จากภาวะอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับต่ำอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ในปี 2552 ภาคธุรกิจมีการระดมทุนด้วยการออกหุ้นกู้เป็นจำนวนมาก คาดว่าจะมีมูลค่าประมาณ 347,100 ล้านบาท ในจำนวนนี้มีธนาคารกสิกรไทยทำหน้าที่เป็นผู้จัดจำหน่ายประมาณ 63,160 ล้านบาท คิดเป็นส่วนแบ่งประมาณ 18%
“นอกจากการจัดจำหน่ายตราสารหนี้ในตลาดแรกแล้ว ธนาคารฯ ยังให้ความสำคัญในการเปิดตลาดค้าขายตราสารหนี้ ในตลาดรอง เนื่องจากเล็งเห็นว่าตลาดรองจะทวีความสำคัญและ มีปริมาณซื้อขายที่สูงอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2552 คาดว่าจะมีปริมาณซื้อขายตราสารหนี้ในตลาดรองมากกว่า 3.2 ล้านล้านบาท โดยธนาคารกสิกรไทยเป็นผู้ค้ารายใหญ่ที่สุดคิดเป็นมูลค่า ประมาณ 4.5 แสนล้านบาท หรือมีส่วนแบ่งตลาดประมาณ 13.9%” ธิติ ตันติกุลานันท์ ผู้บริหารสายงานธุรกิจตลาดทุน ธนาคารกสิกรไทยระบุ
ส่วนการปล่อยสินเชื่อร่วม (Syndicated Loans) ของธนาคารพาณิชย์ทั้งระบบในปี 2552 คาดว่าจะมีมูลค่าประมาณ 60,000 ล้านบาท ในจำนวนนี้ ธนาคารกสิกรไทยทำหน้าที่เป็นผู้จัดการสินเชื่อร่วม (Loans Mandated Arranger) มากที่สุด ประมาณ 19,000 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วน 31.% ของมูลค่า สินเชื่อร่วมทั้งหมด
“สำหรับปี 2553 ภาคธุรกิจจะเริ่มมีสภาพคล่องที่สูงขึ้น ประกอบกับอัตราดอกเบี้ยมีแนวโน้มที่จะสูงขึ้นเช่นกัน จึงทำให้ ความต้องการออกหุ้นกู้โดยภาคเอกชนมีแนวโน้มที่จะลดลงและ คาดว่าจะมีการหันไปใช้แหล่งเงินทุนที่มีความยืดหยุ่นเพิ่มขึ้น เช่น เงินกู้ในรูปแบบสินเชื่อร่วม (Syndicated Loan) และสินเชื่อโครงการ (Project Finance) ซึ่งมีความยืดหยุ่นสูงกว่าการ ออกหุ้นกู้ ทั้งในด้านการเจรจาต่อรองเงื่อนไขต่างๆ และความยืดหยุ่นในการจ่ายคืนเงินกู้”
ทั้งนี้ คาดว่าในปี 2553 จะมีปริมาณการปล่อยสินเชื่อร่วมโดยธนาคารพาณิชย์ทั้งระบบที่ประมาณ 130,000 ล้านบาท ซึ่งธนาคารกสิกรไทยเชื่อว่า ด้วยความเชี่ยวชาญในการบริหารจัดการด้านการปล่อยสินเชื่อร่วมสูง ธนาคารฯ จะยังคงเป็นผู้นำ ในการจัดการปล่อยสินเชื่อร่วมในปี 2553 คิดเป็นมูลค่าประมาณ 40,000 ล้านบาท คิดเป็นส่วนแบ่งตลาดที่ 30% ส่วนตลาดตรา สารหนี้ไทยในปี 2553 คาดว่าภาคธุรกิจออกหุ้นกู้มูลค่ารวมประมาณ 225,000 ล้านบาท โดยธนาคารกสิกรไทยคาดว่าจะมี ส่วนแบ่งตลาดในการจัดจำหน่ายตราสารหนี้ประมาณ 25% หรือ คิดเป็นมูลค่า 56,250 ล้านบาท ส่วนการซื้อขายตรา สารหนี้ในตลาดรองคาดว่าจะมีมูลค่า 3.5 ล้านล้านบาท โดยธนาคารตั้งเป้าคง ความเป็นผู้นำในการซื้อขาย ด้วยมูลค่าประมาณ 5.25 แสนล้านบาท คิดเป็นส่วนแบ่งตลาดประมาณ 15% “ปีหน้าการปล่อยสินเชื่อที่น่าสนใจคือการให้ สินเชื่อโครงการ (Project Finance) เพื่อสนับสนุนโครงการต่างๆ ของรัฐและสินเชื่อแก่ธุรกิจพลังงาน ในกลุ่มลูกค้าผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก (SPP Projects) โครงการผลิตไฟฟ้าพลังงานความร้อนร่วม เนื่องจากเป็นธุรกิจที่ยังมีโอกาสขยาย ตัวสูงและได้รับความสนับสนุนจากภาครัฐ นอกจากนั้นธนาคารฯ ยังตั้งเป้าที่จะเป็นที่ปรึกษาทางการเงิน และการให้สินเชื่อโครงการพลังงานทางเลือก อาทิ โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลม โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ทั้งนี้คาดว่าในปี 2553 จะมีการลงทุน ในโครงการธุรกิจพลังงานไฟฟ้ารวมแล้วไม่ต่ำกว่า 175,000 ล้านบาท”
ด้านธุรกิจตลาดทุนในปี 2553 ธนาคารกสิกรไทยจะมุ่งเน้น การสนอบริการแบบครบวงจรที่มีความสอดคล้องกับภาวะตลาดและความต้องการของลูกค้าเป็นสำคัญ เพื่อครองความเป็นผู้นำในธุรกิจตลาดทุนอย่างต่อเนื่อง ทั้งด้านการเป็นผู้จัดการสินเชื่อร่วม (Loan Mandated Arrangers) และเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาดใน การเป็นผู้จัดจำหน่ายหุ้นกู้ภาคเอกชน และครองตำแหน่งผู้นำในการ เสนอขายกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ (Property Fund) อีกด้วย
นอกจากนี้ ในปีหน้าธนาคารกสิกรไทยจะสร้างความแตกต่าง จากผู้ให้บริการรายอื่นในตลาด ด้วยบริการให้คำปรึกษาทางการเงิน ในการทำธุรกรรมซับซ้อน ในการเข้าซื้อกิจการของภาคธุรกิจและนักลงทุน อาทิ Acquisition Financing, Management Buyout, และ Leveraged Buyout รวมทั้งการให้บริการข้อมูลงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนที่แม่นยำ โดยที่ผ่านมางานวิจัยด้านธุรกิจตลาดทุนของธนาคารฯ ได้รับการยกย่องให้เป็นงานวิจัยอันดับหนึ่ง ของสถาบันการเงินในประเทศไทย ซึ่งจะช่วยให้ลูกค้าสามารถบรรลุ เป้าหมายสูงสุดทางธุรกิจและการลงทุนที่วางไว้
|