Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
นิตยสารผู้จัดการ 360 องศา กรกฎาคม 2553
Connecting the Chinese Dots             
โดย วริษฐ์ ลิ้มทองกุล
 


   
search resources

ICT (Information and Communication Technology)




ปี 2548 พลากร อาชานานุภาพ สหายรักของผมที่ละทิ้งเส้นทางการเป็นนักเศรษฐศาสตร์และนักการเงิน เพื่อมุ่งไปสู่เส้นทางแห่งคอมพิวเตอร์และโลกอินเทอร์เน็ตที่เขาชื่นชอบ ด้วยการไปเรียนต่อด้านวิทยาการคอมพิวเตอร์ (Computer Science) ณ มหาวิทยาลัยคาร์เนกี เมลอน สถาบันการศึกษาชั้นนำของโลกด้านคอมพิวเตอร์ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้ส่งปาฐกถาของชายผู้หนึ่งที่ได้รับเกียรติขึ้นกล่าวในงานรับปริญญาของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งมาให้อ่าน

“You can’t connect the dots looking forward. You can only connect them looking backwards, so you have to trust that the dots will somehow connect in your future...”

หากใครยังพอจำได้..ประโยคดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของปาฐกถาโดยชายที่มีชื่อว่าสตีฟ จ็อบส์ (Steve Jobs) ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของบริษัท แอปเปิล อิงค์ ซึ่งกล่าวไว้ ณ งานรับปริญญาของมหาวิทยาลัยแสตนฟอร์ดเมื่อ 5 ปีที่แล้ว

ในเวลาต่อมาปาฐกถาชิ้นดังกล่าวที่มีความยาวไม่ถึง 15 นาที ได้ถูกเผยแพร่อย่างกว้างขวางผ่านสื่อแขนงต่างๆ ของโลก ทั้งสื่อกระแสหลัก สื่อกระแสรองและโลกอินเทอร์เน็ต ขณะที่คลิปวิดีโอที่ถูกเผยแพร่อยู่ในเว็บไซต์ยูทูปก็มีผู้เยี่ยมชมมากกว่า 3.3 ล้านครั้งแล้ว[1]

หลายปีมานี้แวดวงเทคโนโลยีสารสนเทศของโลกใบนี้ ราวกับว่าตกอยู่ภายใต้มนต์ขลังของสตีฟ จ็อบส์ ชายผู้เชิดหน้ายอมรับว่าเขาไม่เคยเรียนจบมหาวิทยาลัย ทว่า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าอะไรที่เขาคิดออกมา ล้วนแล้วแต่กลายเป็นนวัตกรรมใหม่และมาตรฐานใหม่ของอุตสาหกรรมไอทีที่ทุกคนบนโลกต้องเดินตามต้อยๆ

...ทั้งไอพอด ไอโฟน ไอแพด แอปสโตร์ ฯลฯ

การสร้างนวัตกรรมสะเทือนโลกอย่างต่อเนื่องของแอปเปิลได้ผลักดันให้ล่าสุดเมื่อปลายเดือนพฤษภาคม 2553 มีตัวเลขประเมินออกมาว่า ในปีนี้ แอปเปิล อิงค์กลายเป็นบริษัทเทคโนโลยีที่ใหญ่ที่สุดในโลก แซงไมโครซอฟท์ไปเรียบร้อยแล้ว ด้วยหุ้นแอปเปิลในตลาดมีมูลค่าสูงถึง 222,000 ล้านเหรียญ สหรัฐ มากกว่าไมโครซอฟท์ราว 3 พันล้านเหรียญสหรัฐ ขณะที่หากย้อนไปเมื่อสิบปีที่แล้ว ในสมัยที่บิล เกตส์ยังเรืองอำนาจในฐานะเจ้าแห่งโลกไอที หุ้น ไมโครซอฟท์ในเวลานั้นมีมูลค่ารวมสูงถึง 556,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ส่วนแอปเปิลกลับมีมูลค่าเพียง 15,600 ล้านเหรียญสหรัฐ เท่านั้น[2]

