ภาษีมูลค่าเพิ่ม ส่งผลกระทบต่อห้างสรรพสินค้าอย่างใหญ่หลวงสองกรณีคือ ในส่วนของระบบการทำธุรกิจระหว่างซัพพลายเออร์
ซึ่งเคยค้ากันในหลายระบบ ไม่ว่าจะเป็นการฝากขาย จะซื้อจะขาย ขายขาด การเช่าที่และการแบ่งสรรกำไร
ผู้เชี่ยวชาญในวงการชี้ว่าต่อไปนี้ระบบต่าง ๆ จะต้องมีการเปลี่ยนไปตามสภาพ
กรมสรรพยากรต้องการให้ระบบฝากขายหมดสิ้นไป แต่ผู้เชี่ยวชาญวงการค้าปลีกมองว่าจะเกิดระบบนายหน้าตัวแทนขึ้นมาแทนที่อีกส่วนหนึ่งคือ
เรื่องการจัดทำเอกสารการขอคืนภาษี ชำระภาษี ใบกำกับภาษีซึ่งเป็นภาระอย่างหนักสำหรับห้างสรรพสินค้าทุกแห่ง!!
ไม่มีใคร เตรียมตัวอย่างจริงจังเพื่อรับมือกับการประกาศใช้ภาษีมูลค่าเพิ่มในวันที่
1 มกราคม 2535 ซึ่งเป็นการทำให้ความลังเลใจว่าจะมีการผลักดันให้ใช้กฎหมายนี้สำเร็จหรือไม่หมดสิ้นไป
แม้จะมีการประกาศออกมาเป็นของแน่นอนแล้ว ก็ยังมีผู้ที่มีความเห็นว่ารัฐบาลให้เวลาเตรียมตัวน้อยเกินไป
คือมีเวลาแค่เดือนกว่า ๆ เท่านั้น ใครจะเตรียมตัวได้ทัน
สมาชาย สาโรวาท กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ บริษัท อิมพีเรียล อินเตอร์เนชั่นแนล
ดีพาร์ทเม้นท์สโตร์ จำกัด และประธานษมาคมห้างสรรพสินค้ากล่าวกับ "ผู้จัดการ"
ว่า "ที่รัฐบาลแย้งว่าจะมีการใช้ตราบใดที่ยังไม่มีกฎหมายออกมานั่นถือว่ายังไม่ได้ใช้ใครจะไปเตรียมตัวในเมื่อกฎหมายยังไม่ออก"
สมชายซึ่งเป็นตัวหลักสำคัญในการคัดค้านในต้านปฏิบัติมองว่า "ผมคิดว่าเมื่อมีการออกกฎหมายมาแล้ว
ก็ควรที่จะให้เวลาในการเตรียมตัวระยะหนึ่งเหมือนกับหลายประเทศที่ทำกันมา
เช่น อังกฤษเมื่อประกาศแล้วให้เวลาเตรียมตัวถึง 1 ปี ญี่ปุ่นตอนที่มีการเปลี่ยนระบบภาษีก็เตรียมตัวนาน
6 เดือน ฟิลิปปินส์ 2 ปี จนขณะนี้ฟิลิปปินส์กับไต้หวันยังมีปัญหาในเรื่องนี้
สิงคโปร์ยังไม่ได้ใช้ อเมริกายังไม่ได้ใช้"
เขาไม่ได้คัดค้านการใช้ภาษีมูลค่าเพิ่มแต่ต้องการให้มีการเตรียมการที่ดีใช้แล้วไม่เกิดปัญหา
อย่างไรก็ดี สมชายก็มีความเข้าใจว่า "หากไม่ออกกฎหมายในช่วงนี้รอไปออกในรัฐบาลหน้าก็ยาก
เพราะว่าเป็นรัฐบาลเลือกตั้ง ทำอะไรต้องคำนึงเรื่องความเดือดร้อนของชาวบ้านเป็นจุดหนึ่งที่ทำให้ต้องออกมาเร็วอย่างนี้
ผมไม่ได้ติงเรื่องออก แต่ติงเรื่องเวลาที่ให้"
ความเห็นของสมชายคล้ายคลึงกับบรรดาผู้บริหารห้างสรรพสินค้าอื่น ๆ ต่างกันที่ดีกรีของความพร้อม/ไม่พร้อมของแต่ละห้าง
โดยทั่วไปแล้ว บรรดาห้างสรรพสินค้าต่างยอมรับการเข้าระบบภาษีมูลค่าเพิ่มและคิดว่าความยุ่งเหยิงเมื่อเข้าสู่ระบบใหม่คงมีอยู่สักระยะหนึ่ง
ต่อไปก็จะเข้าที่เข้าทางและปรับปรุงตัวได้ในที่สุด
ปรีชา เวชสุภาพร กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ บริษัทห้างสรรพสินค้าโรบินสันจำกัดให้ความเห็นกับ
"ผู้จัดการ" ว่า "ผมคิดว่าธุรกิจค้าปลีกนี่ต้องถูกกระทบแน่นอนและเป็นตัวสำคัญที่สุด
คือผู้ผลิตและผู้บริโภคต่างได้ประโยชน์จากภาษีมูลค่าเพิ่มทั้งคู่ ผู้ค้าปลีกเป็นเพียงตัวกลางจากผู้ผลิตถึงผู้บริโภค
เมื่อเราแก้ปัญหาที่ต้นทาง ปลายทางก็ได้ประโยชน์แน่นอนอยู่แล้วผู้ค้าปลีกเป็นตัวกลางที่ผ่านซึ่งจะถูกกระทบมากผม
หวังว่าเมื่อธุรกิจมันข้าที่แล้ว และในระยะยาวสถานการณ์ทางด้านการค้าขายดีขึ้น
มันคงทำให้ยอดขายสูงขึ้น การค้าสะดวกขึ้นผมคิดว่าคงใช้เวลาประมาณ 6 เดือน
ในการที่จะปรับสิ่งต่าง ๆ ให้เข้าที่."
