Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ มกราคม 2535








 
นิตยสารผู้จัดการ มกราคม 2535
การฝ่าวงล้อม (ปูน) ของทีพีไอ "หลังถูกจิกและกระทืบซ้ำ             
โดย ศิริเพ็ญ กระตุฤกษ์
 


   
www resources

โฮมเพจ บริษัท ปูนซีเมนต์นครหลวง จำกัด (มหาชน)
โฮมเพจ ทีพีไอโพลีน

   
search resources

ปูนซีเมนต์นครหลวง, บมจ.
ทีพีไอ โพลีน, บมจ.
Cement




การฟ้องร้องของบริษัทปูนซีเมนต์นครหลวงต่อบริษัททีพีไอ โพลีนในเรื่องการลอกเลียนแบบเครื่องหมายการค้าตรา "รูปนายพรานยิงนกอินทรี" "รูปผู้ชายขี่หลังสิงโต" และ "รูปสิงโต" ถึงแม้จะดูเป็นเรื่องตลกสำหรับผู้ที่พบเห็น แต่สำหรับคนในวงการปูนแล้วรู้ดีว่านั่นเป็นการหนึ่งในการตอบโตของทีพีไอต่อแรงบีบที่ได้รับจากค่ายปูนเก่าที่ "ไม่ต้องการให้เกิด" สนามรบในตลาดปูนกำลังฝุ่นตลบ

เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2534 เมื่อบริษัทปูนซีเมนต์นครหลวง จำกัด โดยสมเกียรติ ลิมทรง กรรมการผู้มีอำนาจลงนามได้มอบหมายให้พงษ์ศักดิ์ ใหม่ซ้อนเป็นโจทก์ยื่นฟ้องบริษัททีพีไอ โพลีน จำกัดเป็นจำเลย ในความผิดเกี่ยวกับเครื่องหมายการค้า โดยรายละเอียดของคำฟ้องมีดังนี้

โจทก์เป็นผู้ผลิตและจำหน่ายปูนซีเมนต์และวัสดุสำหรับใช้ในการก่อสร้างหรือการตกแต่งภายใต้เครื่องหมายการค้า "รูปนกอินทรี" "รูปนกอินทรีในวงกลม" "รูปสิงโตในวงกลม" โดยได้จดทะเบียนเครื่องหมายการค้าถูกต้องตามกฎหมายตั้งแต่ปี 2512 ดังนั้นโจทก์จึงเป็นผู้มีสิทธิ์แต่เพียงผู้เดียวที่จะใช้เครื่องหมายการค้าดังกล่าวกับสินค้าของโจทก์

เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2533 จำเลยได้ยื่นคำขอเลขที่ 206304 ต่อกองเครื่องหมายการค้า กรมทะเบียนการค้า กระทรวงพาณิชย์เพื่อขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้า "รูปผู้ชายขี่หลังสิงโต" โดยใช้กับสินค้าจำพวกที่ 17 ซึ่งได้แก่ของที่ทำขึ้นจากแร่และจากวัตถุอื่น ๆ เพื่อการก่อสร้างหรือการตกแต่ง

ต่อมาวันที่ 14 พฤศจิกายน 2533 จำเลยได้ยื่นคำขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าเพิ่มอีก 2 คำขอ คือคำขอเลขที่ 209130 เพื่อขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้า "รูปคนยืนถือเป็นเล็งไปที่นกอินทรี" และคำขอเลขที่ 209131 เพื่อขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้า "รูปสิงโต" โดยใช้กับสินค้าจำวกที่ 17 เช่นเดียวกัน

และการที่จำเลยยื่นคำขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าทั้ง 3 คำขอดังกล่าวเป็นการลอกเลียนแบบเครื่องหมายการค้าของโจทก์โดย "รูปผู้ชายขี่หลังสิงโต" ตามคำขอเลขที่ 206304 เป็นการลอกเลียนแบบเครื่องหมายการค้าของโจทก์โดยเน้นเอา "รูปสิงโต" เป็นหลัก ส่วนรูป "ผู้ชายขี่สิงโต" นำมาใช้เป็นส่วนประกอบซึ่งรูปสิงโตมีรูปร่างลักษณะสาระสำคัญเกือบจะเหมือนกับ "รูปสิงโต" ของโจทก์ทุกประการ

ส่วน "รูปนายพรานยิงนกอินทรี" ตามคำขอเลขที่ 209130 เป็นการลอกเลียนแบบเครื่องหมายการค้าของโจทก์โดยเน้นเอา "รูปนกอินทรี" เป็นหลักส่วนรูปนายพรานในท่ายิงนกเป็นเพียงส่วนประกอบของ "รูปนกอินทรี" ซึ่งย่อดัดแปลงแล้ว โดย "รูปนกอินทรี" ดังกล่าวมีรูปลักษณะเหมือนกับเครื่องหมายการค้าของโจทก์ทุกประการเช่นกัน

ซึ่งการที่จำเลยใช้รูปนายพรานมายิงนกอินทรีของโจทก์เป็นการแสดงให้เห็นถึงเจตนาอันไม่สุจริตของจำเลยโดยจำเลยหวังทำลายหรือย่ำยีเครื่องหมายการค้า "รูปนกอินทรี" ของโจทก์

และการที่จำเลยยื่นคำขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้า "รูปสิงโต" ตามคำขอเลขที่ 209131 ก็เป็นการลอกเลียนแบบเครื่องหมายการค้าของโจทก์ โดยเน้นเอา "รูปสิงโต" เป็นหลักส่วนรูปก้อนหินเป็นเพียงส่วนประกอบกับรูปสิงโตซึ่งทำเป็นลักษณะสิงโตเหยียบก้อนหิน โดยรูปสิงโตของของจำเลยมีรูปลักษณะท่าทางตลอดจนสำเนียงเรียกขานเหมือนกับเครื่องหมายการค้าของโจทก์ทุกประการ

