ความสุขของคนเราอย่างหนึ่งก็คือ การมีสุขภาพอนามัยที่สมบูรณ์ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บเรื้อรังประจำตัว
โดยทั่วไปแล้ว ในยามที่ร่างกายปกติก็มักจะไม่ค่อยมีใครเห็นคุณค่าในเรื่องนี้เท่าไรนัก
จนกว่าจะล้มป่วยลงนั่นแหละ จึงจะรู้ซึ้งถึงพุทธภาษิตที่ว่า "อโรคยา
ปรมา ลาภา" หรือความไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่มีโรคประจำตัว
เจ็บออด ๆ แอด ๆ อยู่ตลอดเวลา จะเข้าใจดีเป็นที่สุดว่า การมีร่างกายแข็งแรงเป็นความสุขที่ล้นเหลืออย่างหนึ่ง
การให้ความสนใจดูแลรักษาสุขภาพของตัวเอง จะมากน้อยแค่ไหน บางทีก็ขึ้นอยู่กับฐานะทางเศรษฐกิจด้วยเหมือนกัน
คนยากคนจน เวลาเป็นไข้ ปวดหัวตัวร้อน ส่วนใหญ่แล้วก็จะหันไปพึ่งหมอตี๋ ซื้อยากินเอง
จนกว่ามีทีท่าว่าอาการจะทรุดหนักนั่นแหละ จึงจะไปขอความช่วยเหลือจากแพทย์
จะว่าไม่ใส่ใจในสุขภาพของตัวเอง ก็ไม่ถูกเสียทีเดียว ส่วนใหญ่แล้วเป็นเพราะไม่อยู่ในสถานภาพที่จะซื้อบริการทางสุขภาพที่ดีได้
อีกประการหนึ่งคือ ความไม่รู้
สำหรับผู้ที่ฐานะทางเศรษฐกิจปานกลางหรือดี ก็จะให้ความสนใจกับร่างกายของตัวเองมากขึ้น
เพราะมีกำลังพอจะซื้อหาบริการสุขภาพได้ แต่มีเงื่อนไขว่าจะต้องเป็นบริการที่มาพร้อมกับสะดวก
สบาย ปัจจุบันคนกลุ่มนี้มีจำนวนมากขึ้นทุกทีตามการขยายตัวของเศรษฐกิจ และกลายเป็นตลาดที่มีขนาดพอสมควรสำหรับธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับสุขภาพ
ธุรกิจเกี่ยวเนื่องกับสุขภาพที่มีขนาดใหญ่ที่สุด และมีแนวโมว่ายังคงจะขยายตัวต่อไปอีกก็คือ
โรงพยาบาลเอกชน
ธุรกิจโรงพยาบาลเอกชน
โรงพยาบาลเอกชนแต่ดั้งเดิมนั้น เกิดขึ้นเพื่อช่วยเหลือแบ่งเบาภาระของรัฐ
โดยองค์การกุศลหรือมูลนิธิต่าง ๆ ไม่ได้มีจุดประสงค์เพื่อแสวงหากำไร เช่นในปัจจุบันแต่ด้วยความต้องการที่มีมากกว่าการตอบสนองของรัฐและเอกชนในรูปมูลนิธิทำให้นักธุรกิจเริ่มเข้ามาลงทุนมากขึ้น
โรงพยาบาลเอกชนในปัจจุบันมี 2 ลักษณะ คือ
1. ประเภทที่เริ่มจากคลินิกหรือโพลีคลีนิค แล้วขยายงานให้บริการที่ให้ประสิทธิภาพสูงขึ้น
มีเตียงสำหรับผู้ป่วยเข้าพักรักษาตัว โรงพยาบาลประเภทนี้มีขนาดไม่ใหญ่โตนัก
มีเตียงประมาณ 60-100 เตียง
2. ประเภทที่ลงทุนก่อตั้งเป็นโรงพยาบาลตั้งแต่แรกเริ่ม พวกนี้มักมีขนาดใหญ่
มีการลงทุนสูง ทั้งด้านอาคารสถานที่บริการ มีจำนวนเตียงตั้งแต่ 100 เตียงขึ้นไป
เช่น โรงพยาบาลพญาไท โรงพยาบาลสมิติเวช
คนที่เข้ามาลงทุนในกิจการโรงพยาบาลนั้นแน่นอนว่าต้องการกำไรเช่นเดียวกับธุรกิจอื่น
ๆ และสำหรับธุรกิจนี้อาจจะกล่าวได้ว่า มีความเสี่ยงค่อนข้างน้อยกว่าธุรกิจอื่น