ปรีชายอมรับเหมือนกันว่าจะต้องเกิดปัญหาขึ้นมาไม่น้อย แต่ดูเขาจะหวังผลในระยะยาวอย่างมาก
ๆ ทั้งนี้ห้างสรรพสินค้าโรบินสันมีข้อได้เปรียบห้างอื่น ๆ ประการหนึ่งคือเพิ่งจะลงทุนในเรื่องระบบคอมพิวเตอร์
ซอฟท์แวร์และบาร์โค้ด เป็นมูลค่าประมาณ 500 ล้านบาทเทคโนโลยีและเครื่องมือที่ทันสมัยเหล่านี้จะช่วยแบ่งเบาภาระงานต่าง
ๆ ของห้างได้เป็นอย่างดี ขณะที่ห้างอื่น ๆ ยังไม่มีใครลงทุนมากเท่าโรบินสัน
และบางห้างก็ยังไม่มีนโยบายในเรื่องนี้เลยด้วยซ้ำไป
ภาระประการแรกของห้างสรรพสินค้าก็คือค่าจัดการตัวนี้ซึ่งแต่ละห้างมีรายละเอียดที่แตกต่างกันออกไป
แต่สิ่งที่แต่ละห้างจะต้องทำเหมือนกันก็คือการพิมพ์ใบกำกับภาษี เตรียมทำรายงานภาษีซื้อ
รายงานภาษีขาย และรายงานสินค้าและวัตถุดิบ หรือรายงานสต็อคสินค้า ทั้งนี้กรมสรรพากรอนุญาตให้ใช้สลิปรายการที่ออกจากเครื่องบันทึกเงินสดเป็นใบกำกับภาษีได้แต่ในบางกรณีก็ต้องใช้บิลที่เป็นสมุดเล่ม
สั่งพิมพ์ใหม่และบันทึกโดยใช้คนทำ (MANUAL)
ปรีชาเล่าให้ "ผู้จัดการ" ฟังว่า "หากเป็นระบบซื้อมาขายไป
เราก็ใช้เครื่องบันทึกเงินสดกับรายการได้เหมือนเดิม รายการอาจจะยาวขึ้นบ้างส่วนระบบฝากขายและระบบอื่น
ๆ นั้นเราจำเป็นต้องใช้บิลตรงนี้ก็คงต้องใช้เวลาระยะหนึ่งที่จะปรึกษากับกรมสรรพากรหรือผู้ผลิต
ผู้จัดจำหน่ายถึงเรื่องเทคโนโลยีที่จะทำให้ภาระเหล่านี้เบาลง ไม่อย่างนั้นมันจะเป็นปัญหาใหญ่ทีเดียว
ผมเชื่อว่าระยะยาวเราจะแก้ปัญหานี้ได้"
นอกจากนี้โรบินสันยังเตรียมที่จะเอาระบบบาร์โค้ดเข้ามาช่วยในเรื่องการทำระบบภาษีมูลค่าเพิ่มให้กระชับและรวดเร็วขึ้น"
ปรีชาอธิบายว่า "บาร์โค้ดมีบทบาทมากในเรื่องความแม่นยำและรวดเร็ว
โดยเฉพาะการใช้งานในซุปเปอร์มาร์เก็ต แทนที่พนักงานจะต้องคีย์ตัวเลขสินค้าแต่ละรายการเข้าไปไม่ต่ำกว่า
10 ตัวเลข เราก็ใช้บาร์โค้ดนี่ปาดทีเดียวอ่านได้หมด และให้รายละเอียดได้มากเพราะเข้าใจว่ามันมีตัวเลขมากกว่า
16 หลัก เป็นระบบที่สะดวกมาก
นอกจากการอำนวยความสะดวกแก่ลูกค้าแล้ว บาร์โค้ดยังใช้ประโยชน์ได้อีกมาก
บาร์โค้ดที่ต่อเข้ากับเครื่องบันทึกเงินสดตรงนี้เป็นประตูเข้าของข้อมูลที่เป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการทำธุรกิจค้าปลีก
เมื่อต่อข้อมูลการขายสินค้าแต่ละรายการในแต่ละวันจากเครื่องบันทึกเงินสดไปที่สต็อค
ก็จะทำให้สามารถรู้ได้ว่าขายสินค้าอะไรไปเท่าไหร่เหลืออยู่ในสต็อคเท่าไหร่
จากสต็อคสามารถเชื่อมต่อไปที่แผนกบัญชี เพื่อการลงบัญชีได้สะดวกรวดเร็วให้รายละเอียดในการเตรียมตัดจ่ายชำระเงินให้ซัพพลายเออร์รวมไปถึงเรื่องการชำระภาษีมูลค่าเพิ่ม
ตรงนี้คือส่วนที่เชื่อมต่อมายังซีกผู้ผลิต ผู้จัดจำหน่าย ธนาคาร บัญชี
จากนั้นสามารถเชื่อมข้อมูลเข้ากับฝ่ายบริหาร เพื่อนำไปให้ฝ่ายจัดซื้อวิเคราะห์ประมวลทำสถิติการขาย
สร้างกลยุทธ์ในการส่งเสริมการขายเป็นข้อมูลในการสั่งซื้อสินค้า การควบคุมสต็อค
นอกจากนี้ก็เอาข้อมูลที่ได้ส่งต่อไปให้ซัพพลายเออร์และผู้ผลิตได้ ทำให้ไม่ต้องส่งเจ้าหน้าที่มาจดรายงานว่าวันไหนขายไปเท่าไหร่
ข้อมูลออนไลน์เรียล ไทม์นี้ก็ไปปรากฏที่ซัพพลายเออร์ทำให้รู้ว่าขณะนี้สินค้าในสต็อคของห้างลดลงไปเท่าไหร่ให้ซัพพลายเออร์เอามาส่งได้โดยอัตโนมัติ
ซึ่งช่วยลดภาระเรื่องการทำเอกสารการสั่งซื้อได้มาก
จุดสุดท้ายที่ข้อมูลจากบาร์โค้ดที่ต่อเข้าเครื่องบันทึกเงินสดจะเดินทางไปถึงคือโรงงาน
ทางผู้ผลิตสามารถรู้ได้ในทันทีว่าสินค้าแต่ละชนิดที่ส่งมายังผู้จัดจำหน่ายและห้างสรรพสินค้ามีการเคลื่อนไหวอย่างไร
นี่คือกระบวนการของการใช้บาร์โค้ตอย่างสมบูรณ์ ซึ่งจะเห็นได้ว่าช่วยอำนวยประโยชน์แก่ระบบการจัดการของธุรกิจค้าปลีกที่ยุ่งยากซับซ้อนให้ง่ายและสะดวกมากเพียงไร
ห้างสรรพสินค้าหลายแห่งที่ใช้ระบบบาร์โค้ดอยู่ในปัจจุบันหยุดการใช้ประโยชน์อยู่ที่การคุมสต็อคเท่านั้น