กระนั้น แม้แอปเปิลจะถือเป็นบริษัทเทคโน โลยีที่ใหญ่ที่สุดในโลก ขณะที่ในช่วงไตรมาสที่ 3 ของปีนี้สินค้าไฮเทคอย่างไอแพดและไอโฟนรุ่นที่ 4 ก็กำลังจะปรากฏโฉมอย่างเป็นทางการในประเทศไทย แต่ท่านผู้อ่านทราบไหมครับว่า แอปเปิลกลับมิได้ถูกจัดให้เป็นบริษัทเทคโนโลยีที่ทำกำไรให้ผู้ถือหุ้นมากที่สุด ทั้งยังไม่ได้เป็นบริษัทเทคโนโลยีที่เติบโตเร็วที่สุด และติดเพียงอันดับที่สามของบริษัทเทคโนโลยีที่มีรายได้จากการดำเนินงานสูงที่สุดในโลกเท่านั้น...

ประเด็นที่ผมกำลังจะกล่าวก็คือ ในห้วงปี 2552 บริษัทเทคโนโลยีที่ถูกจัดให้ยืนอยู่หัวแถวของโลกใน การเป็นบริษัทที่ทำกำไรให้ผู้ถือหุ้นมากที่สุด, เติบโตรวดเร็วที่สุดและมีรายได้จากการดำเนินงานมากที่สุดนั้น ล้วนแล้วแต่เป็นบริษัทจากจีนแผ่นดินใหญ่ทั้งสิ้น!

The Tech 100 List คือ ตารางอันดับบริษัทเทคโนโลยีที่มีผลการดำเนินงานที่ดีที่สุดในโลกในรอบปี 2552 (ค.ศ.2009) ซึ่งนิตยสารบลูมเบิร์ก บิส เนสวีกได้จัดทำขึ้น โดยใช้วิธีการและมาตรฐานดังนี้

คือทีมงานนิตยสารได้รวบรวมเอาผลประกอบการของบริษัทเทคโนโลยีทั่วโลกจำนวน 6,500 แห่ง และตั้งเกณฑ์ขึ้นมาคัดกรองเฉพาะบริษัทที่เข้าเงื่อนไขดังต่อไปนี้ คือเป็นบริษัทที่มีมูลค่าตลาดมากกว่า 1 พันล้านเหรียญสหรัฐ เป็นบริษัทที่ในช่วงปี 2551-2552 รายรับไม่ลดลงเกินร้อยละ 5 (คิดตามมูลค่าเงินสกุลท้องถิ่น) เมื่อพิจารณาจากเกณฑ์ดังกล่าวแล้ว ปรากฏว่ามีบริษัทที่หลุดเข้ารอบมาจำนวน 210 แห่ง

จากนั้นบิสเนสวีก จึงนำบริษัท 210 แห่งมาประชันกัน โดยใช้ดัชนีชี้วัดต่างๆ เช่น ผลตอบแทนของผู้ถือหุ้น อัตราการเติบโตของการจ้างงาน เป็นต้น เพื่อจัดอันดับสุดยอดบริษัทเทคโนโลยีของโลกตั้งแต่อันดับที่ 1 ถึงอันดับ ที่ 100[3]

ทั้งนี้ผลสรุปออกมาว่าสุดยอดบริษัท เทคโนโลยีของโลกที่ยืนอยู่หัวแถวของ The Tech 100 List นั้นกลายเป็นบริษัทที่มีชื่อว่า บีวายดี (BYD; )