ๆ และสำหรับธุรกิจนี้อาจจะกล่าวได้ว่า มีความเสี่ยงค่อนข้างน้อยกว่าธุรกิจอื่น
ๆ เพราะอาการเจ็บไข้ได้ป่วยของมนุษย์นั้นเกิดขึ้นอย่างสม่ำเสมอ ไม่ว่าเศรษฐกิจจะตกต่ำหรือรุ่งโรจน์เมื่อไม่สบายขึ้นมา
ทุกคนก็ต้องไปหาหมอ แต่ประสบความสำเร็จเสมอไป เพราะยังมีปัจจัยกำหนดอื่น
ๆ อีกเช่น การบริการ ราคาที่สามารถแข่งกับคู่แข่งได้การบริหารงาน เป็นต้น
ความพอเพียงกับความต้องการ
ปัจจุบันมีสถานพยาบาลเอกชนเกิดขึ้นมาก โดยเฉพาะโรงพยาบาลทั่วไป ในปี 2534
มีทั้งหมด 492 แห่ง ซึ่งอยู่ในกรุงเทพฯ 124 แห่ง จำนวนเตียงของโรงพยาบาลเอกชนทั้งหมดประมาณ
19,787 เตียง อัตราการเจริญเติบโตของโรงพยาบาลเอกชนมีค่อนข้างสูงในช่วงปี
2531-2535 ส่วนมากเป็นโรงพยาบาลขนาดใหญ่ที่มีตั้งแต่ 100 เตียงขึ้นไป แม้จะมีโรงพยาบาลเพิ่มขึ้นจำนวนมากแต่ก็ยังไม่สามารถให้บริการได้เพียงพอเมื่อเปรียบเทียบจำนวนเตียงต่อประชากรในปี
2533 เท่ากับ 1:740 ในขณะที่มาตรฐานสากลจะอยู่ที่ 1:300 ประเทศที่เจริญแล้วเช่น
สหรัฐอเมริกา มีอัตราจำนวนเตียงต่อประชากรเท่ากับ 1:90
สาเหตุการเพิ่มขึ้นของโรงพยาบาลเอกชนนั้นเกิดจาก
1. อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจไทยนับตั้งแต่ปี 2531 เป็นต้นมา ที่มีการขยายตัวในอัตราสูงมากทำให้ความต้องการบริการด้านนี้เพิ่มขึ้น
โดยเฉพาะบริการที่ใช้เวลารวดเร็ว สะดวกสบายแม้จะต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น
จะเป็นที่ต้องการมาก เนื่องจากประชาชนมีกำลังซื้อมากขึ้น
การเติบโตของเศรษฐกิจยังทำให้นักธุรกิจเล็งหาช่องทางลงทุนใหม่ ๆ มากขึ้นด้วย
โรงพยาบาลเอกชนเป็นช่องทางหนึ่ง ซึ่งสอดรับกับความต้องการที่เพิ่มขึ้นด้วย
2. นโยบายของรัฐเกี่ยวกับการรักษาพยาบาล เช่น พรบ.ประกันสังคม สวัสดิการของข้าราชการที่สามารถเบิกจ่ายได้บางส่วนในการเข้ารักษาพยาบาลในโรงพยาบาลเอกชน
เป็นสิ่งที่เพิ่มความต้องการในตลาดได้ส่วนหนึ่ง
3. การได้รับยกเว้นภาษีจาก BOI โดยที่โรงพยาบาลในส่วนภูมิภาคได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล
และภาษีศุลกากรนำเข้าเครื่องมือแพทย์เป็นเวลา 5 ปี ส่วนโรงพยาบาลในกรุงเทพฯ
จะได้รับยกเว้นในส่วนของภาษีการนำเข้าเครื่องมือแพทย์ ทำให้ต้นทุนในการลงทุนลดลง
ก่อให้เกิดแรงจูงใจในการลงทุน
4. โรงพยาบาลของรัฐไม่เพียงพอในการให้บริการแก่ประชาชน การไปรับการรักษา
แต่ละครั้งต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่าครึ่งวันในสภาพที่การจราจรติดขัด ชีวิตประจำวันของคนในเมืองใหญ่รีบเร่ง
โรงพยาบาลเอกชนที่ให้บริการอย่างรวดเร็วจึงเป็นทางเลือกหนึ่งของชนชั้นกลาง
แม้ว่าจะต้องจ่ายแพงขึ้น
กลุ่มเป้าหมาย
