Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
นิตยสารผู้จัดการ 360 องศา กรกฎาคม 2553
ยอดขายรถยนต์ขยายตัวเกินคาด             
 


   
search resources

Automotive




แม้จะต้องเผชิญกับวิกฤติความรุนแรงทางการเมืองภายในประเทศ และปัญหาเศรษฐกิจในต่างประเทศจากวิกฤติหนี้ในกลุ่มยูโรโซนและมาตรการชะลอความร้อนแรงของการขยายตัวทางเศรษฐกิจของจีน แต่ยอดการจำหน่ายรถยนต์ทั้งภายในประเทศและส่งออกในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา สามารถขยายตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องจนเกินระดับที่ผู้ประกอบการเคยคาดการณ์ไว้

ยอดขายรถยนต์ในประเทศขยายตัวสูงถึงร้อยละ 53.4 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันในปีก่อน ขณะที่ยอดการส่งออกรถยนต์ของไทยในเดือนเดียวกันก็ขยายตัวสูงมากเช่นเดียวกันที่ระดับร้อยละ 135.2 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันในปีที่แล้ว โดยการขยายตัวของทั้ง 2 ตลาดในเดือนพฤษภาคมนี้ เป็นการขยายตัวในระดับสูงต่อเนื่องมาจากต้นปี ซึ่งจะเป็นผลทำให้ปริมาณการผลิตรถยนต์ของไทยในปี 2553 ขยายตัวสูงขึ้นอย่างมากเกินระดับที่ผู้ประกอบการเคยมีการคาดการณ์ไว้ที่ 1.4 ล้านคัน และมีโอกาสสูงที่จะขึ้นไปทำสถิติสูงที่สุดเป็นประวัติการณ์

จากการรายงานของบริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด ล่าสุดถึงตัวเลขยอดขายรถยนต์ในประเทศเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ทำให้ในช่วง 5 เดือนแรกที่ผ่านมาของปี 2553 ปริมาณการจำหน่ายรถยนต์ในประเทศของไทยสามารถบันทึกยอดขายได้สูงถึง 286,135 คัน ด้วยอัตราการขยายตัวที่สูงถึงร้อยละ 52.2 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยในจำนวนนี้แบ่งออกเป็นรถยนต์นั่ง 124,196 คัน ขยายตัวสูงถึงร้อยละ 56.4 ขณะที่รถเพื่อการพาณิชย์มีจำนวนทั้งสิ้น 161,939 คัน และขยายตัวสูงถึงร้อยละ 49.1

ทิศทางการขยายตัวของยอดขายรถยนต์ในประเทศดังกล่าว คาดว่าจะทำให้ยอดขายรถยนต์ในประเทศปี 2553 ของไทยมีโอกาสขยายตัวได้สูงถึงร้อยละ 28 ถึง 33 คิดเป็นจำนวน 700,000 ถึง 730,000 คัน เพิ่มขึ้นจากที่เคยคาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ที่ร้อยละ 16-25 หรือคิดเป็นจำนวน 635,000-685,000 คัน และจำนวนยอดขายรถยนต์ในประเทศดังกล่าวอาจเป็นสถิติที่สูงที่สุดของไทย โดยสูงกว่าที่เคยทำได้ในปี 2548 ที่จำนวน 703,261 คัน

ขณะเดียวกันรายงานตัวเลขการส่งออกรถยนต์ของไทยโดยสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยล่าสุด พบว่าการส่งออกรถยนต์ของไทยในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2553 ที่ผ่านมามีการขยายตัวดีขึ้นมากถึงร้อยละ 75.0 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีก่อน หรือคิดเป็นจำนวนรถยนต์ส่งออก 348,899 คัน โดยในส่วนของมูลค่าการส่งออกที่รายงานโดยกระทรวงพาณิชย์ในช่วงเวลาเดียวกันก็พบว่าขยายตัวสูงเช่นกันที่ร้อยละ 90.1 คิดเป็นมูลค่าสูงถึง 5,013.2 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยตลาดส่งออกสำคัญที่มีการขยายตัวสูงคือ ออสเตรเลีย และอาเซียน ซึ่งมีการขยายตัวสูงถึงร้อยละ 159.2 และ 115.5 ตามลำดับ

การฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศที่เป็นตลาดส่งออกรถยนต์รายหลักๆ ของไทย เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ความต้องการซื้อสินค้าคงทนอย่างเช่นรถยนต์มีเพิ่มมากขึ้น ส่งผลทำให้โอกาสในการนำเข้ารถยนต์จากไทยมีเพิ่มสูงขึ้นตาม นอกจากนี้การเปิดเสรีทางการค้าระหว่างไทยกับประเทศคู่เจรจา โดยเฉพาะการเปิดเสรีภายใต้เขตการค้าเสรีอาเซียน ซึ่งตั้งแต่ต้นปี 2553 ภาษีรถยนต์ส่งออกจากไทยไปยังประเทศในกลุ่มอาเซียนเดิม 6 ประเทศ ซึ่งประกอบด้วยอินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ บรูไน และไทย ได้ลดเหลือร้อยละ 0 ทั้งหมด ทำให้การส่งออกรถยนต์จากไทยมีโอกาสขยายตลาดเพิ่มขึ้น

การเปิดเสรีทางการค้ายังส่งผลให้เกิดการย้ายฐานการผลิตรถยนต์บางรุ่นเข้ามายังไทย หลังต้นทุนวัตถุดิบและราคาส่งออกลดลงเพื่อขยายฐานการส่งออก ประกอบกับในปีนี้ไทยมีการเปิดตัวรถยนต์ขนาดเล็กประหยัดพลังงานรุ่นใหม่ หรือรถอีโคคาร์ออกสู่ตลาดสอดคล้องกับความต้องการในปัจจุบันของตลาดโลก ซึ่งคาดว่าจะเป็นปัจจัยบวกสนับสนุนตลาดส่งออกรถยนต์ของไทยในปีนี้ได้อีกทางหนึ่ง

อย่างไรก็ตาม ปัจจัยเสี่ยงสำคัญในระยะต่อจากนี้ไปสำหรับการส่งออกรถยนต์ของไทยที่ยังต้องคำนึงถึง คือ ทิศทางการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก ที่ยังมีความไม่แน่นอน โดยเฉพาะความวิตกกังวลต่อวิกฤติหนี้ในยุโรป รวมถึงการใช้มาตรการชะลอการเติบโตทางเศรษฐกิจของจีน ส่งผลให้การนำเข้าสินค้าขั้นต้นและขั้นกลางจากหลายประเทศลดลง ซึ่งมีโอกาสที่จะส่งผลกระทบต่อรายได้การส่งออกของตลาดส่งออกรถยนต์หลักของไทย เช่น อาเซียนและออสเตรเลีย เป็นต้น ทำให้การนำเข้ารถยนต์จากไทยของประเทศเหล่านี้อาจชะลอลงได้

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินปัจจัยและทิศทางการส่งออกที่ขยายตัว โดยคาดว่าการส่งออกรถยนต์ของไทยมีแนวโน้มขยาย ตัวสูงถึงร้อยละ 55-64 หรือคิดเป็นจำนวนรถยนต์ส่งออก 830,000-880,000 คัน ซึ่งเป็นตัวเลขที่ดีกว่าที่คาดการณ์ไว้ที่ร้อยละ 47-57 หรือคิดเป็นจำนวน 790,000-840,000 คัน และจะเป็นปริมาณการส่งออกรถยนต์ที่สูงที่สุดเป็นประวัติการณ์เช่นเดียวกัน หลังจากที่ไทยเคยส่งออกได้สูงที่สุดในปี 2551 ที่ 775,652 คัน

