30 พฤศจิกายน 2534 เป็นวันที่ห้างสรรพสินค้าตั้งฮั่วเส็งสาขา 2 ที่ธนบุรีเปิดตัวอย่างเป็นทางการ
และกลายเป็นก้าวย่างสำคัญที่ห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่จะต้องจับตามองต่อการขยายตัวของห้างขนาดกลางแห่งนี้
ย้อนหลังไปเกือบ 30 ปี ตั้งฮั่วเส็งเริ่มต้นจากการเป็นร้านจำหน่ายอุปกรณ์เย็บปักถักร้อยที่มีพื้นที่ขายเพียงตีก
2 คูหาในละแวกบางลำพู ซึ่งในขณะนั้นมีคู่แข่งที่อยู่ในธุรกิจเดียวกันอีก
2 รายคือห่วงเส็ง (ปัจจุบัน คือห้างสรรพสินค้าบางลำภู) และร้านเอี่ยมอาภรณ์
ความพยายามที่จะนำสิ่งแปลกใหม่เข้ามาในร้านพร้อมด้วยกลยุทธ์การสอนให้กับลูกค้ากลายเป็นจุดเด่นที่สร้างความแตกต่าง
จนทำให้ตั้งฮั่วเส็งประสบผลสำเร็จในเวลาต่อมา
"ช่วงนั้นทุกคนขายไหมปักเส้นเล็ก เราทดลองเอาไหม เส้นใหญ่เข้ามาพร้อมกับการนำเอาผ้าปักครอสติชเข้ามาสาธิตโดยการสอนให้ลูกค้าพร้อมกับการออกหนังสือลายปักด้วย"
จริยา จุนประทีปทอง ผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อต่างประเทศ พูดถึงจุดเริ่มต้นที่ทำให้แผนกเย็บปักถักร้อยของตั้งฮั่วเส็งได้รับความนิยมจากลูกค้า
จากชื่อเสียงในจุดนี้เองที่ทำให้ผู้บริหารของตั้งฮั่วเส็งตัดสินใจที่จะขยายธุรกิจออกไปดังนั้นในปี
2520 ตั้งฮั่วเส็งจึงได้ขยายกิจการด้วยการเปิดแผนกซุปเปอร์มาเก็ตขนาดเล็กขึ้นจากนั้น
ได้พัฒนาขึ้นเป็นห้างสรรพสินค้าขนาดกลาง มีสินค้าจำหน่ายมากประเภทเช่นเดียวกับห้างขนาดใหญ่
เช่น สินค้า ซุปเปอร์มาร์เก็ต เครื่องแต่งกายชาย-หญิง เครื่องหนัง เครื่องสำอาง
เครื่องกีฬา เครื่องเขียน เครื่องไฟฟ้า และเสื้อผ้าเด็ก เป็นต้น
การขยายตัวของตั้งฮั่วเส็งในช่วงเวลานั้นเป็นเวลาไร่เรี่ยกับที่ย่านบางลำพูได้รับการพัฒนาขึ้นเช่นเดียวกัน
การเกิดของห้างสรรพสินค้านิวเวิลด์ แก้วฟ้าหรือบางลำภูสรรพสินค้าเป็นสิ่งที่ชี้ให้เห็นอย่างเด่นชัด
ถ้าเปรียบเทียบกันแล้ว ตั้งฮั่วเส็งค่อนข้างจะเสียเปรียบในเรื่องของขนาดพื้นที่ขายซึ่งมีน้อยกว่าเมื่อเทียบกับห้างอื่น
ๆ ในละแวกเดียวกัน แต่ตั้งฮั่วเส็งก็สามารถพลิกสถานการณ์จนกระทั่งประสบความสำเร็จจากยอดขายที่เพิ่มขึ้นทุกปี
ซึ่งในปีที่ผ่านมายอดขายตกประมาณ 1,200 ล้านบาทเป็นยอดที่เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้านั้นถึง
20 %
กลยุทธ์สำคัญที่ทำให้ตั้งฮั่วเส็งประสบกับความสำเร็จหากพิจารณาแล้วมีอยู่