คือกลุ่มคนไข้ที่มีกำลังทรัพย์ค่อนข้างสูงและมีฐานะทางเศรษฐกิจดี ทั้งนี้เป็นผลจากการที่โรงพยาบาลเอกชนมีการลงทุนเป็นจำนวนเงินสูง
จึงทำให้ค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลแพงตามไปด้วย ทั้งยังต้องใช้กลยุทธ์ทางการตลาดหลายรูปแบบ
เพื่อชักจูงกลุ่มเป้าหมายที่มีเงินเพียงพอที่จะเสียค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล
และต้องการหลีกเลี่ยงความไม่สะดวกสบายต่าง ๆ จากโรงพยาบาลของรัฐให้มาใช้บริการของตน
ลูกค้ากลุ่มเป้าหมายของโรงพยาบาลเอกชนสามารถจำแนกเป็นกลุ่มต่าง ๆ ได้แก่
- ผู้ที่อยู่ในแหล่งชุมชนหรืออยู่ใกล้ทำเลที่ตั้งของโรงพยาบาล การไปมาสะดวกรวดเร็ว
- กลุ่มพนักงานในบริษัทใหญ่ ๆ เช่น ธนาคารพาณิชย์ สถาบันการเงินต่าง ๆ รัฐวิสาหกิจชั้นนำและบริษัทต่าง
ๆ ฯลฯ โดยการรักษาพยาบาลในรูปของ CONTRACT มีสัญญาให้ส่วนลดพิเศษในการรักษาพยาบาล
- กลุ่มพนักงานของบริษัทที่เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของโรงพยาบาลเอง
- กลุ่มที่เป็นคนไข้ประจำของแพทย์หรือพยาบาลในโรงพยาบาลของรัฐที่มาทำงานนอกเวลาโรงพยาบาลเอกชน
ซึ่งได้รับชักชวน แนะนำ หรือถือส่งตัวเข้ามารับการรักษา
- กลุ่มเป้าหมายในอนาคต จะมีการเปิดคลินิกสาขาขยายออกไปจากโรงพยาบาลแม่ข่าย
จับกลุ่มลูกค้าบ้านจัดสรรที่เกิดอยู่จำนวนมากตามย่านชานเมือง โดยคลินิกรับรักษาเฉพาะคนไข้นอก
ส่วนคนไข้ในส่งโรงพยาบาลแม่ข่ายการลงทุน
การลงทุนสร้างโรงพยาบาลต้องใช้เงินทุนค่อนข้างสูงและใช้เวลาในการก่อสร้างประมาณ
2-3 ปีการลงทุนเปิดโรงพยาบาลระดับ 5 ดาวต้องใช้เงินลงทุนประมาณ 3 ล้านบาทต่อเตียง
และโรงพยาบาลระดับ 3 ดาวใช้เงินลงทุนประมาณ 1.5 ล้านบาทต่อเตียง
โครงสร้างของต้นทุนในการดำเนินงานประกอบด้วย
เงินเดือน 15-20 %
ค่าธรรมเนียมแพทย์ 35-40 %
ค่ายาและเวชภัณฑ์ 28-30 %
อื่น ๆ 10-22 %
โดยทั่วไปแล้วโรงพยาบาลจะมีรายได้หลักมาจากผู้ป่วยในประมาณ 70 % และผู้ป่วยนอกประมาณ
30 % ดังนั้นการอยู่รอดของโรงพยาบาลจึงขึ้นอยู่กับปริมาณคนไข้ในเป็นหลัก
โดยมีคนไข้นอกเป็นส่วนเสริมอัตราการครองเตียงในโรงพยาบาลเอกชนในปัจจุบันประมาณ
58 % โดยเฉลี่ยแล้วต้องมีอัตราการครองเตียงไม่ต่ำกว่า 50 % จึงจะคุ้มทุน
ทั้งนี้เนื่องจากค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานและการลงทุนในทรัพย์สินรวมถึงอุปกรณ์การรักษามีมูลค่าสูงมาก
โรงพยาบาลเอกชนในกรุงเทพ ฯ
ข้อมูลเมื่อปี 2534 โรงพยาบาลเอกชนในกรุงเทพมีจำนวน 79 แห่ง แหล่งที่ตั้งของโรงพยาบาลเอกชนโดยทั่วไปจะมีลักษณะที่เหมือนกันก็คือ
เป็นเขตที่มีประชากรอาศัยอยู่อย่างหนาแน่น (ในแต่ละเขตมีประชากรอาศัยอยู่มากกว่า
