|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
เป็นเวลาหลายปีที่ บมจ.ปตท. (PTT) ติดอันดับ 1 ในบรรดา 100 บริษัทในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยที่ทำรายได้มาก ที่สุด (อันดับ Manager 100) ไม่ว่าจะมองในแง่รายได้ กำไร หรือมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด
สำหรับปี 2552 “ปตท.” มีรายได้กว่า 1.6 ล้านล้านบาท กำไรเกือบ 6 หมื่นล้านบาท ขณะที่ Market Cap. มีขนาดใหญ่เกือบ 7 แสนล้านบาท ถือเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่ใหญ่ที่สุด คิดเป็น 11.87% ของมูลค่าตลาดหลักทรัพย์ฯ ตามราคาตลาด
หากรวมบริษัทในกลุ่ม ปตท.ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ แล้วจะมีมูลค่ากว่า 1.5 ล้านล้านบาท เป็นร้อยละ 26.74 หรือกว่า 1 ใน 4 ของมูลค่าตลาดหลักทรัพย์ฯ ตามราคาตลาด
หลังจากปรากฏตัวย่อ “PTT” บนกระดานหุ้นครั้งแรกในปี 2544 ตลาดหลักทรัพย์ฯ ก็เริ่มดูคึกคักมากเป็นพิเศษนับแต่นั้น กระทั่งมีการแยกหมวดพลังงานและสาธารณูปโภคออกมาจากหมวดเหมืองแร่
ผลการดำเนินงานของ บมจ.ปตท. และบริษัทในเครือทั้ง 6 แห่งที่ลิสต์ในตลาดหลักทรัพย์ฯ โดยเฉพาะกำไร ถือเป็นตัวกระตุ้นความน่าสนใจของหุ้น PTT ได้ดี โดยไตรมาส 1 ปี 2553 ปตท.มีกำไรสุทธิจำนวน 23,021 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาส 1 ปีที่แล้ว จำนวน 15,572 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 209%
แม้ ปตท.จะถือเป็นรัฐวิสาหกิจ แต่ภายหลังแปรรูปเป็นบริษัทมหาชน กำไรสูงสุดก็กลายเป็นเป้าหมายหนึ่งที่ใช้วัดมาตรฐานความเป็นองค์กรแห่งความเป็นเลิศของ ปตท. และบริษัทในเครือที่เข้าตลาดฯ
ขณะเดียวกันคาดการณ์ราคาน้ำมัน ที่นักวิเคราะห์มองว่า ราคาพลังงานจะเดินหน้าแพงขึ้นเรื่อยๆ จนอาจไม่มีวันเห็นน้ำมันดิบในราคาที่ต่ำกว่าบาร์เรลละ 70 ดอลลาร์ (โดยเฉลี่ย) รวมถึงคาดการณ์ราคา และความต้องการผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีของโลกที่มีแนวโน้มสูงขึ้น ก็ถือเป็นข่าวดีที่ช่วยกระตุ้นความน่าซื้อให้กับ PTT
อีกทั้งข่าวความเคลื่อนไหวที่เป็นก้าวสำคัญในอนาคตของเครือ ปตท. โดยเฉพาะข่าวการควบรวมกิจการบริษัทลูกในกลุ่มธุรกิจปิโตรเคมีและการกลั่น ซึ่งน่าจะประกาศได้ราวเดือนมิถุนายน และข่าวการอนุมัติแผนกู้เงินร่วม 8 หมื่นล้านบาท ภายในช่วง 5 ปีและข่าวแผนการลงทุน 5 ปี (2553-2557) ที่มีวงเงินรวมกว่า 2.4 แสนล้านบาท น่าจะสร้างความเย้ายวนให้หุ้น PTT ได้เป็นอย่างดี
ด้วยขนาดของกลุ่มและเม็ดเงินลงทุนก้อนโตของเครือ ปตท. ตลาดหุ้นไทยจึงมักมีสีสันทุกครั้งที่มีการขยับจนถึงกับมีวลีเด็ดในตลาดหุ้นไทยที่ว่า “ปตท.ขยับ เศรษฐกิจเขยิบ”
ย้อนกลับไปปี 2521 “การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย” หรือ “ปตท.” ก่อตั้งขึ้นเพื่อแก้ไขสถานการณ์และลดความเสี่ยงจากการขาดแคลนพลังงานในช่วงวิกฤติน้ำมันโลก ครั้งที่ 2 ให้เพียงพอกับความต้องการของประเทศ ตลอดจนเพื่อสร้างอำนาจต่อรองกับบริษัทน้ำมันต่างชาติในเวลานั้น
ในฐานะบริษัทพลังงานแห่งชาติบนปณิธานในการเป็นพลังงานที่ยั่งยืน สมกับสโลแกน “ปตท. พลังไทย เพื่อไทย” โดยมีพันธกิจหลักต่อประเทศ ในการสร้างความมั่นคง ด้านพลังงานในระยะยาว ด้วยการจัดหาปริมาณพลังงานที่เพียงพอ มีคุณภาพได้มาตรฐาน และราคาเป็นธรรม