แต่การจะใช้ประโยชน์ให้ครบกระบวนการมากน้อยแค่ไหนนั้นก็ขึ้นอยู่กับว่าแต่ละห้างมีความจำเป็นมากน้อยแค่ไหนด้วย
เพราะการลงทุนเรื่องบาร์โค้ดและระบบคอมพิวเตอร์มีค่าใช้จ่ายมากพอสมควร ทั้งเรื่องเครื่องมือและบุคลากร
นอกจากเรื่องบาร์โค้ตแล้ว โรบินสันค่อนข้างเตรียมตัวพร้อม มีแผนการพัฒนาระบบคอมพิวเตอร์ภายในระยะ
5 ปีข้างหน้า ซื้อซอฟท์แวร์โปรแกรมจากอเมริกามูลค่ากว่า 50 ล้านบาท ปรีชาคุยว่า
"ซอฟท์แวร์ตัวนี้มีการใช้กับดีพาร์ทเม้นท์สโตร์ใหญ่ ๆ หลายแห่งทั่วโลก
เช่นห้างมอนโตโกเมอรี่ ดิสนีย์เวิร์ด ดิสนีย์แลนด์ ในสหรัฐฯ ห้างอีตันในแคนาดา
ห้างไมเออร์และไดมารูในออสเตรเลีย เป็นต้น ซอฟท์แวร์ตัวนี้เป็นของบริษัท
PRJ เป็นโปรแกรมที่ว่าด้วยเรื่องของขบวนการค้าปลีกทั้งหลาย (RETAILING INFORMATION
SYSTEM) มีโปรแกรมย่อย ๆ มากมายหลายโปรแกรม"
โปรแกรมที่โรบินสันเลือกมาใช้ก่อนคือ การบริหารเกี่ยวกับเครดิตการ์ดและบาร์โค้ด
ซึ่งคาดว่าภายในกลางปี 2535 ระบบทั้ง 2 นี้จะเริ่มใช้งานได้ ปรีชามั่นใจว่า
"ศักยภาพของเมนเฟรม ES9000 และซอฟท์แวร์ที่เราใช้อยู่จะช่วยให้เราจัดการระบบธุรกิจค้าปลีกได้อย่างดี
เราเป็นเจ้าแรกเจ้าเดียวที่ใช้"
ปรีชายืนยันว่า "ทางห้างไม่มีปัญหาในเรื่องอุปกรณ์ ผมพร้อมที่จะพัฒนา
เพียงแต่ว่าวิธีการปฏิบัติในเรื่องภาษีมูลค่าเพิ่มค่อนข้างหยาบ จนเมื่อใกล้เริ่มลงมือใช้แล้วก็ยังมีรายละเอียดในเรื่องการลงมือปฏิบัติอยู่พอสมควรที่ผู้ปฏิบัติต้องลงมือแก้ปัญหาเฉพาะหน้าไปก่อน
เมื่อมีปัญหาเกิดขึ้นทางห้างกับกรมสรรพากรก็ค่อยมาปรึกษากัน"
พิชิต นิ่มกุล ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดและการค้า บริษัทเดอะมออล์กรุ๊ป จำกัด
พูดถึงการเตรียมพร้อมของเดอะมอลล์ว่า "จริง ๆ แล้วยังไม่มีใครเตรียมรับมือได้
100 % เพราะกฎหมายลูกยังออกมาไม่ครบและสินค้าบางประเภทเช่นสินค้านำเข้าก็ยังเป็นที่สับสนว่าจะได้หรือไม่
จะเคลมกันอย่างไร แต่โดยหลักการกว้าง ๆ ทางห้างก็เตรียมตัวพร้อมใน 2 อย่างคือเอกสารในเรื่องการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มเราพร้อมหมด
ใบกำกับภาษี เอกสารการรายงานสต็อคการเตรียมสต็อคสินค้า เรื่องราคาและการเจรจากับซัพพลายเออร์เราทำมาตลอด"
ในประการหลังนั้นพิชิตมีนโยบายที่จะเก็บสต็อคไว้ให้น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้
แต่ช่วงนี้ก็เป็นจังหวะของการขายเหมือนกัน พิชิตกล่าวว่า "ผมต้องหา
OPTIMUM POINT คือต้องสต็อคสินค้าให้น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ ซึ่งมันเป็นเรื่องยากพอสมควร
การบริหารสต็อคเป็นเรื่องสำคัญมากสำหรับธุรกิจการค้าปลีก ผู้บริหารห้างสรรพสินค้าหลายรายยืนยันกับ
"ผู้จัดการ" ว่า "ในธุรกกิจดีพาร์ทเม้นท์สโตร์นั้น การที่จะเพิ่มกำไรขึ้น
1 % หรือ 0.5 % เป็นเรื่องที่ยากมาก แต่การที่ลดสต็อคลงได้ 1 % - 3% มันจะมีผลประโยชน์
มีกำไรเพิ่มขึ้นในส่วนนี้อย่างมากชนิดที่เราคาดไม่ถึง"
ประเด็นหนึ่งที่มีการพูดถึงกันมากคือในระบบการขายของห้างสรรพสินค้า สินค้าที่ซ้อมาในเดือนพฤศจิกายน-ธันวาคมของปี
2534 กว่าจะได้ขายก็ล่วงเข้ามกราคม 2535 ซึ่งเป็นระยะเวลาที่มีการใช้ระบบภาษีมูลค่าเพิ่มแล้ว
แต่สินค้าเหล่านี้เป็นสินค้าที่มีภาระภาษีการค้าติดอยู่ แต่ยังไม่มีใบกำกับภาษีห้างจะใช้เป็นหลักฐานการขอคืนภาษีได้
ขณะที่ห้างต้องขายสินค้าเหล่านี้ในราคาที่มีภาษีมูลค่าเพิ่มรวมอยู่ด้วย
สำหรับเดอะมอลล์ พิชิตแย้มว่า "ผมได้ขอความร่วมมือจากผู้ผลิตหรือผู้จัดจำหน่ายในการที่จะช่วยชดเชยภาษีบางส่วนคืนแก่เรา
ซึ่งเขาสามารถไปเคลมกลับจากกรมสรรพากรได้อยู่แล้ว ผมไม่ได้ขอความร่วมมือในแง่ขอคืนสินค้า
แต่ขอให้เขาช่วยชดเชย ลดต้นทุนสินค้ามากกว่า