200,000 คนทั้งสิ้น) มีหมู่บ้านจัดสรรตั้งอยู่ และมีการคมนาคมสะดวก
เมื่อพิจารณาลักษณะการกระจายของแหล่งที่ตั้งของโรงพยาบาลเอกชนตามเขตการปกครองจะพบว่าเขตที่มีโรงพยาบาลของเอกชนตั้งอยู่มากที่สุดคือ
เขตพระโขนงมีโรงพยาบาลเอกชนตั้งอยู่ถึง 14 แห่ง ส่วนใหญ่จะมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันดี
เช่น โรงพยาบาลสมิติเวช โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ โรงพยาบาลเทพธารินทร์ รองลงมาคือ
เขตห้วยขวาง พญาไท ภาษีเจริญ และบางกะปิ โดยมีจำนวนอยู่ระหว่าง 5-8 แห่งตามลำดับ
เขตที่มีโรงพยาบาลเอกชนตั้งอยู่เพียงเขตละ 1 แห่งเท่านั้น ได้แก่เขตจอมทอง
เขต หนองแขม เขตสัมพันธวงศ์ เขตราชเทวี เขตมีนบุรี เขตลาดกระบังและเขตบางกอกใหญ่
เมื่อพิจารณาจากจำนวนประชากรจะพบว่า เป็นเขตที่มีจำนวนประชากรไม่หนาแน่นคือต่ำกว่า
100,000 คน และเป็นเขตชานเมืองที่อยู่ห่างไกลออกไปมา ได้แก่ เขตลาดกระบัง
และเขตหนองแขม
สำหรับเขตสัมพันธวงศ์ เป็นเขตย่านการค้าที่สำคัญของชาวจีนและมีคนอาศัยอยู่เพียง
46,281 คนเท่านั้น และก็สามารถใช้บริการจากโรงพยาบาลหัวเฉียวซึ่งเป็นโรงพยาบาลใหญ่
ขนาด 750 เตียง ซึ่งตั้งอยู่บริเวณใกล้เคียงได้
เขตราชเทวี เป็นเขตที่ตั้งอยู่ใจกลางเมือง แม้จะมีเพียงโรงพยาบาลพญาไท
1 เพียงแห่งเดียว แต่ในละแวกนั้นก็มีโรงพยาบาลอื่นอีกหลายแห่งทั้งของรัฐและเอกชนที่สามารถให้บริการแก่ประชาชนได้อย่างพอเพียง
โดยเฉพาะโรงพยาบาลในเขตพญาไท สำหรับเขตมีบุรี เขตบางกอกใหญ่ และเขตจอมทอง
เป็นเขตที่มีประชากรอาศัยอยู่มากกว่า 100,000 คน แต่กลับมีโรงพยาบาลเอกชนให้บริการเพียงแห่งเดียวแสดงให้เห็นว่า
ประชากรใน 3 เขตดังกล่าวยังขาดแคลนบริการด้านสาธารณสุขอยู่มาก
เมื่อพิจารณาโรงพยาบาลเอกชนในกรุงเทพฯ โดยแยกตามขนาด ซึ่งใช้เกณฑ์จำนวนเตียง
ของโรงพยาบาลในการจำแนก ดังนี้ โรงพยาบาลที่มีจำนวนเตียงน้อยกว่า 50 เตียง
จัดเป็นโรงพยาบาลขนาดเล็กโรงพยาลที่มีจำนวน 50-150 เตียง จัดเป็นโรงพยาบาลขนาดกลาง
และ โรงพยาบาลที่มีจำนวนเตียงมากกว่า 150 เตียง จัดเป็นโรงพยาบาลขนาดใหญ่
พบว่าประมาณ 45% ของโรงพยาบาลเอกชนในกรุงเทพฯ จะเป็นโรงพยาบาลขนาดกลางคือ
มีจำนวน 35 แห่งรองลงมาจะ เป็นโรงพยาบาลขนาดเล็ก ประมาณ 32% และโรงพยาบาลขนาดใหญ่
มีเพียง 23% เท่านั้น
โรงพยาบาลเอกชนที่อยู่ในเขตพระโขนง เขตห้วยขวาง เขตพญาไท เขตภาษีเจริญ
และบางกะปิจะประกอบด้วย โรงพยาบาลทั้งขนาดใหญ่ กลาง และเล็ก ยกเว้นขเตภาษีเจริญ
จะมีเพียงโรงพยาบาลขนาดกลางและเล็กเท่านั้น
สำหรับเขตที่มีโรงพยาบาลตั้งอยู่เพียง 1 แห่งได้แก่เขตมีนบุรี เขตลาดกระบัง
เขตบางกอกใหญ่ เขตจอมทอง โรงพยาบาลที่ตั้งอยู่ในเขตดังกล่าวจะเป็นโรงพยาบาลขนาดเล็ก
