|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
ม.ล. จันทรจุฑา จันทรทัต กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โทรีเซนไทย เอเยนต์ซีส์ จำกัด (มหาชน) หรือ TTA แจ้งการขายเงินลงทุนในโครงการเรือขุดเจาะ KM-1โดยบริษัท เมอร์เมด มาริไทม์ จำกัด (มหาชน) หรือ เมอร์เมด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่ถือหุ้นโดยบริษัทฯ 57.14 %
โดยบริษัท เมอร์เมด ดริลลิ่งค์ (สิงคโปร์) พีทีอี แอลทีดี (MDS) เป็นบริษัทย่อยที่ถือหุ้นโดยเมอร์เมด 100 % ได้ลงนามในสัญญาซื้อขายเงินลงทุนทั้งหมดของ MDS ลงวันที่ 21 มิถุนายน 53 ในสามบริษัท ได้แก่ เมอร์เมด เคนชาน่า ริก 1 พีทีอี แอลทีดี (MKR-1) เมอร์เมด เคนชาน่า ริก (ลาบวน) พีทีอี แอลทีดี ( MKRL ) และเคนชาน่า เมอร์เมด ดริลลิ่งค์ เอสดีเอ็น บีเอชดี ( KMD ) รวมเรียกว่า " กลุ่มบริษัทเป้าหมาย " ซึ่งผลของการขายเงินลงทุนทั้งหมดของ MDS ( รวมเรียกว่า " รายการขาย " ) ในกลุ่มบริษัทเป้าหมายนี้ทำให้เป็นการขายเงินลงทุนในโครงการเรือขุดเจาะ KM-1 ด้วย
ปัจจุบัน MKR-1 และ MKRL เป็นบริษัทย่อยที่ MDS ถือหุ้น 75% และ KMD เป็นบริษัทร่วมที่ MDS ถือหุ้น 40 % ซึ่งหลังจากการขายเสร็จสิ้นบริษัท MKR-1, MKRL จะไม่เป็นบริษัทย่อยของ MDS และ KMD จะไม่เป็นบริษัทร่วมของ MDS อีกต่อไป
ขณะที่ TTA ชี้แจงว่าเมอร์เมดได้ทบทวนกลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจ เพื่อที่จะพัฒนาผลกำไรโดยรวมและผลตอบแทนแก่ผู้ถือหุ้นในระยะที่ยาวมากขึ้นโครงการเรือขุดเจาะ KM-1 ที่ล่าช้าได้ถูกนำมาพิจารณา โดยได้พิจารณาถึงความเสี่ยงต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง หากว่าโครงการนี้ยังคงดำเนินการต่อไปภายใต้ข้อตกลงในปัจจุบัน เช่น เงื่อนไขต่างๆในสัญญา การขยายสัญญาว่าจ้างของปิโตรนาส ต้นทุนที่วิ่งสูงขึ้นและอื่น ๆ และได้เปรียบเทียบลู่ทางในแก้ปัญหาอื่นๆ ซึ่งแนวทางในการปฏิบัติที่ดีที่สุดที่จะบรรเทาความเสียหายให้ลดลง คือการเจรจากับผู้ถือหุ้นร่วม (co-shareholders) (KPV) อย่างเป็นมิตร เพื่อให้เกิดความเสียหายน้อยที่สุดเงินที่ได้จากการขายเงินลงทุน โดย MDS รวมไปถึงการชำระคืนหนี้ระหว่างกันที่เป็นหนี้ต่อ MDS และบริษัทย่อยอื่น ๆ ของเมอร์เมดคาดว่าจะเสร็จสิ้นไม่เกินวันที่ 15 ส.ค. 53 และหลังจากนั้นจะนำเงินที่ได้นี้ไปใช้ในในการทำธุรกิจอื่น ๆ