กรมสรรพากรก็มีการออกมาตรการพิเศษเกี่ยวกับสินค้าคงคลังทั่วไป โดยกำหนดให้คืนภาษีการค้าที่แฝงอยู่ในประเทศหรือมีการนำสินค้าจากต่างประเทศเข้ามาขายในช่วงระยะเวลาที่กำหนดไว้
การคืนภาษีนี้อยู่ในรูปของเครดิตภาษีในการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่มตามมูลค่าภาษีการค้าที่ได้จ่ายไปจริง
แต่ไม่เกินร้อยละ 9.9 ของราคาสินค้า
มาตรการนี้ได้รับการวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากจากผู้ค้าปลีก เพราะห้างสรรพสินค้าโดยส่วนมากไม่ได้ซื้อสินค้าจากผู้ผลิตแต่ซื้อสินค้าจากผู้ผลิตแต่ซื้อจากซัพพลายเออร์ซึ่งไม่เข้าข่ายว่าจะขอเครดิตภาษีได้
สมชายกล่าวว่า "ผมยังไม่รู้ว่าจะเคลมภาษีการค้าได้หรือเปล่า ส่วนใหญ่เท่าที่ผมเห็นมักจะบวกเจ้าไปเลย
นี่คือปัญหาที่จะเจอ รัฐบาลได้ออกระเบียบผ่อนปรนให้โดยที่ปฏิบัติไม่ได้ เพราะการจะเคลมภาษีการค้าได้นั้นต้องเป็นสินค้าที่ซื้อจากผู้ผลิต
แต่ส่วนมากเราซื้อจากซัพพลายเออร์จึงเคลมไม่ได้"
แต่ในส่วนของเดอะมอลล์นั้นมีการเจรจรกับซัพพลายเออร์ ซึ่งก็ได้รับความร่วมมือที่ดี
พิชิตกล่าวว่า "รัฐแนะนำให้มีการคุยกันเองระหว่างผู้ผลิต ผู้จัดจำหน่ายและและห้างผมมองว่าเป็นเรื่องของความร่วมมือและเข้าใจแต่ผมก็ยอมรับว่ามีผู้จัดจำหน่ายบางรายที่ไม่ยอมให้ความร่วมมือ
แต่เป็นส่วนน้อย"
ที่โรบินสันก็เช่นเดียวกัน ปรีชาเปิดเผยว่า "อันนี้เป็นความรับผิดชอบระหว่างห้างกับซัพพลายเออร์ที่จะตกลงกัน
ตัวนี้ไม่มีปัญหา ส่วนใหญ่แล้วผู้ผลิตและซัพพลายเออร์จะเป็นคนรับผิดชอบ คือภาษีมูลค่าเพิ่มที่จะเสีย
7 % ในสต็อคที่เหลืออยู้ในช่วง 2 เดือนน้ซัพพลายเออร์จะเป็นคนรับผิดชอบ
ปัญหาเรื่องสต็อคสินค้าใน 2 เดือนสุดท้ายที่จะมีการใช้ภาษีมูลค่าเพิ่มก่อให้เกิดผลกระทบต่อเนื่อง
ราคาสินค้าในเดือนมกราคม สมชายมั่นใจว่าราคาสินค้าจะต้องเพิ่มและลด แต่ในวันที่
1 นี่ผมไม่รู้ว่าจะลดได้จริงหรือเปล่า อีกอย่างราคาสินค้าในวันที่ 1 มกราคม
จะต้องต่างจากวันที่31 ธันวาคม"
แต่ปรีชาไม่คิดว่าราคาสินค้าจะเปลี่ยนแปลงรวดเร็วขนาดนั้น "ผมคิดว่าในระยะยาวควรจะลดมาราคาอาจจะซ้ำไป
คือในอี ก15 วันหรือเดือนหนึ่งถัดมาราคาอาจจะเหลือ 195 บาท เป็นอย่างนี้มากกว่า
เพราะระบบการจัดจำหน่ายจะย่นย่อลงปัจจัยเรื่องค่าบริหารและภาษีต่าง ๆจะถูกลงโดยอัตโนมัติ"
นั่นคือหลักการซึ่งมีการยกเว้นในบางรายการเพราะมีสินค้าบางชนิดที่ภาษีมูลค่าเพิ่มคิดสูงกว่า
อัตราภาษีเดิม ซึ่งมีระบบการจัดจำหน่ายแบบเดิมที่ภาษีไม่มากเท่าอยู่แล้วบางรายการที่อาจจะสูงขึ้นได้แก่ผงซักฟอก
น้ำมันพืช ยาสีฟัน เป็นต้น
พิชิตให้ความเห็นว่า "ผมยังไม่ทราบว่าราคาสินค้าจะขึ้นหรือลงสักแค่ไหน
เพราะทางซัพพลายเออร์ยังไม่ได้แจ้งราคาสินค้าเมื่อใช้ภาษีมูลค่าเพิ่มให้กับทางห้าง
แต่ผมคิดว่าราคาน่าจะแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มคือเพิ่มขึ้น คงที่และลดลง"
สินค้ากลุ่มที่ไม่มีภาระภาษีมูลค่าเพิ่มมีเป็นจำนวนน้อยมาก พิชิตประมาณว่ามีไม่ถึง
1 % ของสินค้าในห้างสรรพสินค้า ได้แก่พืชผลทางการเกษตรข้าวสารที่ไม่ได้บรรจุถุง
ซึ่งสินค้าเหล่านี้มียอดขายน้อยมาก
สินค้ากลุ่มใหญ่ที่มีภาระภาษีมูลค่าเพิ่ม ซึ่งมีทั้งประเภทที่ห้างเป็นผู้กำหนดราคาขายเองโดยซัพพลายเออร์ส่งราคามาให้
และห้างจะติดราคาเองกับสินค้าประเภทที่ราคาถูกกำหนดโดยผู้ผผลิตหรือผู้จัดจำหน่าย
ส่วนใหญ่จะเป็นประเภทเสื้อผ้า แฟชั่นไลน์ ราคาสินค้าประเภทนี้ไม่ว่าจะซื้อในห้างไหนราคาจะต้องเท่ากัน
พิชิตยอมรับว่า "ซัพพลายเออร์คงจะรู้ราคาแล้ว แต่ยังไม่ยอมเปิดเผยเพราะจะต้องดูคู่แข่งด้วย
ในแง่ของห้างนั้นก็จะพยายามตรึงราคาให้ต่ำที่สุดเท่าที่จะทำได้"
การตั้งราคาสินค้าโดยทั่วไปนั้นมีสูตรคือเอาต้นทุนมาบวกกำไรหรือค่าจัดการ