โดยเฉพาะเครื่องหมายการค้าที่จำเลยยื่นคำขอจดทะเบียนทั้งสามคำขอดังกล่าวใช้กับสินค้าจำพวกและประเภทเดียวกันกับสินค้าของโจทก์ทุกประการ การกระทำของจำเลยเป็นการกระทำของจำเลยเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต อันเป็นการละเมิดสิทธิ์ในเครื่องหมายการค้าของโจทก์

โจทก์ได้ยื่นคำคัดค้านการขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าของจำเลยทั้งสามคำขอต่อนายทะเบียนเครื่องหมายการค้า ต่อมานายทะเบียนเครื่องหมายการค้าได้วินิจฉัยยกคำคัดค้านของโจทก์ซึ่งโจทก์ก็ไม่เห็นพ้องด้วยกับคำวินิจฉัยของนายทะเบียนเครื่องหมายการค้า

ดังนั้นโจทก์จึงจำเป็นต้องฟ้องร้องต่อศาล เพื่อให้จำเลยเพิกถอนคำขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าทั้งสามคำขอ และห้ามไม่ให้จำเลยยุ่งเกี่ยวกับเครื่องหมายการค้าของโจทก์อีกต่อไป รวทั้งให้จำเลยชดใช้ค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความแทนโจทก์ด้วย

ทันทีที่ประชัย เลี่ยวไพรัตน์ผู้นำกลุ่มทีพีไอตัดสินใจที่จะรุกเข้ามาในอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ นับจากวินาทีนั้นการเผชิญหน้าระหว่างทีพีไอกับค่าปูนเก่าทั้ง 3 แห่งคงเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งนั่นหมายรวมถึงสงครามการตลาดที่กำกลังจะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้

ในปี 2535 ทีพีไอจะเริ่มทำการผลิตปูนซีเมนต์จากโรงงานที่สร้างขึ้นใหม่ โดยการนำเข้าปูนเม็ดจากประเทศในแถบตะวันออกกลางมาทดลองผลิตในช่วงต้นปี จากนั้นในราวกลางปีทีพีไอจะสามารถผลิตปูนจากแหล่งวัตถุดิบในประเทศออกสู่ตลาดได้ ด้วยปริมาณการผลิตประมาณ 1 ล้านตันเศษในช่วงครึ่งปีหลัง

ทีพีไอจึงนับเป็นผู้ผลิตปูนรายใหม่เพียงรายเดียวที่พร้อมในการผลิตสินค้าออกสู่ตลาดมากที่สุด

ในขณะที่ผู้ผลิตปูนรายเก่าทั้ง 3 รายก็สามารถเดินเครื่องขยายกำลังการผลิตได้มากขึ้นตั้งแต่ปี 2535 เช่นเดียวกัน จากตัวเลขกำลังการผลิตของทุกค่ายที่ออกมากำลังการผลิตของปูนซีเมนต์ไทยจะเพิ่มขึ้นเป็น 12.80 ล้านตัน ปูนซีเมนต์นครหลวง 6.30 ล้านตัน และชลประทานซีเมนต์อีก 1.60 ล้านตัน รวมกำลังการผลิตทั้งหมด 20.70 ล้านตันเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ หลังจากปีนี้ไปแล้ว ด้วยเหตุนี้จึงมีการคาดการณ์กันว่าสถานการณ์การแข่งขันปูนซีเมนต์จากนี้ไปจะรุนแรงขึ้นอย่างแน่นอน

การฟ้องร้องที่เกิดขึ้นครั้งนี้ ถือเป็นคดีแรกที่มีการละเมิดเครื่องหมายการค้าในลักษณะนี้เกิดขึ้น เพราะที่ผ่านมาการละเมิดเครื่องหมายการค้าจะเป็นการฟ้องร้องเกี่ยวกับการเรียนแบบเครื่องหมายการค้าซึ่งจับเอา 2 ตัวมาเปรียบเทียบความเหมือนคล้ายกันโดยดูว่าอะไรคือสาระสำคัญของเครื่องหมายการค้าอันนั้น ดังนั้นในสายตาของนักกฎหมายแล้วกรณีนี้จำเลยน่าจะมีสิทธิ์ในการใช้เครื่องหมายการค้าดังกล่าวได้

"การฟ้องครั้งนี้อาจเป็นเรื่องของการกลัวว่าจะเสียภาพพจน์ของตัวเองว่ามีคนอื่นเหนือกว่า ซึ่งอาจมีผลเกิดขึ้นจริงหากมีการนำเครื่องหมายการค้านี้ไปใช้ เพราะระดับผู้รับเหมาแล้วไม่คิดอะไรมาก จุดนี้อาจเป็นจุดตัดที่ทำให้สินค้าเดิมนั้นตกไป เรื่องนี้จึงเป็นเรื่องการแข่งขันทางการค้ามากกว่า" นักกฎหมายผู้สัดทัดกรณีเกี่ยวกับคดีเครื่องหมายการค้าให้ข้อคิดเห็น

ในขณะที่บางคนมองลึกซึ้งไปกว่านั้นว่าการฟ้องร้องครั้งนี้เป็นเรื่องศักดิ์ศรีขององค์กรโดยเฉพาะของผู้นำที่ชื่อ สมเกียรติ ลิมทรง

เป็นเรื่องที่รู้กันอยู่ว่าสมเกียรติ ลิมทรงนั้นเป็นบุคคลหนึ่งที่มีบทบาทสำคัญต่อการวางรากฐานให้กับปูนซีเมนต์นครหลวงในยุคก่อตั้งนอกเหนือจากชวน รัตนรักษ์ และศุลี มหาสันทนะ โดยเฉพาะความสำเร็จของบริษัทแห่งนี้ในช่วงหลังจากการไปรับตำแหน่งรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีให้รัฐบาลเปรม 2 ช่วงต้นปี 2524 ของศุลี มหาสันทนะ อาจเรียกได้ว่าเป็นฝีมือของสมเกียรติโดยแท้ เพราะนับจากนาทีนั้นอาณาจักรปูนซีเมนต์นครหลวงก็ตกอยู่ภายใต้การบริหารของสมเกียรติแต่เพียงผู้เดียว