โดยบริษัทจะได้รับผลตอบแทนจากการขายเงินลงทุนในกลุ่มเป้าหมายทั้งสิ้น 43.65 ล้านดอลลาร์สหรัฐอเมริกาและ KPV ได้ตกลงที่จะจ่ายเงิน 22.95 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ให้ MDS เพื่อชำระหนี้ที่กลุ่มบริษัทเป้าหมายยังคงค้างชำระ MDS และบริษัทย่อยอื่นๆของเมอร์เมด ส่วน MDS คาดว่าจะได้รับจากรายการขายทั้งสิ้น 66.60 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ คือ เงินที่ขายหุ้นของกลุ่มบริษัทเป้าหมาย หรือ 2,149,182,000 บาทให้กับ MDS ซึ่งมูลค่าที่ตราไว้ของหุ้นในกลุ่มบริษัทเป้าหมายต่างๆ ที่ MDS ถืออยู่นั้นเป็นต้นทุนที่ MDS ไปลงทุนไว้ เนื่องจาก MDS ได้ลงทุนตามมูลค่าที่ตราไว้ ของหุ้นในแต่ละบริษัทเป้าหมาย และเมอร์เมดเห็นว่า เงินที่ได้รับจากการขายเงินลงทุนและเงินที่จะได้รับจากการชำระหนี้โดย KPV แทนกลุ่มบริษัทเป้าหมายนั้นเป็นสิ่งที่ได้ลดความ เสี่ยงทางธุรกิจ โดยเปิดโอกาสในการออกจากโครงการเรือขุดเจาะ KM-1 ซึ่งเงินที่จะได้รับจากการขายเงินลงทุนและที่จะได้รับจากการชำระหนี้โดย KPV จะเป็นเงินสด และขึ้นกับเงื่อนไขบางประการที่กำหนดไว้ในสัญญา
อนึ่ง ผู้ซื้อเงินลงทุนในกลุ่มบริษัทเป้าหมาย คือ บริษัท เคนชาน่า ปิโตรเลียม เวนเจอร์ส เอสดีเอ็น บีเอชดี (KPV) KPV จัดตั้งขึ้นที่มาเลเซียเมื่อ 5 ก.ย.50 และเป็นบริษัทย่อยของ เคนชาน่า ปิโตรเลียม เบอร์แฮด (KPB) ซึ่ง KPV ประกอบธุรกิจโดยการถือหุ้น ( holding company ) เพื่อลงทุนในธุรกิจเรือขุดเจาะและบริการที่เกี่ยวข้องกับการขุดเจาะใอุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซนอกชายฝั่ง KPV เป็นเจ้าของร่วมกับ เคนชาน่าเอชแอล เอสดีเอ็น บีเอชดี (KHL) ซึ่งเป็นผู้สร้างเรือขุดเจาะ KM-1 เนื่องจาก KHL มีบ.ย่อยที่ถือหุ้นโดย KPB 100%
ขณะที่ผู้ขายของกลุ่มบริษัทเป้าหมาย คือ MDS ซึ่ง MDS เป็นบริษัทที่จัดตั้งขึ้นในประเทศสิงคโปร์เมื่อ 27ก.พ.50 และเป็นบริษัทย่อยที่เมอร์เมดถือหุ้น 100% ลักษณะการประกอบธุรกิจของ MDS คือเป็นบริษัทที่ประกอบธุรกิจโดยการถือหุ้น เพื่อการลงทุนในธุรกิจเรือขุดเจาะและบริการที่เกี่ยวข้องกับการขุดเจาะในอุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซนอกชายฝั่ง
ขณะที่ MKR-1 จัดตั้งขึ้นเมื่อ 27 ก.ย. 50 ในสิงคโปร์ มีทุนที่ออกและเรียกชำระแล้ว68 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่ง MDSถือหุ้นใน MKR-1 คือ 1 ล้านหุ้น หรือ 75 % ของทุนชำระแล้วที่เหลืออีก 25 % ใน MKR-1 ถือหุ้นโดย KPV 17 ล้านหุ้น
ส่วน KMD ตั้งขึ้นเมื่อ 26 ก.ย. 50 ในมาเลเซีย มีทุนที่ออกและเรียกชำระแล้ว 1แสน ริงกิตมาเลเซีย โดย MDS ถือหุ้น 4 หมื่นหุ้น คิดเป็น 40 % ของทุนชำระแล้วที่เหลืออีก 60 % ใน KMD ถือหุ้นโดย KPV 6 หมื่นหุ้นและ MKRL จัดตั้งขึ้นเมื่อ 11 พ.ค. 52 ในลาบวน มาเลเซีย มีทุนที่ออกและเรียกชำระแล้ว 4 ดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่ง MDS ถือหุ้น 3 หุ้นใน MKRL 75 % ของทุนชำระแล้วและที่เหลืออีก 25 % ใน MKRL ถือหุ้นโดย KPV 1 หุ้น หลังจากรายการขายเสร็จสิ้นลงแล้ว กลุ่มบริษัทเป้าหมายจะกลายเป็นบริษัทย่อยของ KPV ที่ถือหุ้นโดย KPV 100%
|
|
|
|
|