บีวายดี (ในชื่อภาษาจีน “ปี่ย่าตี๋”) หรือที่หวัง เฉวียนฝู ผู้ก่อตั้งและผู้ถือหุ้นใหญ่ระบุว่า ย่อมาจากคำภาษาอังกฤษ คือ Build Your Dreams บริษัทจากจีนแผ่นดินใหญ่ ซึ่งมีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่เมืองเซินเจิ้น มณฑลกวางตุ้ง เป็นบริษัทผู้ผลิตแบตเตอรี่แบบชาร์จไฟ แบตเตอรี่โทรศัพท์มือถือและรถยนต์ไฮบริด-ไฟฟ้า ดาวรุ่งของประเทศจีน โดยในปี 2551 วอร์เรน บัฟเฟตต์ มหาเศรษฐีนักลงทุนชื่อก้องได้เข้าไปถือหุ้นบริษัทแห่งนี้จำนวนร้อยละ 10

นิตยสารบิสเนสวีกได้ระบุว่าในห้วง 1 ปีที่ผ่านมา (นับถึง 30 เมษายน 2553) ผลตอบแทนผู้ถือหุ้น (Shareholder Returns) ของบีวายดีนั้นพุ่งสูงถึงร้อยละ 246 ส่งผลให้นับจากเดือนกันยายน 2551 ที่บัฟเฟตต์ใช้เงินลงทุน 230 ล้านเหรียญสหรัฐ ซื้อหุ้นบริษัทบีวายดีจำนวนร้อยละ 10 ถึงวันนี้มูลค่าหุ้นของบัฟเฟตต์ได้พุ่งขึ้นเกือบ 10 เท่าเป็น 2 พันล้านเหรียญสหรัฐเรียบร้อยแล้ว

ทั้งนี้ ด้วยผลประกอบการที่ดีเยี่ยม ราคาหุ้น ที่พุ่งพรวดและอนาคตที่สดใสนี่เอง เป็นสาเหตุสำคัญ ที่ทำให้บริษัทบีวายดีครองอันดับ 1 ใน The Tech 100 List เหนือบริษัทแอปเปิลของสตีฟ จ็อบส์ ซึ่งครองอันดับที่ 2

หากเปรียบเทียบอัตราการเติบโตทางรายรับ (Revenue Growth) ของบริษัทเทคโนโลยีทั่วโลก บริษัทที่ครองอันดับที่ 1 ก็ยังคงเป็นบริษัทผู้ผลิตคอม พิวเตอร์จากจีนแผ่นดินใหญ่ที่ชื่อ เกรทวอลล์ (Great Wall; ) โดยในรอบปีที่ผ่านมา เกรท วอลล์ผู้ผลิตคอมพิวเตอร์รายใหญ่ของจีน จัดเป็นบริษัทเทคโนโลยีที่มียอดรายรับเพิ่มขึ้นมากที่สุดในโลกถึงร้อยละ 460

ขณะที่เมื่อมองในมุมของรายได้จากการดำเนินงาน (Operating Income) ของบริษัทเทคโน โลยีทั่วโลกแล้ว ยอดขายที่พุ่งกระฉูดของไอพอด-ไอโฟน (ยังไม่รวมไอแพดที่เพิ่งเริ่มวางขายในเดือนเมษายน 2553) กลับดันแอปเปิลขึ้นไปได้สูงสุดเพียงแค่อันดับที่ 3 ด้วยยอดรายได้จากการดำเนินการ 11,740 ล้านเหรียญสหรัฐ เป็นรองเวอไรซอน (Verizon) บริษัทโทรคมนาคมยักษ์ใหญ่ของสหรัฐฯ ที่มียอดรายได้ 19,480 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งอยู่ในอันดับที่ 2 และอันดับที่ 1 คือ ไชน่า โมบาย (China Mobile; ) ผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์ เคลื่อนที่ที่ใหญ่ที่สุดในจีนแผ่นดินใหญ่ที่มีรายได้ในรอบปีที่ผ่านมามากถึง 22,439 ล้านเหรียญสหรัฐ