ในเขตหนองแขม และสัมพันธ์วงศ์ จะเป็นโรงพยาบาลขนาดกลาง ส่วนเขตราชเทวีจะเป็นโรงพยาบาลขนาดใหญ่
สำหรับโรงพยาบาลขนาดกลางจะมีการกระจายของแหล่งที่ตั้งไปยังเขตต่าง ๆ ที่มีชุมชนอาศัยอยู่หนาแน่น
ยกเว้นบริเวณเขตชานเมืองที่อยู่ห่างไกล เช่น เขตมีนบุรี เขตลาดกระบัง เขตบางกอกใหญ่
และเขตจอมทอง
ขนาดธุรกิจโรงพยาบาลเอกชน
ภาพรวมของธุรกิจโรงพยาบาลเอกชน จากการรวบรวมข้อมูลทางการเงินของโรงพยาบาลเอกชนในเขตกรุงเทพฯ
จำนวน 23 แห่งจากทั้งหมด 124 แห่งเป็นตัวแทนในการสะท้อนภาพลักษณ์ของธุรกิจ
พบว่า ในปี 2534 สินทรัพย์รวมทั้งสิ้นเท่ากับ 7,702 ล้านบาท โดยโรงพยาบาลที่มีสินทรัพย์รวมมากที่สุด
5 อันดับแรก ได้แก่ โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ โรงพยาบาลสมิติเวช โรงพยาบาลธนบุรี
โรงพยาบาลพญาไท 1 และโรงพยาบาลรามคำแหง ตามลำดับ
ในส่วนของรายรับรวมเท่ากับ 5,895 ล้านบาทพบว่าโรงพยาบาลสมิติเวชมีรายรับรวมสูงเป็นอันดับ
1 ตามด้วยโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ โรงพยาบาลพญาไท 1 โรงพยาบาลพญาไท 2 และโรงพยาบาลกรุงเทพ
สำหรับโรงพยาบาลที่ดำเนินธุรกิจมีผลกำไร 5 อันดับแรกได้แก่ โรงพยาบาลพญาไท
1 โรงพยาบาลพญาไท 2 โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ โรงพยาบาลสมิติเวชและโรงพยาบาลกรุงเทพ
โดยโรงพยาบาลที่กล่าวมามีกำไรอยู่ระหว่าง 80-135 ล้านบาทและโรงพยาบาลที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จตักกันอย่างกว้งขวางทั้งสิ้น
จากตัวเลขสินทรัพย์รวม และรายรับรวมของกลุ่มโรงพยาบาลเอกชน 28 แห่งซึ่งมีมูลค่ารวมเท่ากับ
7,702 ล้านบาทและ 5,895 ล้านบาท ตามลำดับ จึงคาดการณ์ได้ว่า ในธุรกิจ โรงพยาบาลเอกชนน่าจะมีขนาดธุรกิจมากกว่า
10,000 ล้านบาททั้งในด้านสินทรัพย์รวมและรายรับรวม
สู่การแข่งขัน
เมื่อมีการเปิดตัวโรงพยาบาลเอกชนใหม่ ๆ มากขึ้นรวมทั้งการขยายตัวของโรงพยาบาลที่มีอยู่เดิม
ทำให้การแข่งขันค่อนข้างสูง เพื่อให้ธุรกิจของตนอยู่รอดมีกำไร ทำให้โรงพยาบาลเอกชนต้องแข่งขันกันโดยเฉพาะด้านบริการ
เพราะการบริการเป็นปัจจัยหลักในการดึงดูดลูกค้า รวมทั้ประสิทธิภาพในด้านการรักษาพยาบาล
และชื่อเสียงของแพทย์ที่มาประจำหากสิ่งเหล่านี้สามาถสร้างความประทับใจแก่ผู้บริโภคได้แล้วกิจการก็คงดำเนินไปได้ด้วยดี
ดังนั้นสิ่งที่โรงพยาบาลเอกชนแข่งขันกันก็คือ
ด้านบริการ ทุกโรงพยาบาลจะเน้นการบริการเป็นอันดับแรก โดยจะพยายามให้บริการที่ดีที่สุดแก่ผู้บริโภค
เช่น ในด้านความสะดวกรวดเร็ว ความสะอาดการเอาใจใส่ของแพทย์ และใบหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใสของพยาบาลและพนักงาน
ด้านบรรยากาศภายในโรงพยาบาล ทุกโรงพยาบาลจะเน้นการสร้างบรรยากาศภายในให้ห่างจากความเป็นโรงพยาบาลมากที่สุด
เพื่อไม่ให้ผู้ป่วยที่มาใช้บริการใจเสีย เพราะตามหลักจิตวิทยาผู้ที่มาโรงพยาบาลนั้นมาด้วยความจำเป็น
เมื่อมาแล้วพบกันบรรยากาศที่หดหู่ก็จะยิ่งทำให้สภาพคนป่วยแย่ลงไปอีกดังนั้นโรงพยาบาลเอกชนส่วนใหญ่จึงสร้างบรรยากาศให้คล้ายโรงแรมมากกว่า
ประสิทธิภาพในการรักษาและชื่อเสียงของแพทย์สิ่งเหล่านี้ จะเป็นตัวดึงดูดผู้บริโภคให้หันมาใช้บริการของโรงพยาบาล
ดังนั้นโรงพยาบาลเอกชนจึงต้องระดมแพทย์ที่มีความสามารถ มีชื่อเสียงเข้ามาประจำกับโรงพยาบาลของตน
ธุรกิจประเภทนี้ต่างจากธุรกิจด้านอื่น ๆ ด้วยขีดจำกัดด้านกฎหมายในการโฆษณาซึ่งไม่อาจกระทำได้ดังนั้นจุดใหญ่ของการโฆษณาโรงพยาบาลเอกชนก็คือการประชาสัมพันธ์
โดยใช้ผู้บริโภคเป็นสื่อกลางด้วยการสร้างความประทับใจให้เกิดแก่ผู้บริโภค
และผู้บริโภคนั้นก็จะบอกต่อ ๆ กันไปอีก หรือการที่แพทย์ประจำโรงพยาบาลเสนอความรู้แก่ประชาชนด้านสาธารณสุขทางโทรทัศน์
หรือการให้การสนับสนุนรายการเผยแพร่ความรู้ด้านสุขภาพอนามัย เป็นต้น ซึ่งเป็นการสร้างภาพพจน์ที่ดีของโรงพยาบาลให้เกิดขึ้นแก่ประชาชนโรงพยาบาลยังมีวิธีหาลูกค้าโดยการทำสโมสรสุขภาพเปิดรับสมาชิกสุขภาพครอบครัว
โดยเสียค่าสมาชิกเป็นรายปี หรือทำสัญญากับบริษัทให้พนักงานใช้บริการและทำสัญญากับบริษัทประกัน
กลยุทธ์ทางการตลาด
ในอดีตโรงพยาบาลเอกชนยังมีจำนวนน้อยทำให้ผู้บริโภคต้องเป็นฝ่ายง้อโรงพยาบาล
แม้ว่าจะต้องเสียเงินทองค่ารักษาแพงกว่าโรงพยาบาลของรัฐหลายเท่าแต่กาลเวลาได้พลิกผันให้สถานการณ์เปลี่ยนแปลงไปเมื่อรัฐเปิดโอกาสให้นักธุรกิจกลุ่มต่าง
ๆ เข้ามาดำเนินธุรกิจโรงพยาบาลเอกชนได้ ดังจะเห็นได้จากสถิติการเกิดของโรงพยาบาลเอกชนได้
ดังจะเห็นด้วยจากสถิติการเกิดของโรงพยาบาลเอกชนในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมาดังนั้นโรงพยาบาลที่มีอยู่เดิม
และโรงพยาบาลที่เพิ่งก่อตั้งขึ้นใหม่ต่างก็ต้องปรับกลยุทธ์ในการดึงดูดลูกค้าให้มาใช้บริการ
อันหมายถึงรายได้อันเป็นสิ่งที่ทให้โรงพยาบาลสามารถดำรงอยูได้ในอนาคต "การตลาด"
จึงกลายเป็นปัจจัยสำคัญอันหนึ่งที่มีผลต่อการอยูรอดของโรงพยาบาลเอกชน
กลยุทธ์ทางการตลาดที่ถูกนำมาใช้แบ่งออกได้หลายวิธีได้แก่
โรงพยาบาลกึ่งโรงแรม : HOSPITEL
โรงพยาบาลที่เปิดใหม่จะมีการใช้กลยุทธ์การตลาดที่ไม่แตกต่างกันโดยการเน้นการบริหารที่ให้ความสะดวกสบายมีบรรยากาศการตกแต่งรวมกับโรงแรมชั้นหนึ่งเกือบทุกโรงพยาบาล
กล่าวคือมีลักษณะของโรงพยาบาลกึ่งโรงแรม(HOSPITEL) เช่น โรงพยาบาลปิยะเวท