ค่าการตลาดแล้วก็บวกภาษีเข้าไป ค่าจัดการประมาณ 10 % กว่า ๆ ของยอดขาย นี่เป็นอัตราทั่วไปที่ไม่มีกฎหมายกำหนด
วิโรจน์ จุนประทีปทอง กรรมการรองผู้จัดการห้างสรรพสินค้า ตั้งฮั่วเส็ง
ยืนยันเช่นกันว่า "ก่อนหน้านี้ยังไม่มีซัพพลายเออร์แจ้งว่าราคาอะไรจะสูงจะต่ำผมเข้าใจว่าการที่เขาจะปรับมากหรือน้อยต้องรอหลังมกราคมเป็นต้นไป"
ตั้งฮั่วเส็งมีการเจรจากับซัพพลายเออร์ใน 2 ลักษณะคือให้ซัพพลายเออร์รับผิดชอบภาระภาษี
7% ในสินค้าที่สั่งเข้ามาในช่วง 2 เดือนสุดท้ายของปี 2534 อีกส่วนหนึ่งปล่อยไว้เฉย
ๆ รอดูว่าซัพพลายเออร์บางรายก็ให้สินค้ามาตั้งแต่ตอนนี้แล้ว บอกว่าวันที่
1 มกราคมไม่มีของแล้ว บางรายบอกว่าช่วงนี้ให้ราคา 30 บาท แต่วันที่ 1 มกราคมจะให้
25 บาทบวก 7% ซึ่งแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน
ตั้งฮั่วเส็งได้ชื่อว่าเป็นห้างสรรพสินค้าที่ขายสินค้าในราคาต่ำกว่าห้างทั่วไปอย่างมากคือ
ราคาต่ำลงประมาณ 10-15% จากราคาป้ายสำหรับผู้ที่เป็นสมาชิก ซึ่งลูกค้าส่วนมากที่ซื้อสินค้าจากตั้งฮั่วเส็งก็มักจะสมัครเป็นสมาชิกแทบทั้งสิ้น
การที่จะขายสินค้าในราคานี้ได้จำเป็นที่จะต้องมีต้นทุนที่ต่ำมาก ๆ หรือขายสินค้าได้ในปริมาณที่สูงมาก
แต่เมื่อเจอเรื่องภาษีมูลค่าเพิ่มทำให้เกิดปัญหาขลุกขลับบ้างในเรื่องต้นทุนสินค้า
เพราะต่อไปนี้จะต้องมีการบวก 7%
อย่างไรก็ดี วิโรจน์ยังยืนยันว่าเขาสามารถลดราคาได้ถึง 15 % เพราะว่ามีต้นทุนต่ำและมีเงินทุนระยะยาว
"ค่าใช้จ่ายมันต่ำมากและห้างมีเงินทุนเพื่อสู้ในระยะยาวได้ เมื่อเริ่มทำแนวคิดเรื่องราคาตั้งฮั่วเส็งนั้น
ผมออกสปอตทางทีวีเป็นชุดในปี 2529 หลังจากนั้นก็ไม่เคยใช้งบกับทีวีอีกเลย
ซึ่งงบจำนวนนี้แต่ละห้างใช้กันปีละ 10-20 ล้านบาท ผมก็เอาส่วนนี้มาให้กับลูกค้าโดยตรง
มันเป็นกลยุทธ์ที่ห้างน้อยแห่งจะทำได้และประสบความสำเร็จเช่นตั้งฮั่วเส็ง
วิโรจน์เปิดเผยว่าสินค้าในส่วนของซุปเปอร์มาเก็ตเป็นสินค้าที่ซื้อขาดและใช้เงินสดเป็นส่วนมาก
เขาคุยว่า "ผมเป็นห้างแรกกระมังที่ใช้เงินสดซื้อของในซุปเปอร์ฯ เพราะว่ามันได้ส่วนลดมาก
ส่วนลดของวันหนึ่ง สามวัน เจ็ดวัน สิบห้าวันนี่จะไม่เท่ากัน เคยมีอยู่ช่วงหนึ่งที่นมขาดแคลนเพราะจะมีการเปลี่ยนน้ำหนักจากปอนด์มาเป็นกรัม
ผมก็เลยสต็อค สมัยนั้นผมสั่งนมของดีทแฮล์มเดือนหนึ่งประมาณแสนหกหมื่นเจ็ดพันบาทถึงสองล้านกว่าบาทเป็นยอดที่สูงมาก
แต่ผมก็ยังขายลดราคาให้ลูกค้าเหมือนเดิม"
วิโรจน์มั่นใจว่า "ผมขายมากผมก็ต่อรองกับซัพพลายเออร์ได้ถูก มันก็ลดลงไปเรื่อย
ๆ ทุกวันนี้หากเป็นการขายปกติไม่ได้ลดครึ่งวันครึ่งราคา ผมคิดว่าสินค้าที่ตั้งฮั่วเส็งนี่ถูกที่สุด"
ราคาตั้งฮั่วเส็งจะยืนอยู่ได้อีกนานแค่ไหนเป็นเรื่องที่จะได้รับการพิสูจน์เมื่อล่วงเข้าเดือนมกราคม
2535
ระบบภาษีมูลค่าเพิ่มไม่เพียงแต่มีผลกระทบต่อห้าง ในแง่ที่ต้องตระเตรียมค่าใช้จ่ายเพื่อรองรับการใช้ภาษีใหม่ตัวนี้เท่านั้นแต่ยังมีผลอย่างมากต่อระบบการค้าที่ห้างติดต่อกับซัพพลายเออร์
ห้างส่วนมากซื้อของจากซัพพลายเออร์มากกว่าที่จะซื้อจากผู้ผลิตโดยตรง โรบินสัน
เดอะมอลล์ อิมพีเรียล ตั้งฮั่วเส็ง ต่างซื้อสินค้าจากซัพพลายเออร์ประมาณ
90%-99%
วิโรจน์กล่าว่า "ผมติดต่อเรื่องผงซักฟอกนี่ไม่เคยติดต่อกับบริษัทคอลเกต-ปาล์มโอลีฟเลยแต่ผมติดต่อกับบริษัทสยามกิลลอริตี้มาตลอด
หรือผมเคยติดต่อกับไอซีซีแต่ผมไม่รู้เลยว่าบริษัทธนูลักษณ์เป็นผู้ผลิตเสื้อแอโรว์"
ในบรรดาห้างสรรพสินค้าทั้งหลายคาดว่าจะมีเพียงเซ็นทรัลเท่านั้นที่มีการผลิตสินค้าเป็นของตัวเองและนำมาวางขายในห้างด้วย
เช่น เสื้อผ้า เครื่องสำอางบางยี่ห้อ
ปรีชายอมรับว่าจะเกิดปัญหาในการเปลี่ยนระบบการติดต่อระหว่างห้างกับซัพพลายเออร์
"สมัยก่อนนี้ซัพพลายเออร์ขายสินค้าให้ห้างก็ใช้หลายระบบมีทั้งการฝากขาย