ทั้งนี้ จากการคาดการณ์การขยายตัวที่เพิ่มสูงขึ้นมากของยอดขายรถยนต์ในประเทศ และการส่งออกรถยนต์ดังที่ได้กล่าวไปในเบื้องต้น ย่อมส่งผลทำให้ยอดการผลิตรถยนต์ปรับเพิ่มสูงขึ้นตามไปด้วย โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่าการผลิตรถยนต์ในประเทศปี 2553 ของไทยมีโอกาสขยับขึ้นไปแตะระดับ 1,500,000-1,600,000 คัน หรือขยายตัวประมาณร้อยละ 50-60 เพิ่มขึ้นกว่าปีก่อนที่มีจำนวนยอดการผลิต 999,378 คัน หรือหดตัวร้อยละ 28.2 ซึ่งตัวเลขยอดการผลิตรถยนต์ในปีนี้จะเป็นตัวเลขที่สูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ หลังจากที่ไทยเคยผลิตได้สูงที่สุดก่อนหน้านี้ในปี 2551 ที่ 1,391,728 คัน โดยการผลิตรถยนต์เพื่อการส่งออกจะเป็นตัวกระตุ้นที่สำคัญในปีนี้ และมีสัดส่วนสูงกว่าครึ่งหนึ่งของการผลิตรถยนต์ทั้งหมด

กระนั้นก็ดี รายงานของธนาคารแห่งประเทศไทยล่าสุด พบว่าอัตราการใช้กำลังการผลิตภาคอุตสาหกรรม สำหรับกลุ่มอุตสาหกรรมการผลิตรถยนต์ในช่วง 4 เดือนแรกของปีนั้น ได้ใช้กำลังการผลิตรวมอยู่ที่ประมาณร้อยละ 70 อย่างไรก็ตาม จากการตอบรับที่ดีของตลาด ซึ่งทำให้รถยนต์หลายรุ่นผลิตไม่ทันและค้างส่งมอบเป็นระยะเวลาหลายเดือน

ประกอบกับตั้งแต่เดือนมิถุนายนนี้ รถยนต์อีโคคาร์จากไทยจะเริ่มมีการส่งออกไปต่างประเทศ รวมถึงมีการย้ายฐานการผลิตรถยนต์บางรุ่นจากต่างประเทศมายังไทย โดยเน้นตลาดส่งออก ทำให้ในช่วงที่เหลือของปีอัตราการใช้กำลังการผลิตสำหรับอุตสาหกรรมรถยนต์มีแนวโน้มจะปรับเพิ่มสูงขึ้นกว่าที่เคยทำไว้ที่ร้อยละ 70 ขึ้นมาเป็นมากกว่าร้อยละ 75 ของกำลังการผลิตรถยนต์ ปัจจุบันที่สามารถทำได้ที่ 2 ล้านคันต่อปี

ปริมาณการผลิตรถยนต์ที่สูงขึ้นมากนี้ได้สร้างความท้าทาย ในลำดับต่อไปให้แก่กลุ่มอุตสาหกรรมรถยนต์ของไทยในการจะผลิตรถยนต์ให้ได้ตามเป้าหมายแผนแม่บทอุตสาหกรรมยานยนต์ฉบับที่ 2 ที่ตั้งเป้าไว้ว่าจะผลิตรถยนต์ให้ได้ 2 ล้านคัน ในปี 2554 ซึ่งภาครัฐมีส่วนสำคัญในเชิงนโยบายเพื่อส่งเสริมให้เกิดการลงทุน เพิ่มขึ้นในไทย ทั้งในแง่ของการขยายกำลังการผลิตที่มีอยู่เดิม รวมถึงการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศให้เข้ามายังไทยมากยิ่งขึ้น

โดยเฉพาะหลังจากจีนซึ่งเป็นฐานการผลิตรถยนต์ที่สำคัญแห่งหนึ่งของโลก ประสบปัญหาการขาดแคลนแรงงานและค่าจ้าง แรงงานที่เพิ่มสูงขึ้นมาก ทำให้ไทยซึ่งเป็นฐานการผลิตที่สำคัญของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงเป็นฐานการส่งออกรถยนต์ไปยังหลายภูมิภาค เช่น โอเชียเนีย ตะวันออกกลาง และแอฟริกา มีโอกาสเพิ่มขึ้นในการถูกมองเป็นฐานการลงทุนสำหรับผลิตรถยนต์ที่น่าสนใจอีกแห่งหนึ่ง

นี่อาจเป็นจังหวะโอกาสและสัญญาณการฟื้นตัวที่เอื้อต่อทั้งการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นและการวางรากฐานทางยุทธศาสตร์สำหรับการพัฒนาอุตสาหกรรมที่น่าติดตามอย่างยิ่งว่าจะเกิดผลเป็นรูปธรรมอย่างไร   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us