การทุ่มเทเวลาให้กับการทำงานอย่างหนักตลอดเวลาที่ผ่านมา จึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรหากสมเกียรติจะมีความรู้สึกหวงแหนและความผูกพันต่อองค์กรนี้เสมือนหนึ่งตนเองคือเจ้าของแต่เพียงผู้เดียว

เล่ากันว่าครั้งหนึ่งที่เกิดน้ำท่วมขึ้นมีการบริจาคปูนซีเมนต์จากปูนซีเมนต์นครหลวงในนามของ กฤตย์ รัตนรักษ์ ลูกชายของชวนซึ่งเป็นกรรมการคนหนึ่งของบริษัท แทนที่จะเป็นชื่อของ สมเกียรติ ลิมทรง จากปรากฏการณ์ตรงนี้นี่เองที่ทำให้พนักงานบางคนถึงกับตั้งข้อสังเกตว่า "กฤตย์กำลังต้องการที่จะเข้ามาเทคโอเวอร์การบริหารงานในปูนกลางแทนสมเกียรติ" ด้วยข้อสมมติฐานประการแรกจากการวิเคราะห์กันก็คือ ผลกำไรจากการเปรียบเทียบระหว่างปูนกลางกับแบงก์กรุงศรีอยุธยาปรากฏออกมาว่าปูนกลางนั้นมีศักยภาพในการทำกำไรได้มากกว่า

ประการที่สองในระยะหลัง ๆ นั้นสมเกียรติได้ริเริ่มในการเข้าไปลงทุนในธุรกิจแขนงอื่น ซึ่งเกี่ยวเนื่องกับแหล่งวัตถุดิบที่จำเป็นต่ออุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ไทยอย่างเช่นการลงทุนในเหมืองแร่ลิกไนต์ในนามของบริษัทลานนาลิกไนต์ โดยที่สมเกียรติเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ นอกจากน้ยังมีบริษัทอื่น ๆ อีก จุดนี้เองที่ทำให้หลายคนมองว่าสมเกียรติเริ่มสร้างอาณาจักรของตัวเองขึ้น เพื่อไว้เป็นที่หลบภัยจากอุบัติเหตุที่อาจจะเกิดขึ้นได้ในอนาคต

"ไม่น่าจะเป็นอย่างนั้นได้เพราะคุณชวน รัตนรักษ์รักคุณสมเกียรติเหมือนลูกคนหนึ่ง ซึ่งนอกเหนือจากความสนิทสนมในฐานะญาติแล้ว ความสามารถในการบริหารงานของสมเกียรติเหมือนลูกคนหนึ่งซึ่งนอกเหนือจากความสนิทสนมในฐานะญาติแล้ว ความสามารถในการบริหารงานของสมเกียรติยังได้รับความไว้วางใจจากชวนมาโดยตลอด จริงอยู่ที่คุณสมเกียรติไปลงทุนในธุรกิจอื่นเพิ่มขึ้น แต่ทั้งนี้ก็ได้มีการปรึกษากับคุณชวนและได้รับความเห็นชอบแล้วแล้วเรื่องที่จะไปแอบจัดตั้งบริษัทขึ้นคงเป็นไปไม่ได้แน่ ดังนั้นเรื่องที่ว่าคุณกฤตย์พยายามที่จะเข้าไปมีบทบาทในการบริหารที่ปูนกลาง จึงเป็นเรื่องที่จะเข้าไปมีบทบาทในการบริหารที่ปูนกลาง จึงเป็นเรื่องที่คนพูดมีเจตนาที่ไม่ค่อยดีนัก เพราะคนที่ถือหุ้นใหญ่ในปูนกลางก็คือครอบครัวรัตนรักษ์ การที่สมเกียรติสามารถบริหารปูนกลางให้มีผลกำไรยิ่งมากแค่ไหนผู้ที่ได้รับผลประโยชน์ก็คือ ผู้ถือหุ้นใหญ่เพราะฉะนั้นจึงไม่มีความจำเป็นที่ คุณกฤตย์จะต้องเข้าไปแทรกแซงอีกอย่างหนึ่งงานในเครือข่ายของแบงก์กรุงศรีก็มากพอที่จะทำให้คุณกฤยต์ไม่มีเวลาที่จะคิดในเรื่องเหล่านี้" อดีตลูกหม้อเก่าคนหนึ่งของปูนซีเมนต์นครหลวงให้ความเห็นอีกด้านหนึ่งที่ตรงข้ามกับข้อสังเกตที่บางคนตั้งสมมติฐานไว้

เช่นเดียวกับเรื่องเครื่องหมายการค้าตรานกอินทรี ที่มีคนเล่าว่าในสมัยที่ศุลียังเป็นกรรมการผู้จัดการของปูนซีเมนต์นครหลวงอยู่นั้น เขาพยายามที่จะผลักดันตราเพชรขึ้นเป็นเครื่องหมายของบริษัทเช่นเดียวกับเครื่องหมายการค้าตราช้างของปูนซีเมนต์ไทย หรือตราพญานาคของชลประทานซีเมนต์ ในขณะที่สมเกียรติพยายามดันตรานกอินทรีให้ขึ้นมา จนในที่สุดเมื่อหมดยุคของศุลี ตรานกอินทรีจึงก้าวขึ้นมาผงาดด้วยแรงผลักดันอย่างเต็มที่ของสมเกียรติ

"เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เข้าใจผิดกัน ความจิรงแล้วคนที่มีบทบาทในการผลักดันตรานกอินทรีคือ คุณชวนกับคุณศุลี งานทางสายการตลาดคุณสมเกียรติไม่ได้เข้าไปยุ่งด้วยปล่อยให้เป็นหน้าที่ของคุณศุลีซึ่งมีประสบการณ์จากการเป็นผู้จัดการฝ่ายขายของเอสโซ่มาก่อน อีกอย่างหนึ่งโดยทั่วไปเครื่องหมายของบริษัทมักจะถูกเลือกจากตราเครื่องหมายการค้าที่ได้รับความนิยมและเป็นสินค้าที่มีสัดส่วนการขายมากที่สุดนั่นคือจากปูนซีเมนต์ผสม และนี่คือเหตุผลที่ทำให้ผู้บริหารของปูนกลางเลือกที่จะใช้ตรานกอินทรีแทนที่จะเป็นตราเพชร ซึ่งใช้กับปูนซีเมนต์ปอร์ตแลนที่มีสัดส่วนการขายเพียง 20-30 % เท่านั้น และในอนาคตอาจจะได้เห็นการเปลี่ยนแปลงโลโก้ของบริษัทมาเป็นตราเพชร ทั้งนี้จากการสังเกตในระยะหลังมีการนำเพชรมาใช้เป็นองค์ประกอบในการโฆษณาสินค้าในเครือของปูนกลางเสมออย่างเช่นการโฆษณาสุขภัณฑ์กะรัต" อดีตลูกหม้อคนเดิมของปูนซีเมนต์นครหลวงชี้แจงพร้อมกับการตั้งข้อสังเกตเพิ่มเติมให้ด้วย

แต่อย่างไรก็ตามสมเกียรติก็ให้ความสำคัญกับการพัฒนาเครื่องหมายการค้ารูปนกอินทรีตัวนี้มาโดยตลอด จะสังเกตจากลักษณะของนกอินทรีในปัจจุบันได้เปลี่ยนแปลงไปจากนกอินทรีตัวเดิมมาก ทั้งนี้เป็นผลจากการเลือกของสมเกียรตินั่นเอง

ทีพีไอ โพลีนคิดอย่างไรกับการฟ้องร้องเรื่องเครื่องหมายการค้าครั้งนี้ นั่นเป็นคำถามที่ทุกคนอยากรู้

ประชัย เลี่ยวไพรัตน์ ประธานคณะเจ้าหน้าที่บริหารของทีพีไอ โพลีนกล่าวปฏิเสธถึงคำฟ้อง ที่ยังตกมาไม่ถึงบริษัท ดังนั้นการรับรู้เรื่องคดีที่เกิดขึ้นกับบริษัทจึงเป็นการรับรู้เรื่องคดีที่เกิดขึ้นกับบริษัทจึงเป็นการรับรู้จากข่าวที่ลงตีพิมพ์ในหน้าหนังสือพิมพ์เท่านั้น

"ผมยังไม่ได้รับคำฟ้องของเขา เห็นแต่หนังสือพิมพ์ลง ผมยังไม่รู้ว่าเรื่องมันเป็นอย่างไร เราไม่ได้เจตนา เรื่องโลโก้สินค้าของบริษัทเราให้ทางฝ่ายกฎหมายเป็นคนจัดการ โดยคอนเซ็บต์แล้วเราให้เขาไปจดหลาย ๆ อันแล้วมาเลือกกันในหมู่คณะกรรมการฝ่ายขายอีกทีว่าอันไหนจะเหมาะสมที่สุด" ประชัยพูดถึงเรื่องเครื่องหมายการค้าที่เขามอบหมายให้ฝ่ายกฎหมายเป็นคนไปดำเนินการ

และดูเหมือนว่าคดีฟ้องร้องครั้งนี้ไม่ได้สร้างความตื่นตระหนกหรือเป็นอุปสรรคต่อการที่ทีพีไอ โพลีนจะเดินหน้าในอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์เลยแม้แต่น้อย ประชัยกลับตอบว่า "ผมไม่กลัวเรื่องคดีฟ้องร้องหรอก ให้ศาลเป็นผู้พิจารณาก็แล้วกันจริง ๆ เรื่องนี้มันต้องสิ้นสุดที่กรมทะเบียน กรมทะเบียนยอมก็ยอมไม่ยอมก็จบ เราทำตามกฎหมาย ถ้ากฎหมายไม่ให้เราจะไปทำอะไรเขาได้ ถ้าเราได้จดเราก็มีสิทธิ์ใช้ก็เท่านั้นเอง"

เพราะก่อนหน้านี้ประชัยได้เผชิญอุปสรรคครั้งใหญ่ในการก่อสร้างโรงปูนใหม่ของทีพีไอ โพลีนมาแล้ว

"โรงปูนของเราอยู่ใกล้กับเขาแต่ไม่ได้ปูนจากเขา แต่เราก็ไม่ยอมน้ำตาตกในขณะเดียวกันกลับทำให้เรารู้สึกต้องฮึดสู้ โรงงานต้องสร้างช้ากว่าแผนที่กำหนดไว้ 4-5 เดือน คิดดูว่าเราต้องการใช้ปูนแสนกว่าตัน แต่เขาป้อนเราเพียง 75 ตันต่อเดือนอย่างนี้โรงปูนคงจะสร้างเสร็จได้ใน 100 ปีข้างหน้า ถือได้ว่าโรงงานนี้สร้างลำบากที่สุดในชีวิตของผม ผู้รับเหมาก็ไม่กล้ามารับงานโรงงานในขณะนั้น ด้วยทุกคนกลัวว่าจะถูกค่ายปูนยักษ์ใหญ่บีบด้วยการตัดโควตาเอเยนต์ปูนไม่มีใครกล้าพอที่จะขายปูนให้ ทำให้ทีพีไอ โพลีนต้องหันไปซื้อปูนจากองค์การคลังสินค้า" ประชัยเล่าถึงอุปสรรคในการก่อสร้างโรงปูนซึ่งถือเป็นความลำบากที่สุดในชีวิตตั้งแต่ทำธุรกิจมาก