ซึ่งจะเปิดดำเนินงานในเดือน สค. 2536 ตั้งอยู่บนถนนพระราม 9 โรงพยาบาลเทพธารินทร์
บนถ.พระราม 4 โรงพยาบาลรัตนาธิเบศร์ ตั้งอยู่แถบย่านบางบัวทอง นนทบุรี โรงพยาบาลพระราม
9 และโรงพยาบาลศิครินทร์ ซึ่งตั้งอยู่บริเวณถ.ศรีนครรินทร์ เป็นต้น
ใช้แพทย์ผู้เชี่ยวชาญเปิดศูนย์รักษาโรคเฉพาะทาง
หัวใจของโรงพยาบาลคือ การให้บริการรักษาผู้ป่วยอย่างมีประสิทธิภาพ ดังนั้นการักษาที่ดีมีมาตรฐานจึงเป็นจุดขายพื้นฐานของโรงพยาบาลทั่วไปที่ต้องแสวงหาแพทย์ผู้มีความเชี่ยวชาญมาประจำและเป็นแพทย์ที่ปรึกษา
โรงพยาบาลบางแห่งก็มีการเปิดเป็นศูนย์บริการทางการแพทย์ในการรักษาโรคเฉพาะทาง
เป็นการสร้างจุดเด่น และจุดขายของโรงพยาบาล ตัวอย่างของโรงพยาบาลเหล่านี้ได้แก่
โรงพยาบาลกรุงเทพ เน้นความเป็นศูนย์รักษาศูนย์โรคหัวใจและศูนย์สมอง ที่มีเครื่องมือครบวงจรและทันสมัยที่สุดในประเทศ
และตามด้วยศูนย์จักษุที่กำลังจะเปิดบริการในไม่ช้านี้
โรงพยาบาลเทพธารินทร์ มีศูนย์โรคเบาหวานและธัยรอยด์
3. เปิดศูนย์สุขภาพ
ไม่เพียงแต่จะหยิกยกบริการการรักษาสำหรับคนที่ป่วยไข้แล้ว โรงพยาบาลหลายแห่งยัง
ขยายตลาดออกไปยังกลุ่มที่ไม่ใช่ผู้ป่วยด้วยโรคปัจจุบัน แต่เป็นกลุ่มที่มีดรงคประจำตัว
ซึ่งต้องอาศัยการดูแลรักษาสุขภาพอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งกลุ่มลูกค้าที่ยังไม่ป่วย
แต่ต้องการรักษาสุขภาพให้แข็งแรง กลยุทธ์ที่จะใช้กับตลาดนี้คือ การสร้างศูนย์สุขภาพ
และโปรแกรมดูแลสุขภาพ เช่น โรงพยาบาลมิชชั่น และโรงพยาบาลกรุงเทพและโรงพยาบาลปิยะเวท
เป็นต้น
4. บัตรสมาชิก ให้ส่วนลดหรือให้เครดิตค่ารักษาพยาบาล
การใช้บัตรสมาชิกเป็นวิธีการหนึ่งในการขยายฐานลูกค้าออกไป โดยผู้ถือบัตรจะได้รับ
ส่วนลด รวมทั้งสิทธิพิเศษในการได้รับบริการที่ดีกว่า และมีโรงพยาบาลบางแห่งที่จูงใจคนไข้ด้วยการให้เครดิต
รักษาก่อน จ่ายเงินทีหลังได้ เช่น โรงพยาบาลกรุงเทพออก "บัตรอภิสิทธิ์"
บริการแก่ประชาชน ใช้ลดได้ 5% ยกเว้นค่าแพทย์ และการตรวจด้วยเครื่องมือพิเศษ
อีกทั้งยังใช้ลดพิเศษ 10-50% สำหรับค่าโรงแรม ห้องอาหารและ ภัตตาคารกว่า
50 แห่ง ที่ร่วมอยู่ในโปรแกรมส่งเสริมการขายนี้ด้วย
- โรงพยาบาลสำโรงการแพทย์ มอบบัตร "อายุมั่น-ขวัญยืน" ส่วนลด
10% ยกเว้นค่าแพทย์กายภาพบำบัด และทันตกรรม
- โรงพยาบาลสุขุมวิท มีส่วนลดในรูป "สมาชิกสุขภาพ" ลดได้ 10%
ยกเว้นค่าทำการของแพทย์วิสัญญีแพทย์, ทันตกรรม และค่าอัลตราซาวด์
- โรงพยาบาลปิยะเวท มีโครงการ "บัตรสุขภาพ" ใช้ลดค่ายาได้ 10%
ค่าบริการศูนย์สุขภาพ 15% ค่าห้องคลีนิกเชน 20%
- โรงพยาบาลเดชา ให้ส่วนลดในรูป "โครงการสมาชิกสุขภาพ" ลดได้
10%
- โรงพยาบาลสมิติเวช ให้ส่วนลดแก่ผู้มาใช้บริการโรงพยาบาลเป็นครั้งที่ 2