หรือกล่าวง่ายๆ คือ ไชน่า โมบายมีรายได้จากการดำเนินงานมากกว่าแอปเปิลเกือบเท่าตัว

ทั้งนี้ทั้งนั้นไม่ถือเป็นเรื่องแปลกอะไรที่ไชน่า โมบายจะมีรายได้ทิ้งห่างบริษัทเทคโนโลยีคู่แข่งรายอื่นๆ ค่อนข้างมาก เพราะด้วยอำนาจการผูกขาดตลาดจีนที่มีฐานประชากรมากกว่า 1,300 ล้านคน ทำให้ปัจจุบันไชน่า โมบายครองตำแหน่งผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ที่ใหญ่โตที่สุดในโลก ด้วยฐานลูกค้ากว่า 500 ล้านคน

หากถอยห่างออกจากตัวเลขสถิติทางผลประกอบการที่นิตยสารบิสเนสวีกรวบรวมเอาไว้และหันมามองในมุมของ “สัญชาติของทุน” แล้ว ก็จะพบว่า จากบริษัท 100 แห่งที่ถูกจัดอันดับไว้ใน The Tech 100 List นั้น สหรัฐอเมริกายังคงครองความเป็นเจ้าทางเทคโนโลยีเอาไว้ได้ เพราะมีบริษัทอเมริกัน มากถึงเกือบครึ่ง คือ 44 บริษัทที่ติดอยู่ในลิสต์ดังกล่าว รองลงมาคือ ญี่ปุ่น 11 บริษัท จีนแผ่นดินใหญ่ และไต้หวันเท่ากันคือ 8 บริษัท อินเดีย 6 บริษัท บราซิล 5 บริษัท อังกฤษ-เยอรมนี-สิงคโปร์ เท่ากันที่ 3 บริษัท เบอร์มิวดา-ฮ่องกง เท่ากันที่ 2 บริษัท และสุดท้าย อาร์เจนตินา-แคนาดา-เบลเยียม-อิสราเอล-เกาหลีใต้ เท่ากันคือ ประเทศละ 1 บริษัท

ทว่า เมื่อวิเคราะห์ให้ลึกลงไปก็จะพบว่า ในอนาคตอันใกล้นี้บริษัทสัญชาติจีน น่าจะสามารถแซง บริษัทจากญี่ปุ่นได้ไม่ยาก เพราะในเบื้องต้นหากนับรวมจำนวนบริษัทใน The Tech 100 List จากแผ่นดิน ใหญ่-ไต้หวัน-ฮ่องกง เข้าด้วยกันแล้ว ก็จะพบว่ามีปริมาณมากถึง 18 บริษัท (เทียบกับญี่ปุ่นที่มี 11 บริษัท)

เมื่อลองเชื่อมต่อ “จุดข้อมูล” ต่างๆ ในอดีต ปะติดปะต่อข้อมูลเหล่านั้นเข้ากับ “จุดข้อมูล” ในปัจจุบัน ผมเชื่อว่าท่านผู้อ่านคงสามารถจินตนาการภาพในอนาคตได้ไม่ยากว่า ตำแหน่งแห่งที่ซึ่งบริษัท สินค้าไฮเทคและเทคโนโลยีจากจีน จะสามารถไปยึด ครองอยู่ในโลกอนาคตนั้นน่าจะเป็นเช่นไร?

ข้อมูลอ้างอิงจาก :
[1] ชม Steve Jobs Stanford Commencement Speech 2005 คลิก www.youtube.com/watch?v=D1R-jKKp3NA
[2] Apple passes Microsoft to be biggest tech company, BBC News, 27 May 2010.
[3] The Bloomberg Businessweek Tech 100, Bloomberg Businessweek, 24-30 May 2010, p65-70. หรือเข้าไปที่ http://bit.ly/dtuA2y

อ่านเพิ่มเติม :
- ตะวันตกที่ “ดีทรอยต์” ตะวันออกที่ “แผ่นดินใหญ่” นิตยสารผู้จัดการ 360º ฉบับเดือนสิงหาคม 2552
- iPhone VS OPhone นิตยสารผู้จัดการ 360º ฉบับเดือนตุลาคม 2552   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us