่มหนึ่งดำเนินการโดยแบ่งผลกำไรส่วนหนึ่งให้กับบริษัท
และยังได้แยกกิจการด้านประกันชีวิตออกมาเป็นอีกบริษัทหนึ่งต่างหาก จากนั้นได้ขายกิจการนี้ไปให้กลุ่มศาสตราจารย์บุญชนะ
อัตถากร กลุ่มเคียงศิริ และกลุ่มอัศวินวิจิตร เมื่อเดือนกันยายน 2526 ดังได้กล่าวไปแล้วในตอนต้น
เมื่อได้กิจการประกันชีวิตมาทำนั้น ทั้ง 3 กลุ่มต่างก็ทราบดีว่า ไม่มีใครในกลุ่มพวกตนที่มีประสบการณ์ในงานด้านนี้มาก่อน
แม้จะมีชื่อเสียงมาจากหลายๆ ด้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกิจการประกันชีวิตในปัจจุบันเป็นกิจการที่จะต้องใช้มืออาชีพด้านนี้จริงๆ
อีกด้วย
ในเดือนกรกฎาคม 2527 หรือหลังการซื้อบริษัทไทยเศรษฐกิจประกันชีวิตมาได้
10 เดือน จึงได้มีการทำสัญญาร่วมทุนกับบริษัทอยาลา อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย)
ขึ้นโดยสัญญานี้บริษัทอยาลาจะได้เข้ามาถือหุ้นร้อยละ 25 จากจำนวนหุ้นที่แบ่งมาจากผู้ถือหุ้นเดิมทั้ง
3 กลุ่มในจำนวนเท่าๆ กัน และอยาลาจะให้ความร่วมมือแก่บริษัทไทยเศรษฐกิจประกันชีวิตทั้งด้านเทคนิคและวิชาการที่ทันสมัยต่อไป
อยาลา อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) เป็นบริษัทลูกของอยาลา อินเตอร์เนชั่นแนล
แห่งประเทศฟิลิปปินส์ กลุ่มนี้มีประวัติการก่อตั้งย้อนหลังไปได้ถึง 150 ปี
ว่ากันว่าปัจจุบันเป็นกลุ่มธุรกิจที่ใหญ่ที่สุดกลุ่มหนึ่งของฟิลิปปินส์ มีกิจการด้านการค้าที่ดิน
การธนาคาร การประกันภัย และการประกันชีวิต เป็นต้น
อยาลา เข้าร่วมทุนในบริษัทไทยเศรษฐกิจประกันชีวิต โดยมีเป้าหมายเฉพาะหน้าในช่วง
2-3 ปีข้างหน้านี้ 5 ประการใหญ่ๆ ด้วยกัน คือ
หนึ่ง - นำโครงการพัฒนาบุคลากรมาใช้ เพื่อฝึกอบรมและพัฒนาเจ้าหน้าที่ของสำนักงานใหญ่ให้มีความสันทัดจัดเจน
พัฒนาพลังตัวแทนขายประกันให้มีประสิทธิภาพและประสบผลสำเร็จในการขาย รวมทั้งฝึกอบรมตัวบุคคลที่เหมาะสมที่จะมาเป็นผู้จัดการหรือเจ้าหน้าที่ระดับบริหารในอนาคต
สอง - พัฒนาบุคคลที่อยู่ระหว่างการพิจารณาคัดเลือกให้พร้อมและสามารถที่จะมารับตำแหน่งผู้จัดการทั่วไปได้
เมื่อหมดสัญญาการบริหารงาน
สาม - พัฒนาแบบประกันต่างๆ ให้สามารถแข่งขันได้ในตลาดและเป็นที่นิยมของประชาชนโดยทั่วไป
สี่ - พัฒนาระบบเงินค่าตอบแทนและผลประโยชน์ของตัวแทนให้สามารถแข่งขันได้ในตลาดและเพื่อให้ตัวแทนขายประกันมีขวัญกำลังใจในการปฏิบัติงานสูงขึ้น
ห้า - พัฒนาระบบการตลาด ระบบการเงิน และระบบการบริหารงาน ตลอดจนระเบียบปฏิบัติและการควบคุมให้มีประสิทธิภาพและสัมฤทธิผล
กลุ่มอยาลา ภายใต้สัญญาร่วมทุนที่จัดทำขึ้นกับกลุ่มผู้ถือหุ้นทั้ง 3 กลุ่มของไทยเศรษฐกิจประกันชีวิต
มีสัญญาการบริหารงานและให้การฝึกอบรมแก่เจ้าหน้าที่คนไทยชั้นแรกนี้กำหนดไว้
5 ปี โดยเมื่อสิ้นสุดปีที่ 5 ได้ตั้งเป้าหมายว่า ควรจะมีเบี้ยประกันจากกรมธรรม์ที่มีผลบังคับ
ณ สิ้นสุดของปีนั้น เป็นจำนวน 134 ล้านบาท
จะเป็นได้ตามเป้าหมายนี้หรือไม่ก็คงต้องติดตามดูกันต่อไป
มีมืออาชีพในวงการประกันชีวิตคนหนึ่งได้กล่าวไว้ว่า ธุรกิจประกันชีวิตนั้นจะประสบความสำเร็จได้อย่างน้อยต้องมี
2 สิ่ง คือ ภาพพจน์และฝีมือของผู้บริหาร
ไทยเศรษฐกิจประกันชีวิตก็คงจะได้ภาพพจน์ที่ดีจากภาพของศาสตราจารย์บุญชนะ
อัตถากร ไปบ้าง และในขณะเดียวกัน ฝีมือระดับกลุ่มอยาลาก็คงจะช่วยได้มากด้านการบริหาร
ไทยเศรษฐกิจประกันชีวิตอาจจะมีเรื่องต้องพูดกันมากก็หลังจากนี้ 5 ปีเมื่อหมดสัญญากับกลุ่มอยาลาแล้วนั่นแหละ