ซื้อมาขายไป จะซื้อจะขาย ขายขาด การเช่าพื้นที่และแบ่งส่วนรายได้ เมื่อมีการใช้ภาษีมูลค่าเพิ่มก็ต้องเป็นอีกระบบหนึ่ง
มันต้องเปลี่ยนไปตามสภาพ แล้วแต่ว่าวิธีการขายของซัพพลายเออร์จะใช้วิธีใด"
ที่โรบินสันนั้น สินค้าที่ฝากขาย จะซื้อจะขายเช่าที่ รวมทั้งหมดมีประมาณกว่า
60 % ส่วนสินค้าที่ซื้อขาดและเครดิตมีไม่เกิน 40 %
ปรีชามองว่า "ส่วนที่จะมีผลกระทบมีระบบเดียวคือการฝากขาย เพราะซัพพลายเออร์ต้องเช็ค
สต็อคทุกสิ้นเดือนเพื่อรายงานกรมสรรพากร ระบบจะซื้อจะขายและระบบการเช่าที่อาจจะมีการเปลี่ยนแปลงบ้าง
แต่เรื่องนี้ไม่มีผลกระทบต่อลูกค้าแต่อย่างใด"
ส่วนเดอะมอลล์ใช้ระบบฝากขาย หรือ CONSIGN เป็นส่วนใหญ่ในการติดต่อกับซัพพลายเออร์
พิชิตเล่าว่า "สินค้าประเภทที่เป็นแฟชั่นส่วนใหญ่จะเป็นคอนไซน์ เพราะสินค้าประเภทนี้เปลี่ยนเร็วมาก
ดังนั้นการจัดการเรื่องสต็อคสินค้านี่ผู้ผลิตจะทำได้ดีมาก เขาจะรู้ว่าสินค้าที่เขาผลิตมานั้นจุดไหนขายได้จุดไหนขายไม่ได้
ดังนั้นระบบนี้จึงเป็นระบบที่คล่องตัวที่สุดสำหรับผู้จัดจำหน่ายและห้าง"
ในระบบฝากขายจะมีการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มในลักษณะของการเป็นนายหน้าตัวแทน
หรือเสียภาษีจากค่าบริการนายหน้าตัวแทนที่ได้รับ โดยส่วนตัวพิชิตมีความเห็นว่าระบบการติดต่อระหว่างห้างกับซัพพลายเออร์ในอนาคตจะเข้าในระบบนายหน้าตัวแทนนี้มากขึ้น
เขาอธิบายว่า "มันเป็นระบบที่ใกล้เคียงกับปัจจุบันมากที่สุด คือผู้ผลิตยังเป็นผู้บริหารสต็อค
ในแง่กฎหมายกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินยังเป็นของผู้ผลิตเพียงแต่ว่าห้างเป็นนายหน้าตัวแทนเท่านั้น
เมื่อเกิดการขายเมื่อไหร่ ห้างก็ได้รับค่าบริการจากการเป็นนายหน้าตัวแทนให้ผู้ผลิต/ผู้จัดจำหน่าย"
เหตุที่ระบบนี้จะได้รับความนิยมอย่างมากเพราะผู้ผลิตยังเป็นผู้บริหารสต็อค
"ผู้ผลิต/ผู้จัดจำหน่ายจะรู้ว่าเสื้อดีไซน์นี้ขายได้ที่นี่ เหมาะกับตลาดกลุ่มนี้เขาส่งเข้ามากี่ตัว
เขารู้ไซส์ เขาจะโยกสินค้าที่เคลื่อนไหวช้าไปขายที่อื่นที่เร็วกว่าได้"
พิชิตเล่า
สินค้าที่เปลี่ยนแปลงจากระบบฝากขายมาเป็นระบบตัวแทนจำหน่ายได้แก่ สินค้าประเภทเครื่องแต่งกาย
เครื่องหนังและเครื่องสำอางต่าง ๆ ผู้เชี่ยวชาญวงการค้าปลีกอธิบายว่า "สินค้าเหล่านี้
บริษัทเจ้าของสินค้าเรื่องสต็อคสินค้าเรื่อยไปจนถึงพนักงานขาย เมื่อมีการขายเกิดขึ้นห้างจะได้รับส่วนแบ่งเป็นค่าคอมมิชชันจากสินค้านั้น
ๆ หากยังไม่มีการขายก็ถือว่ายังอยู่ในความรับผิดชอบของผู้ผลิตสินค้า
แต่ถ้าไม่ใช่ระบบนี้ก็จะเกิดความวุ่นวายไม่น้อยพิชิตยกตัวอย่างว่า "หากมีการตีคืนสินค้า
เรื่องเอกสารจะเป็นเรื่องที่วุ่นวายมาก สมมติเป็นการซื้อขาดมาแล้ว ของอยู่ที่ผม
ผมขายไม่ได้ก็ต้องมีการตีคืนโดยคำแนะนำของผู้ผลิต การจะเอาของไปคือก็ต้องทำใบลดหนี้
(CREDIT NOTE) อันนี้หากเสียภาษีมูลค่าเพิ่มไปแล้ว ต้องไปเครดิตคืนกลับมา
ผมว่ามันเป็นอะไรที่ยุ่งยากมาก ๆ ไม่ใช่เรื่องที่จะทำได้ง่าย ๆ เลย"
หากจะให้ห้างเข้าไปบริหารแทนผู้ผลิตก็คงเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เช่นกัน
เพราะผู้ผลิตจะมีปัญหาเรื่องการบริหารตลาดของตัวเองด้วย
ระบบการตลาดในปัจจุบันผู้ผลิตมักจะมีผู้จัดจำหน่ายสินค้าให้ อาจจะเป็นการตั้งบริษัทจัดจำหน่ายขึ้นมาต่างหากในกรณีของผู้ผลิตรายใหญ่หรืออาจจะจ้างให้บริษัทจัดจำหน่ายรายใหญ่
ๆ เป็นผู้วางสินค้าของตัว มีผู้ผลิตน้อยรายที่จะขายสินค้าให้ห้างโดยตรง ผู้ผลิตเหล่านี้เป็นรายย่อยที่มีสินค้าวางขายให้ห้างประมาณ
1%-10% ของสินค้าทั้งหมดในห้าง
ระบบการแต่งตั้งผู้จัดจำหน่ายทำให้สินค้าเพิ่มทางผ่านตัวแทน 3-4 ทอดกว่าจะถึงมือผู้บริโภคเพราะมีความเข้าใจกันว่าระบบนี้จะช่วยลดภาษีลงได้มาก