2 ประเด็นคือการตั้งราคาขายสินค้าต่ำกว่าคู่ต่อสู้ และการให้ส่วนลดสินค้ากับสมาชิก
15 %
วิโรจน์ จุนประทีปทอง กรรมการรองผู้จัดการของตั้งฮั่วเส็งเล่าให้ฟังถึงที่มาของราคาสินค้าที่ต่ำกว่าคู่แข่งอื่น
รวมถึงเหตุผลที่ว่าทำไมถึงลดได้ถึง 15 % ว่า "เป็นเพราะค่าใช้จ่ายของเราต่ำ
ซึ่งต้องพูดถึงตั้งแต่เริ่มต้นคือเรามีเงินทุนสามารถสู้ในระยะยาวได้ เมื่อเริ่มทำผมเริ่มออกทีวีเป็นชุด
เริ่มที่ราคาตั้งฮั่วเส็งเมื่อสักปี 2529 หลังจากนั้นก็ไม่เคยใช้เงินทางทีวีเลย
เมื่อเทียบกับห้างอื่น ๆ ในแต่ละปีใช้งบมาก 10-20 ล้านบาท ผมเอาเงินส่วนนี้มาให้กับลูกค้า
อีกอย่างหนึ่งผมว่าผมคงเป็นห้างแรกที่ใช้เงินสดซื้อของในซูปเปอร์มาร์เก็ต
เราเพียงแต่ถามซัพพลายเออร์ว่าหนึ่งวันราคาส่วนลดเท่าไร สามวันลดเท่าไร เจ็ดวันส่วนลดเท่าไร
หรือยี่สิบเอ็ดวันส่วนลดเท่าไร
มีอยู่ช่วงหนึ่งที่นมขาดแคลนพอดีผมรู้เรื่องว่านมจะเปลี่ยนน้ำหนักจากปอนด์มาเป็นกรัม
ซึ่งต้องใช้เวลาถึงสองเดือน จากนั้นผมก็เลยสต็อกไว้ สมัยนั้นจำได้ว่าผมสั่งนมของดีทแฮล์ม
เดือนหนึ่งประมาณ 167,000 บาท เป็นยอดที่สูงมาก เราต้องสต็อกนมถึงกว่า 2
ล้านบาท หลังจากนั้นประมาณเดือนกว่านมก็ขาดแคลนทั่วประเทศ มีที่เดียวที่ตั้งฮั่วเส็งแถมยังลดราคาให้ลูกค้าอีกด้วย
และแทนที่ลูกค้าจะซื้อนมเพียงอย่างเดียวในขณะที่ของอื่นถูกเขาทำไมจะไม่ซื้อนั่นคือสิ่งที่ทำให้ตั้งฮั่วเส็งเริ่มมีลูกค้ากลุ่มอื่นเข้ามาและเขาเริ่มรู้ราคาของเรา
อีกอย่างผมมีการเอาสินค้าไปคาราวานที่แบงก์ชาติที่ซอยสุรเสนาข้างธนาคารกรุงเทพ
ก็ได้ลูกค้าระดับหนึ่งที่รู้ว่าราคาเราถูกเข้ามา"
ที่ผ่านมาตั้งฮั่วเส็งพยายามเล่นกับสมาชิกตลอดเวลาด้วยกิจกรรมในหลาย ๆ
โอกาสโดยเฉพาะช่วงเทศกาล ตรงนี้เป็นจุดที่ทำให้จำนวนสมาชิกเพิ่มขึ้นเรื่อย
ๆ จนถึงปัจจุบันตั้งฮั่วเส็งมีสมาชิกประมาณ 100,000 ราย
แผนกที่รายได้ให้กับตั้งฮั่วเส็งที่ผ่านมาจะแบ่งออกเป็น 2 ส่วนคือส่วนของซูปเปอร์มาร์เก็ตจะมีส่วนแบ่งประมาณ
30 % อีก 70 % ที่เหลือเป็นส่วนของดีพาร์ทเมนท์ ซึ่งยอดขายเสื้อผ้ามาเป็นอันดับหนึ่งรองมาคือเครื่องใช้ไฟฟ้าเครื่องเขียน
และแผนกเย็บปักถักร้อยซึ่งเป็นธุรกิจดั้งเดิมจะมีสัดส่วนรายได้อยู่ประมาณ
10 %
"เมื่อประมาณ 7-8 ปีก่อน รายได้จากยอดขายจากแผนกเย็บปักถักร้อยสามารถเลี้ยงทั้งห้างได้เลยเพราะยอดขายของแผนกอื่นขณะนั้นต่ำ
แต่ปัจจุบันรายได้ในส่วนนี้จะลดลงเป็นเพราะในระยะหลังนี้เมืองไทยเริ่มมีโรงงานผลิตเส้นด้ายไหมพรมมากขึ้น