และการที่ทีพีไอ โพลีนหันไปพึ่งปูนจากอคส. นี่เองที่ประชัยเชื่อว่าเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงระดับผู้ใหญ่ในอคส. ขึ้นจนมีผลทำให้ทีพีไอ โพลีนไม่ได้ปูน ในขณะเดียวกันกับที่มีข่าวออกมาว่าทีพีไอปิดท่าเรือไม่ยอมให้รถอื่นเข้าไปขนปูน ซึ่งเรื่องนี้ประชัยชี้แจงว่า

"ผมได้ปูนจากอคส. 600 ตันต่อเดือนในสมัยที่คุณพัลลภ ตันหยงมาศเป็นผู้อำนวยการ อคส. ท่ามกลางความไม่พอใจของคนในค่ายปูนเก่าหลังจากนั้นไม่นานก็มีการเปลี่ยนตัวผู้อำนวยการมาเป็นคุณพิพรรธน์ อินทรศัพท ปูนที่ผมซื้อไว้แล้วและจ่ายเงินแล้ว พอถึงวันนัดให้ไปเอาปูนของเรา 20 คันที่ไปรอเข้าคิวอยู่ตั้งแต่ก่อน 6 โมงเช้าจะทำอย่างไรออกก็ออก ไม่ได้ในขณะที่เห็นรถปูนของคนอื่นวิ่งแซงคิวไปรับปูนตลอดเวลา พวกคนขับรถก็เลยโมโหเอารถไปขวางเลยเกิดกลียุคในโกดังของเรา แล้วมาหาว่าเราปิดโกดัง ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าใครทำให้เกิดความไม่เป็นธรรมขึ้นในโกดังของผม ผมเคยไปหาท่าน รัฐมนตรีอมเรศท่านก็บอกว่าไม่รู้เรื่องเด็กมันทำกัน ผมก็ได้แต่หยวน ๆ ทน ๆ เอา"

ดังนั้นทางออกของทีพีไอ โพลีนก็คือการหันไปพึ่งตัวเองด้วยการนำปูนเข้ามาเองจากเกาหลีเหนือ จีนแดง จอร์แดน ตุรกี โรมาเนียและกลุ่มประเทศตะวันออกกลาง ซึ่งการนำเข้าปูนผงของทีพีไอ โพลีนในครั้งนี้ได้ส่งผลทำให้ราคาปูนในท้องตลาดขณะนั้นมีราคาลดลงจากเดิม

การสร้างโรงงานถือเป็นด่านแรกที่ประชัยฝ่าฟันจนเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาได้ และสิ่งที่ประชัยไม่เคยคิดมาก่อนก็เกิดขึ้นเมื่อทีพีไอ โพลีนต้องการจะไปจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าเพื่อใช้กับสินค้าที่กำลังจะผลิตออกสู่ตลาด แต่ปรากฏว่ามีการไปจดเครื่องหมายการค้ารูปสัตว์กันท่ากันจนหมด จนเรียกได้ว่าโรงปูนใหม่ไม่มีโอกาสจะเกิดในรูปสัตว์ได้อีกต่อไป

"ตอนนี้ไปดูซิตราอะไรต่ออะไรเยอะแยะไปหมด โดยเฉพาะสิงห์สาราสัตว์ เสือสิงกระทิงแรด จดทะเบียนกันจนหมด จะมีสักกี่ตัวที่ยังไม่ได้จด ผมอยากรู้จริง ๆ ผมรู้สึกน้อยใจเหลือเกินที่มาแกล้งกันแบบนี้ จะสร้างโรงงานปูนก็ถูกบีบจนแทบจะเกิดไม่ได้ เวลาจะไปจดทะเบียนก็ไปจดรูปสัตว์กันท่ากันจนหมด ในเมื่อจดรูปสัตว์ไม่ได้เราก็คิดว่าเรา จดไอ้ที่ไม่ใช่สัตว์ดู ก็เลยเป็นเรื่องของคนที่เราเอาคนก็เพราะว่าคนจะต้องอยู่เหนือสัตว์ในทุกวิถีทางอยู่แล้ว มีหลายคนช่วยกันคิดผมไม่มีเวลาเข้าไปยุ่งลำพังสร้างโรงงานผมก็ปวดหัวพออยู่แล้ว" ประชัยพูดถึงที่มาของการใช้ตราเป็นตัวชูโรงในเครื่องหมายการค้า

และนั่นเป็นทางออกธรรมดาที่ดูเหมือนไม่ธรรมดาของประชัยในฐานะผู้กุมบังเหียนของทีพีไอ โพลีน

ก่อนหน้าที่จะมีการแพร่ภาพเครื่องหมายการค้าตรานายพราน ตราสิงห์ และตราทาร์ซาน เป็นที่รู้กันในวงการปูนว่าตราที่ทีพีไอ โพลีน จะนำมาใช้กับปูนซีเมนต์คือตราพระอาทิตย์เพราะที่ผ่านได้มีการนำออกมาใช้บ้างแล้วกับรถขนปูน หรือกับแพลนท์คอนกรีตผสมเสร็จของทีพีไอ โพลีน นอกจากนี้ในส่วนอื่นอย่างเช่นถุงปูนหรือป้ายหน้าร้านวัสดุก่อสร้างก็ได้มีการพิมพ์หรือจัดทำเรียบร้อยแล้ว แต่วันดีคืนดีก็มีคำสั่งจากผู้บริหารของทีพีไอว่าให้ยกเลิกการใช้ตราพระอาทิตย์