คือมีการเสียภาษีการค้าจุดเดียวเฉพาะในส่วนของผู้ผลิต แต่การซื้อมาขายไปในทอดที่
2, 3, 4 ไม่ต้องเสียภาษีอีก แม้กระทั่งการขายให้ห้างในทอดที่ 3 หรือ 4 ก็ไม่ต้องเสียภาษีการค้า
มีแต่ภาระภาษีเงินได้นิติบุคคลเท่านั้น
แต่ถ้าผู้ผลิตขายให้ END USER จะต้องเสียภาษีการค้าในราคาหน้าโรงงานคือราคาขายปลีก
ซึ่งเป็นอัตราที่สูงอย่างมาก แม้จะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มแต่ก็ยังถูกกว่าการเสียภาษี
ผู้เชี่ยวชาญในวงการค้าปลีกให้ความเห็นว่า "การใช้ระบบภาษีมูลค่าเพิ่มอาจช่วยลดขึ้นตอนการเดินทางของสินค้าได้บ้าง
เพราะมันไม่มีความจำเป็นที่จะต้องมีตัวแทนจำหน่ายถึง 3-4 ทอดอีกต่อไปอันนี้ก็จะทำให้ค่าใช้จ่ายในการบริหารงานลดลง"
ซึ่งว่าตามทฤษฎีก็น่าจะทำให้ราคาสินค้าถูกลง"
อย่างไรก็ดี ปรีชายืนยันว่าผู้ค้าปลีกไม่มีอำนาจที่จะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง
ตามจุดนี้เขาเข้าใจว่าโดยหลักการน่าจะมีการลดขึ้นตอนการเดินทางของสินค้าแต่คงไม่เกิดในลักษณะที่ห้างจะซื้อสินค้าจากผู้ผลิตโดยตรง
"เพียงแต่ว่ามันจะมีวิธีการที่ทำให้ขบวนการมันกระชับขึ้นเท่านั้นเองเราไม่มีอิทธิพลถึงขนาดที่จะไปบังคับให้ระบบมันเปลี่ยนแปรไป"
เท่ากับว่าผู้ผลิตรายใหญ่ที่มีบทบาทอยู่ในระบบการจัดจำหน่ายตอนนี้จะเป็นฝ่ายกำหนดมากกว่าว่าจะใช้ระบบการขายสินค้าให้ห้างอย่างไร
สิ่งที่กรมสรรพากรต้องการคือ ให้มีการทำสัญญาระหว่างผู้ผลิตและผู้ค้าปลีกให้ถูกต้องโดยให้ถือว่าการขายจะเกิดขึ้นจริงต่อเมื่อลูกค้ามาซื้อสินค้าจากห้างไป
และการออกใบเสร็จต้องทำในนามของโรงงานผู้ผลิตเท่านั้น
ความต้องการของกรมสรรพากรในประเด็นนี้ดูจะมีปัญหาในการนำไปปฏิบัติ วิโรจน์ให้ความเห็นว่า
"ในระบบการฝากขาย ซึ่งกรมสรรพากรต้องการให้ซัพพลายเออร์เป็นผู้ออกใบเสร็จรวมของห้าง
ซัพพลายเออร์คงไม่พอใจที่จะต้องเป็นผู้ออกเงินค่าใบเสร็จในห้าง แต่ถ้าจะเอาอย่างนั้นจริงงๆ
ตรงเคาน์เตอร์ที่ขายเสื้อผ้าก็ต้องเป็นผู้ออกใบเสร็จไปเลย อาจใช้ใบเสร็จของซัพพลายเออร์แต่ห้างก็เป็นผู้เก็บเงินตามเดิม"
ตั้งฮั่วเส็งมีวิธีจัดการกับปัญหานี้โดยการออกใบเสร็จแล้วประทับตรายางของสินค้าแต่ละชนิดแทนที่จะเป็นการพิมพ์ให้กับซัพพลายเออร์ทุกราย
วิโรจน์ให้ความเห็นวิจารณ์กรณีที่ระบบภาษีมูลค่าเพิ่มไม่สนับสนุนให้ระบบฝากขายคงอยู่ว่า
"ปัญหาที่เกิดขึ้นหากจะทำธุรกิจแบบไม่ฝากขายคือห้างต้องใช้เงินลงทุนสูงมากส่วนลูกค้าผู้บริโภคก็ไม่มีโอกาสได้เลือกสินค้ามากขึ้น
และซัพพลายเออร์รายใหม่ไม่มีโอกาสเกิดเพราะห้างคงไม่สามารถซื้อขาดสินค้าโนเนมเข้ามาวางขายได้หรือสินค้าประเภทอุตสาหกรรมในครัวเรือนทั้งหลาย
อย่างพวกขนมหวาน ทองหยอด ฝอยทอง หากห้างซื้อขาดเกิดขายไม่หมดแล้วเสียภาระก็ต้องตกแก่ห้างอีก"
ดังนั้นจึงยังไม่มีข้อสรุปแน่ชัดว่าระบบฝากขายจะสูญสิ้นไปจริงหรือไม่ กรมสรรพากรเองก็ไม่ได้พูดเรื่องนี้ออกมาอย่างชัดเจนและกฎหมายลูกในเรื่องนี้ก็ยังไม่ออกมาด้วย
ในส่วนของการเช่าพื้นที่ พิชิตไม่มั่นใจว่าจะต้องมีการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มหรือไม่
"หากเป็นค่าเช่าอสังหาริมทรัพย์มันไม่เข้าข่ายแต่การเช่าในลักษณะนี้ผมไม่แน่ใจว่าใช่หรือไม่
ผมได้ยินเหมือนกันว่าบางห้างจะใช้ระบบเช่าที่ เดอะมอลล์ก็มีเช่าพื้นที่เหมือนกัน
แต่เป็นส่วนน้อย เช่าเป็นร้านไปเลย เช่น บาร์-บี-คิว พลาซ่า ส่วนในห้างจะมีก็เพียงร้านขายยาและร้านอาหารการเช่านี่ต้องโดนภาษีโรงเรือนอยู่แล้วซึ่งค่อนข้างหนักพอควร
ประมาณ 5.5%
การใช้ระบบภาษีมูลค่าเพิ่มส่งผลกระทบต่อธุรกิจค้าปลีกค่อนข้างมาก จนถึงวันนี้ผู้บริหารห้างหลายแห่งค่อนข้างยอมรับได้กับการที่จะต้องเผชิญปัญหาต่างๆ
มากมายในช่วงเริ่มใช้ แม้ว่าโดยข้อเท็จจริงแล้วผู้ที่ได้ประโยชน์จากภาษีมูลค่าเพิ่มมากที่สุดคือภาคอุตสาหกรรมและผู้ส่งออก