ประกอบกับตลาดต่างจังหวัดซึ่งเป็นตลาดขายส่งใหญ่ของตั้งฮั่วเส็งแต่เดิมเริ่มหดตัวลงเพราะหันไปใช้สินค้าที่มีคุณภาพลดลง
ในขณะที่ตั้งฮั่วเส็งเป็นตัวแทนนำเข้าเส้นด้ายไหมพรมที่มีคุณภาพจากต่างประเทศ
ราคาจึงค่อนข้างสูงกว่า" วิโรจน์พูดถึงรายได้ที่หดตัวลงของกิจการดั้งเดิมของตั้งฮั่วเส็ง
ถ้าแม้ว่าสถานการณ์ของห้างจะเปลี่ยนแปลงไปก็ตามแต่แผนกเย็บปักถักร้อยก็ยังถือว่าเป็นหัวใจสำคัญของตั้งฮั่วเส็งเพราะที่ผ่านมา
ผู้บริหารของตั้งฮั่วเส็งพยายามพัฒนาสินค้าและกิจกรรมของแผนกนี้ให้เติบโตขึ้นอย่างสม่ำเสมอ
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือการเดิมทางไปหาแนวความคิดทางด้านงานฝีมือรวมทั้งวัสดุอุปกรณ์ใหม่
ๆ ในต่างประเทศเข้ามาเสริม จากเดิมที่มีเฉพาะทางด้านงานเย็บปักถักร้อย ก็เพิ่มเป็นงานฝีมืออย่างเช่นงานปั้นที่ทำจากแป้งขนมปังหรือจากดินเยื่อกระดาษหรือของใช้ที่ทำจากดินไมเนทต้า
ที่สำคัญในช่วง 5-6 ปีที่ผ่านมาตั้งฮั่วเส็งพยายามที่จะโปรโมตธุรกิจในแผนกนี้ด้วยการขยาย
OUTLET จากเดิมที่มีแต่เฉพาะในตั้งฮั่วเส็งออกไปยังห้างสรรพสินค้าอื่น จนถึงปัจจุบันแผนกนี้ได้ขยายสามารถออกไปในห้างสรรพสินค้าต่าง
ๆ กว่า 10 แห่ง (รวมทุกสาขาของห้าง) คือไทยไดมารู เดอะมอลล์ โซโก้ เมอร์รี่คิงส์
อิมพิเรียล และเวลโก
สำหรับการเปิดสาขาใหม่ที่ธนบุรี ทางผู้บริหารของตั้งฮั่วเส็งได้ให้ความสำคัญกับแผนกเย็บปักถักร้อยอย่างเต็มที่
จากพื้นที่การขายที่มีถึง 2,260 ตารางเมตร ทั้งนี้เพื่อให้เป็นแผนกเย็บปักถักร้อยที่ใหญ่และครบวงจรที่สุดในประเทศไทย
รวมถึงการมีแผนกตัดเย็บในบริเวณเดียวกันด้วย
ถึงวันนี้การพัฒนาแผนกเย็บปักถักร้อยของตั้งฮั่วเส็งได้ก้าวมาถึงขั้นที่สองแล้วจากขั้นแรกที่สอนลูกค้าทั่วไปให้เรียนพวกงานเย็บปักถักร้อยง่าย
ๆ ซึ่งเรียกว่า "ร้อยเข็ม" ขั้นนี้จะเป็นการสอนฟรี ส่วนขั้นที่สอง
"ร้อยเรียง" จะสอนงานฝีมือที่อย่ากขึ้นมาอีกระดับหนึ่งซึ่งในขั้นนี้ลูกค้าจะเสียค่าใช้จ่ายในการเรียนด้วย
ส่วนขั้นที่สามคือการตั้งเป็นโรงเรียนหรือสถาบันการสอนซึ่งถือว่าเป็นการพัฒนาขึ้น
มาในระดับสูงสุดอันเป็นเป้าหมาย สำคัญที่ผู้บริหารของตั้งฮั่วเส็งวางไว้ในอีก
2 ปีข้างหน้าควบคู่ไปกับการเข้าสู่อุตสาหกรรมผลิตวัตถุดิบที่ใช้ในงานด้านนี้อย่างเช่น
เส้นด้ายไหมพรม รวมถึงการประดิษฐ์งานฝีมือออกมาในรูปแบบลวดลายที่เป็นเอกลักษณ์ของห้างเองอีกด้วย