ซึ่งเรื่องนี้แหล่งข่าวในทีพีไอบอกว่า "ได้รับคำชี้แจงแต่เพียงคร่าว ๆ จากผู้ใหญ่ว่าตราพระอาทิตย์ที่เราจะนำมาใช้นี้บังเอิญไปซ้ำกับตราสินค้าในเครือของปูนซีเมนต์ไทย" จากการสอบถามไปยังฝ่ายขายขายวัสดุก่อสร้างของปูนซีเมนต์ไทยก็ได้รับคำชี้แจงว่าตราพระอาทิตย์เป็นเครื่องหมายการค้าของปูนซีเมนต์ไทยที่ใช้กับกระเบื้องมุงหลังคา ซึ่งมีมานานแล้ว แต่สินค้าตัวนี้มีลักษณะพิเศษคือขายเข้าโครงการโดยเฉพาะ จะไม่มีวางขายในร้ายวัสดุก่อสร้างดังนั้นตรานี้จึงมีคนรู้จักอยู่เฉพาะกลุ่มเท่านั้น

เมื่อแผนที่เตรียมไว้ต้องยกเลิกอย่างกะทันหัน ประชัยจึงตัดสินใจที่จะใช้ตราทีพีไอกับสินค้าประเภทปูนซีเมนต์ทุกชนิดรวมถึงคอนกรีตผสมเสร็จ นอกเหนือจากเม็ดพลาสติกที่รู้จักกันเป็นอย่างดีแล้ว และนี่คือ GOODWILL ที่ประชัยมั่นใจว่าจะเป็นตัวผลักดันให้ปูนซีเมนต์ของบริษัทประสบผลสำเร็จเช่นเดียวกับผลิตภัณฑ์เม็ดพลาสติก

ถ้ามองจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลายคนมองว่าทีพีไอโพลีนกำลังท้ารบกับปูนซีเมนต์นครหลวงแต่สำหรับคนวงในที่รู้เรื่องดีจะไม่คิดเช่นนั้น เพราะเป้าหมายที่แท้จริงของทีพีไออยู่ที่ปูนซีเมนต์ไทย

การที่ปูนซีเมนต์ไทยรุกเข้ามาในธุรกิจปิโตรเคมีซึ่งทีพีไอเป็นผู้บุกเบิกและเป็นผู้นำชนิดผูกขาด ทำให้ประชัยจำเป็นตัดสินใจก้าวเข้าสู่อุตสาหกรรมปูนทั้งนี้เพื่อเป็นการตอบโต้การเข้ามาของปูนซีเมนต์ไทย

แต่การที่ทีพีไอ โพลีนจะออกมาตอบโต้กับปูนซีเมนต์ไทยด้วยศักยภาพที่มีอยู่ขณะนี้นั้นคงเป็นเรื่องที่ลำบากอยู่ไม่น้อย เพราะแม้แต่ปูนซีเมนต์นครหลวงซึ่งอยู่ในตลาดมานานมากว่า และมีความก้าวขึ้นมาทัดเทียมกับปูนซีเมนต์ไทยได้เลย

ดังนั้นปูนกลางจึงเปรียบเสมือนบันไดที่จะให้ทีพีไอ โพลีนไต่ขึ้นไปเพื่อรอวันชิงแชมป์กับปูนใหญ่ส่วนชลประทานซีเมตน์นั้น แทบไม่ต้องพูดถึงเพราะยิ่งนับวันก็จะเล็กลงด้วยกำลังการผลิตเมื่อเทียบกับค่ายปูนใหม่ที่กำลังจะเข้ามาโดยเฉพาะกับ ทีพีไอ โพลีน

"เมื่อจะร่นปีเพื่อให้ถึงกลุ่มเป้าหมายไว้ขึ้นก็ต้องตีคนที่เปราะที่สุดนั่นคือปูนกลาง โดยเฉพาะนโยบายที่ไม่คงเส้นคงวาของปูนกลาง อย่างเช่นการให้ส่วนลดกับร้านค้า เวลาขายได้ดีปูนกลางก็จะให้ส่วนลดเต็มที่ และส่วนลดที่ให้ก็ไม่มีจำกัดเวลาพอถึงเวลาขายดีขึ้นก็กระตุกส่วนลดกลับ อะไรที่รับปากไว้ก็ได้ไม่สม่ำเสมอพร้อมมีจะมีคำสั่งอะไรแปลก ๆ ออกมาได้ และบุคลากรสายการตลาดการแสวงหาผลประโยชน์ร่วมกับตัวแทนจำหน่ายค่อนข้างมากกลายเป็นจุดเปราะ ซึ่งเป็นเรื่องที่เขาจะต้องรีบแก้ไข ถ้าเทียบกับปูนใหญ่แล้วส่วนลดที่ให้กับลูกค้าจะให้อย่างสมน้ำสมเนื้อและคงเส้นคงวา ถึงแม้ว่าตลาดจะตึงตัวหรือขาดแคลน ส่วนลดก็ยังให้ ไม่ถือโอกาสดึงส่วนลดกลับเมื่อเกิดการขาดแคลนปูน เช่นเดียวกับระบบโควตา ปูนใหญ่สามารถอธิบายอย่างชัดเจนได้ ไม่มีใต้โต๊ะ ไม่มีนอกไม่มีในต่างกับบริษัทอื่นที่ตัดโควตาโดยไม่มีเหตุผลว่าทำไมเหลือเท่านี้เคยได้ 2,000 ตันกลับเหลือเพียง 500 ตันในขณะที่บางร้านค้าเคยอยู่ 200-300 ตันกลับได้เพิ่มเป็น 1,000 ตัน มันมาได้อย่างไรจ่ายใต้โต๊ะหรือ คำครหาเหล่านี้เกิดขึ้นพร้อมกับความโกรธแค้นของลูกค้า" อดีตลูกหม้อเก่าคนหนึ่งของปูนซีเมนต์นครหลวงเล่าถึงจุดอ่อนที่ไม่เคยได้รับการแก้ไขของปูนกลางเปรียบเทียบกับจุดแข็งของปูนใหญ่