ส่วนผู้ค้าปลีกเป็นเพียงกลไกสำคัญเพื่อการจัดเก็บภาษีให้รัฐเท่านั้น
นอกจากปัญหาในการเตรียมตัวเกี่ยวกับเรื่องเอกสารต่าง ๆ และระบบการติดต่อกับซัพพลายเออร์แล้ว
ห้างสรรพสินค้ารวมทั้งผู้ค้าปลีกรายย่อยต้องคำนึงประเด็นที่สำคัญอันหนึ่งด้วยคือการบริหารเงินสดของห้าง/ร้านค้า
ในระบบที่ห้างซื้อของด้วยวิธีเครดิต แต่ขายเงินสด ห้างจะมีเงินสดเอาไปหมุนในช่วงหนึ่งก่อนที่จะถึงกำหนดจ่ายเงินซัพพลายเออร์
แต่เมื่อเข้าอยู่ในระบบภาษีมูลค่าเพิ่ม การหมุนเวียนเตรียมเงินเพื่อจ่ายภาษีมูลค่าเพิ่มทุกเดือน
หรืออย่างน้อยพัวพันได้ไม่เกิน 2 เดือน
ปรีชามองว่าประเด็นนี้ไม่มีผลกระทบต่อห้าง "น่าจะไม่มี เพราะตั้งแต่ที่คุยมามีแต่เรื่องความยุ่งยากในการออกเอกสาร
และการตกลงกับซัพพลายเออร์ว่าจะใช้ระบบอะไร ไม่เคยมีการคุยเรื่องเงินสดและว่าไปแล้วการจ่ายภาษีกับการขอคืนภาษีก็มีความเหลื่อมล้ำกันอยู่ไม่กี่วัน"
ส่วนพิชิตให้ความเห็นว่า "ผมว่าไม่มีผลกระทบเรื่อง CASH FLOW ของห้าง
เพราะระบบที่ห้างใช้อยู่ตอนนี้เป็นเหมือนระบบตะกร้า สินค้าที่ซื้อมาวันนี้โดยภาษีไปแล้ว
แต่ตัวอื่นอาจจะขายได้ บางเดือนผมอาจจะเครดิตภาษีมากกว่าภาษีที่ผมจ่ายไปก็ได้หากเดือนไหนซื้อของที่ซื้อก็ต้องจ่ายภาษีที่ผมจ่ายไปก็ได้หากเดือนไหนซื้อของมาเยอะก็เอาไปเครดิต
แต่ถ้าขายมากกว่าของที่ซื้อก็ต้องจ่ายภาษีมาก มันเป็นเรื่องของระบบตะกร้า"
พิชิตมองว่าสิ่งที่เป็นภาระมากกว่าคือค่าใช้จ่ายในการบริหารซึ่งค่อนข้างสูงมาก
ในบัญชีงบดุลของบริษัทเดอะมอลล์ชอปปิ้งเซนเตอร์ (หัวหมาก) ซึ่งอยู่ในประเภทของธุรกิจให่เช่าอสังหาริมทรัพย์และบริการสถานที่เช่า
ปรากฏว่าบริษัทนี้มีรายได้จากค่าเช่าและค่าบริการที่เกี่ยวข้องสูงไม่น้อย
แต่มีรายจ่ายที่มาจากต้นทุนการให้เช่าและค่าใช้จ่ายการขายและการบริหารสูงมาก
จนทำให้บริษัทขาดทุนทุกปี
ปี 2534 ซึ่งมีรอบบัญชีสำหรับปีสิ้นสุด 31 มีนาคม ปรากฏว่ามีรายได้รวม
52.68 ล้านบาท แต่มีรายจ่ายรวม 53.78 ล้านบาท ทำให้ขาดทุนสุทธิ 1.10 ล้านบาท
และขาดทุนสะสม 17.61 ล้านบาทขณะที่มีทุนจดทะเบียน 40 ล้านบาท
นี่เป็นเพียงตัวเลขบริษัทเดียวในเครือของเดอะมอลล์เท่านั้น
ส่วนห้างสรรพสินค้าโรบินสันมีค่าใช้จ่ายในการขายและการบริหารเมื่อปี 2533
ประมาณ 16.7% ของยอดขายรวม 5,196.53 ล้านบาท ทำให้ขาดทุนสุทธิ 1.10 ล้านบาท
และขาดทุนสะสม 17.61 ล้านบาทขณะที่มีทุนจดทะเบียน 40 ล้านบาท
นี่เป็นเพียงตัวเลขบริษัทเดียวในเครือของเดอะมอลล์เท่านั้น
ส่วนห้างสรรพสินค้าโรบินสันมีค่าใช้จ่ายในการขายและการบริหารเมื่อปี 2533
ประมาณ 16.7% ของยอดรวม 5,196.53 ล้านบาท ในประมาณการงบการเงินระหว่างปี
2534-2536 คาดหมายว่าค่าใช้จ่ายในการขายและการบริหารจะอยู่ที่ 16.5%-18%
ของยอดขายรวมแต่ละปี
ทั้งนี้ในบรรดาห้างสรรพสินค้าทั้งหมด 36 ห้าง ซึ่งมียอดขายรวมของธุรกิจประมาณ
29,000 ล้านบาท ในปี 2533 โรบินสันถูกจัดอยู่ในห้างสรรพสินค้าอันดับ 2 ที่มียอดขายประมาณ
5,434 ล้านบาทมีส่วนแบ่งตลาดประมาณ 18.8% ในปี 2533
โรบินสันตั้งเป้าหมายว่าปี 2534 จะมียอดขายรวม 7,348 ล้านบาทและไปทะลุยอดขายหมื่นล้านบาทในปี
2536
กล่าวได้ว่าห้างสรรพสินค้าได้รับผลกระทบในเชิงลบจากภาษีมูลค่าเพิ่มค่อนข้างมาก
โดยเฉพาะค่าใช้จายที่เพิ่มขึ้นในการเตรียมตัวรองรับระบบภาษีใหม่ และการเปลี่ยนระบบการติดต่อกับซัพพลายเออร์แต่ประเด็นเหล่านี้ก็ไม่เป็นอุปสรรคสำคัญต่อวิธีการบริหารการเงินของห้าง
ปรีชาคาดหมายว่าในอีก 6 เดือนข้างหน้าความยุ่งเหยิงอันเนื่องมาจากการเปลี่ยนระบบภาษีใหม่น่าจะเริ่มเข้าที่เข้าทาง
และเมื่อภาวะเศรษฐกิจกระเตื้องมากขึ้น ค่าใช่จ่ายที่สูญเสียไปในช่วงการเปลี่ยนระบบภาษีก็จะได้รับการชดเชยกลับคืนมา