ยิ่งมีวิกฤติราคาน้ำมันที่ทำให้เชื้อเพลิงมีราคาสูงเป็นประวัติการณ์เมื่อปี 2551 ทำให้ ประเทศนำเข้าน้ำมันต้องตระหนักถึงความผันผวนของราคาพลังงานที่อาจเกิดขึ้นเมื่อใดก็ได้ และเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้อย่างแน่นอน
ประเทศไทยพึ่งพาพลังงานนำเข้าร่วม 90% ของความต้องการใช้พลังงานทั้งประเทศ ขณะที่มีการคาดการณ์ว่าก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทย อาจเหลือไม่ถึง 30 ปี ขณะที่ปริมาณน้ำมันของโลกอาจมีให้ใช้ได้อีกเพียง 40 ปี ส่วนก๊าซธรรมชาติเหลืออีกแค่ 70 ปี และปริมาณถ่านหินทั่วโลกอาจเหลือให้ใช้ราว 100 ปี
กิจการทางยุทธศาสตร์พลังงานของประเทศอย่าง ปตท. จึงเป็นเสมือนแขนขาของรัฐบาลในการจัดหาพลังงานทั้งในประเทศและต่างประเทศในปริมาณที่เพียงพอกับความต้องการของประเทศ โดยมีวัตถุประสงค์ให้ประเทศไทยสามารถพึ่งพาตนเองด้านพลังงาน ได้ระดับหนึ่ง เพื่อสร้างหลักประกันความมั่นคงต่อการเติบโตของประเทศ
ขณะที่การสรรหาและพัฒนาพลังงานทดแทนขึ้นมาใช้ นอกจากจะเป็นยุทธศาสตร์ในการลดการพึ่งพาพลังงานนำเข้าจากต่างประเทศ เป็นอีกมาตรการในการสร้างความมั่นคงทางพลังงานให้กับประเทศ แนวทางนี้ยังถือเป็นความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชน อันเป็นพันธกิจหนึ่งของ ปตท.
ในฐานะบริษัทมหาชน ปตท.ยังต้องมีพันธกิจต่อผู้ถือหุ้น ในการสร้างกำไรเพื่อให้ผลตอบแทนที่ดีและให้มีการเจริญเติบโตต่อเนื่องอย่างยั่งยืน
ทั้งนี้ ปตท.ถือเป็นองค์กรทางธุรกิจที่จำต้องมีภารกิจในการพัฒนาตัวเองให้สามารถแข่งขันกับบริษัทข้ามชาติอื่นๆ ได้ทั้งในเวทีประเทศไทยและสังเวียนโลก โดยวิสัยทัศน์ของ ปตท. คือการเป็นบริษัทพลังงานข้ามชาติชั้นนำ ที่มีเกณฑ์ในการวัดความสำเร็จ ด้วยการก้าวขึ้นสู่อันดับ TOP 100 ของนิตยสารฟอร์จูน จากปัจจุบันอยู่ที่อันดับ 118 บวกกับ เป้าหมายที่ไกลกว่านั้นคือ การก้าวเข้าไประดมทุนระดับนานาชาติในตลาดดาวโจนส์
นั่นหมายถึงว่า ปตท.และบริษัทในเครือต้องดำเนินการในหลายด้าน แต่ด้วยลักษณะของ ปตท.ที่ถูกออกแบบมาให้เป็นองค์กรพลังงานแห่งชาติ ความคล่องตัวและความเป็นมืออาชีพในการดำเนินธุรกิจของบริษัทลูกจึงมีความจำเป็น โดยที่บริษัทแม่เป็นผู้ควบคุมเฉพาะเป้าหมายและนโยบายสำคัญ เพื่อลดความเสียเปรียบทางการแข่งขันบนเวทีโลก
บนเส้นทางที่ดูเหมือนผลประโยชน์ขัดแย้งกัน ปตท.และบริษัทในเครือ ย่อมต้องมีหน้าที่รักษาสมดุลระหว่างความมั่นคงทางพลังงานของชาติกับความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจ
ทั้งนี้ เนื่องจากบริษัทลูกของ ปตท.ทั้ง 6 แห่ง ต่างก็มีอิสระในการบริหารธุรกิจเพื่อประโยชน์สูงสุดของตัวเอง ขณะเดียวกันก็มีหน้าที่เชื่อมโยงประโยชน์ระหว่างกัน เพื่อตอบสนองวิสัยทัศน์ของบริษัทแม่ และแต่ละแห่งต่างก็มีมูลค่าหลักทรัพย์ทางการตลาดขนาดใหญ่
ดังนั้น ทิศทางทางธุรกิจและก้าวย่างสำคัญของบริษัทเหล่านี้จึงน่าสนใจและมีความสำคัญทั้งทางเศรษฐศาสตร์และต่อยุทธศาสตร์พลังงานของประเทศ ไม่แพ้บริษัทแม่เช่นกัน ดังจะเห็นและพิสูจน์ได้จากทั้ง 3 บริษัทที่ผู้จัดการ 360° หยิบยกขึ้นมาเป็นตัวอย่าง
|
|
|
|
|