เรื่องเครื่องหมายการค้าจึงถูกมองว่าเป็นเพียงหมัดแย็บก่อกวนเล็ก ๆ น้อย ๆ ของทีพีไอเท่านั้น

ปูนซีเมนต์นครหลวงเองก็คงรู้เป้าหมายของทีพีไอเป็นอย่างดี การฟ้องร้องจึงถือเป็นการสกัดกั้นการรุกของทีพีไอ โพลีนได้ในระดับหนึ่ง

ประการแรกนั้นทีพีไอจะไม่สามารถนำเครื่องหมายการค้าทั้ง 3 ตราไปใช้ได้จนกว่าคดีความจะจบสิ้นลง ซึ่งอาจจะใช้ระยะเวลานาน 1-2 ปี กรณีนี้จะส่งผลโดยตรงต่อการวางตลาดสินค้า หากทีพีไอต้องการจะใช้โลโกนี้จริง

ประการที่สองเมื่อการฟ้องร้องถูกเปิดเผยต่อสาธารณชนจะส่งผลโดยตรงถึงภาพพจน์ของทีพีไอในฐานะของผู้ระราน

ในขณะที่ประชัยมีความเชื่อโดยส่วนตัวว่า "เป็นรายการดุจนกให้เป็นพัพหน้ามาจิกก่อน ถ้าทัพหน้าแพ้ทัพหลังคือช้างค่อยตามมาเหยียบซ้ำอีกทีหนึ่ง ทั้งนี้เพราะเป็นการฟ้องแบบไม่ได้คิด เขามีสิทธิอะไรมาฟ้องผม ผมยังไม่ได้ใช้อยู่ระหว่างการขอ มาฟ้องได้อย่างไร"

คดีนี้คงยังมีจบลงง่าย ๆ

คู่นี้อาจเป็นคู่ชกที่คนในวงการปูนมองว่าค่อนข้างจะสูสีกันโดยเฉพาะบุคลิกลักษณะของผู้นำองค์กร ทั้งสมเกรียติและประชัยมีอะไรที่คล้ายคลึงกันหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นภูมิหลังดั้งเดิมของครอบครัวที่มาจากลูกพ่อค้าข้าวเหมือนกัน ทำงานหนักเหมือนกัน วุฒิการศึกษาสูงไม่น้อยหน้ากัน และเป็นคนที่มองว่า AGGRESSIVE เหมือน ๆ กัน โดยเฉพาะต่างคนต่างมีความรู้สึกในความเป็นเจ้าของเหมือนกันไม่ใช่อยู่ในฐานะลูกจ้างของบริษัท ดังนั้นการตัดสินใจจึงอยู่บนพื้นฐานของความเป็นเจ้าของที่สามารถทุกโต๊ะสั่งได้ ซึ่งต่างจากปูนใหญ่และปูนเล็กที่ไม่มีใครสามารถพูดได้ว่าตัวเองนั้นคือเจ้าของ

"ตั้งแต่ปี 2535 เป็นต้นไปถ้าการลงทุนในภาคเอกชนไม่ขยายตัวเหลือแต่ภาคราชการการแข่งขันในตลาดปูนจะกลับมาอีกเหมือนปี 2524 ที่เกิดภาวะปูนขาดพอปี 2525 ตลาดเริ่มคลายตัว ต่อจากปี 2526 จนถึงปี 2529 รบกันมาตลอด แต่สถานการณ์การรบกันในสินค้าประเภทอุตสาหกรรมอาจไม่รุนแรงเหมือนสินค้าอุปโภคบริโภค แต่การผูกขาดจาก 3 ราย มาเป็นนับ 10 รายมันจะดุเดือดขึ้น เพราะโรงงานแต่ละโรงแม้แต่โรงปูนเล็กก็ต้องใช้เงินลงทุนเป็น 100 ล้านขึ้นไป คงไม่มีใครยอมให้เงิน 100 ล้านละลายไปง่าย ๆ คงต้องสู้กันสุดฤทธิ์" แหล่งข่าวในวงการปูนวิเคราะห์ถึงสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นจากนี้ต่อไป

ความเปลี่ยนแปลงที่เป็นเครื่องยืนยันได้อย่างชัดเจนขณะนี้คือการที่สายการตลาดของปูนทุกค่ายเริ่มวิ่งเข้าหาลูกค้ามากขึ้น ๆ จากเดิมที่เมินเฉยมาตลอด 2 ปี ไม่พยายามพบลูกค้าเพราะทำอะไรไม่ได้ในสถานการณ์ที่ปูนขาด โดยเฉพาะไม่สามารถให้คำตอบกับลูกค้าได้

การที่ทีพีไอ โพลีนเป็นโรงงานปูนที่สร้างขึ้นใหม่ดังนั้นจึงมีความได้เปรียบในการเลือกใช้เครื่องจักรที่มีเทคโนโลยีในการผลิตที่ทันสมัยมากกว่าเมื่อเทียบกับโรงงานปูนเดิมที่มีอยู่ โดยเฉพาะการควบคุมระบบเครื่องจักรด้วยคอมพิวเตอร์และอัตโนมัติซึ่งจุดนี้นี่เองที่ทำให้ประชัยมั่นใจว่าคุณภาพปูนซีเมนต์ของทีพีไอที่จะทำการผลิตออกมาจะไม่มีคำว่าปูนสุก ๆ ดิบ ๆ เป็นอันขาด

และนั่นถือเป็นจุดขายสำคัญของทีพีไอที่ประชัยวางไว้

ประชัยฉลาดพอที่จะทดสอบตลาดพร้อมไปกับการสร้างเอเยนต์ด้วยการนำเข้าปูนผงจากฟัลคอนซีเมนต์ผ่านทางแหลมฉบับมาป้อนให้กับลูกค้าในภาคตะวันออกและกทม. ประมาณวันละ 2,000 ตัน

การที่ทีพีไอขายก่อนและค่อยรุกไปที่ส่วนการผลิต เป็นการฉกฉวยโอกาสทางการตลาดและสร้างตัวเองขึ้นมาในระบบการจัดจำหน่าย ในขณะที่โรงปูนรายอื่นเริ่มต้นจากการผลิตไม่หาช่วงจังหวะที่จะออกตลาด ทำให้สูญเสียโอกาสเมื่อถึงวันที่คู่แข่งอย่างทีพีไอออกมา

ตลาดหลักของปูนซิเมนต์จะขายผ่ายดีลเลอร์ซึ่งใหญ่ประมาณ 70-80 % ในขณะที่ตลาดราชการมีไม่ถึง 5 % เพราะฉะนั้นตลาดหลักของทีพีไอก็หนีไม่พ้นการพึ่งพาดีลเลอร์เช่นเดียวกับค่ายปูนทั้ง 3 แห่ง

นอกจากนี้กลุ่มลูกค้าที่เคยเจ็บช้ำน้ำใจจากปูนซีเมนต์รายใหญ่ทั้ง 3 ราย ในกรณีที่ไม่ส่งปูนซัพพอร์ตให้ในช่วงที่ผ่านมาอย่างเช่นกลุ่มผู้รับเหมาหรือกลุ่มผู้ผลิตวัสดุก่อสร้าง ก็เป็นเฃป้าหมายสำคัญทางการตลาดอีกกลุ่มหนึ่งของทีพีไอที่มีปริมาณมากถึงครึ่งต่อครั้งกับที่พอใจปูนเก่า

ปัจจุบันทีพีไอมีลูกค้าซึ่งเป็นผู้ผลิตวัสดุก่อสร้างประมาณ 40 รายในเขตภาคกลางและภาคตะวันออก ส่วนดีลเลอร์มีประมาณ 100 แห่งทั่วประเทศ

"เราให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าคู่แข่งแน่นอนอยู่แล้ว เขาให้เท่าไรเราต้องให้ดีกว่าเขา เพราะเราเป็นปูนมาใหม่ เราเสียเปรียบคู่แข่งในตลาดอยู่แล้ว" ประชัยกล่าวถึงผลตอบแทนที่จะให้กับลูกค้าที่ต้องการจะมาเป็นดีลเสาร์ของทีพีไอ

แหล่งข่าวที่คร่ำหวอดในวงการปูนวิเคราะห์ให้ฟังถึงการเข้ามาของทีพีไอว่า "ทีพีไอเริ่มต้นอาจน่ากลัวเพราะเขามาจากธุรกิจ ที่เป็นอุตสาหกรรมยุคเริ่มต้นเหมือนกันคือเม็ดพลาสติกและเป็นธุรกิจที่ค่อนข้างผูกขาดเหมือนกัน เป็นไปได้ถ้าทีพีไอจะเอากลยุทธ์การตลาดแปลก ๆ ในวงการคอนซูเมอร์มาใช้ เพราะคุณประชัยเป็นคนที่ AGGRESSIVE ถ้าตัดสินใจออกมาในเชิงที่แปลกแหวกแนวกว่าปูนซีเมนต์ที่ทำอยู่ นั่นเป็นความน่ากลัวที่จะเกิดขึ้นอย่างเช่น การทุ่มเทส่วนลดเต็มที่ขณะที่ส่วนลดตลาดปูนตันละ 20-30 บาท ถ้าทีพีไอออกมาให้ 70-100 บาทคือทำเอาแค่เท่าทุนหรือกำไรแค่พอเลี้ยงพนักงานได้โดยไม่ถือว่าธุรกิจนี้จะต้องเป็นธุรกิจ ที่ทำกำไรให้สูง แต่เป็นธุรกิจที่จะใช้ตอบโต้ ถ้าเป็นอย่างนี้ อุตสหกรรมนี้ปั่นป่วนเหมือนกัน"

ตรงกับที่ประชัยให้สัมภาษณ์ถึงการฝ่าวงล้อมจากแรงบีบที่อาจเกิดขึ้นว่า "จริง ๆ ตั้งแต่ผมทำธุรกิจมาผมไม่เคยเปิดศึกกับใคร ส่วนมากผมจะสร้างแนวร่วมแม้แต่ทำข้าว ถ้าไม่บีบ ผมจนเกินไป ผมมีแนวร่วมเสมอ แต่ถ้าบีบผม ๆ ก็สู้ตายเหมือนกัน ในโลกนี้ผมไม่เคยกลัวใครเลย ไม่ใช่อะไรต้นทุนมันก็เท่าๆ กันคุณทุ่มได้ผมก็ทุ่มได้ทำไมผมจะต้องกลัวคุณ อย่างตอนนี้ผมผลิต 2 ล้านตันในขณะที่คนอื่นผลิตเกือบ 10 ล้านตัน ผม 2 คุณ 120 ผม1 คุณ 5 ผมขาดทุน 100 บาท คุณกำไร 500 บาท ถึงเวลาเจ็บใครเจ็บมากกว่ากัน เพราะอย่างไรเสียทีพีไอก็ต้องเกิดให้ได้ ผมต้องขายของผม 2 ล้านตันให้หมดในช่วงแรกและ 10 ล้านตันในเป้าหมายอีก 5 ปี ข้างหน้า

และนี่อาจะเป็นเหตุผลสำคัญอย่างหนึ่งที่ทำให้ค่ายปูนเก่าทั้ง 3 แห่งพยายามที่จะสกัดกั้นการเกิดของทีพีไอ แต่ดูเหมือนการกระทำเหล่านั้นจะกลายเป็นการสอนให้ทีพีไอรู้จักบทเรียนในการเอาตัวรอดหากคิดจะอยู่ในวงการปูนซีเมนต์ต่อไป

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us