จะได้ลด 10% เฉพาะค่าห้องและค่าอาหาร
- โรงพยาบาลเซ็นทรัลเยนเนอรัล ตั้งอยู่ในย่านถ.พหลโยธิน ใกล้ห้างสรรพสินค้าโรบินสันดอนเมือง
จะเจาะตลาดสถาบันเอกชนเช่น ธนาคารพาณิชย์ บริษัทประกันภัย บริษัทผู้ผลิตรถยนต์
ตลอด จนรัฐวิสาหกิจต่าง ๆ ให้เครดิตในการชำระเงิน รวมทั้งส่วนลดค่ายาและค่าห้องในอัตรา
10%
- โรงพยาบาลรัตนาธิเบศร์ ร่วมมือกับหมู่บ้านจัดสรรต่าง ๆ ในแถบย่านบางบัวทองจัดทำบัตรสมาชิกโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใด
ๆ ให้สิทธิประโยชน์คือสามารถรักษาพยาบาลได้ก่อนโดยไม่จำต้องจ่ายเงินสดในทันที
5. การขยายสาขาและสร้างเครือข่าย
การขยายสาขาและการสร้างเครือข่าย ความจริงแล้วเป็นการลงทุนเพิ่มเพื่อแสวงหาราย
ได้เข้ามาเพิ่มมากขึ้นแต่ก็เป็นกลยุทธ์ในการขยายตลาดไปในตัว ทั้งนี้เพราะปัจจัยหนึ่งในการตัดสินใจใช้บริการโรงพยาบาลคือความสะดวกในการเดินทาง
การขยายสาขาและเครือข่ายอกอไปให้ครอบคลุมชุมชนที่มีกลุ่มลูกค้าเป้าหมายอยู่จึงเป็นการลดข้อจำกัดในเรื่องการเดินทางได้
โดยอาศัยชื่อเสียง และภาพพจน์โรงพยาบาลแม่เป็นพื้นฐานหลัก
ส่วนการขยายสาขาออกไปในต่างจังหวัด ก็เป็นการขยายฐานลูกค้าเข้าไปในส่วนภูมิภาค
- โรงพยาบาลเอกชนที่ขยายตลาดของตนด้วยการขยายสาขาเพิ่ม ได้แก่ โรงพยาบาลกรุงเทพ
มีแผนขยายเพิ่มอีก 2 สาขาในปี 2536 คือ โรงพยาบาลกรุงเทพ จ.ภูเก็ต และโรงพยาบาลกรุงเทพ
จ.สระบุรี
- โรงพยาบาลธนบุรี มีแผนขยายสาขาคือ โรงพยาบาลธนบุรี จ.ราชบุรี โรงพยาบาลธนบุรี
อ.หาดใหญ่ (สงขลา) โรงพยาบาลธนบุรี จ.พระนครศรีอยุธยา
- โรงพยาบาลสมิติเวช มีโครงการขยายกิจการโรงพยาบาลแห่งที่ 2 ขนาด 400 เตียง
ที่บริเวณถ.ศรีนครินทร์
นอกจากการขยายสาขาเพิ่มแล้ว โรงพยาบาลเอกชนหลายแห่งยังขยายเครือข่ายเพื่อให้
ครอบคลุมผู้ใช้บริการครบทุกระดับ โดยการลงุทนสร้างโรงพยาบาลในชื่อใหม่เพื่อยกระดับมาตรฐานการบริการที่สูงขึ้น
เช่น บริษัทไวตาคอร (สำโรงการแพทย์) จำกัด เปิดโรงพยาบาลศิครินทร์ บนถ.ศรีนครินทร์
รองรับกลุ่มเป้าหมายระดับสูง ให้การบริการครบวงจรพรั่งพร้อมด้วยความทันสมัยของเครื่องมือแพทย์
ในขณะเดียวกันยังร่วมกับเอ็มไทย กรุ๊ป สร้างโรงพยาบาลเทพารักษ์เพื่อเจาะตลาดกลุ่มโรงงานอุตสาหกรรมอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมบางพลีด้วย
โรงพยาบาลเกษมราษฎร์ลงทุนในโรงพยาบาลรัตนาธิเบศร์ เป็นโรงพยาบาลขนาด 400
เตียงที่มีกลุ่มเป้าหมายเป็นคนในย่านบางบัวทอง มีการจ้างสถาบันจากต่างประเทศเป็นผู้ออกแบบโรงพยาบาล
โรงพยาบาลรามคำแหงร่วมทุนกับกลุ่มแพทย์ที่เชียงใหม่สร้างโรงพยาบาลเชียงใหม่ราม
ขนาด 350 เตียงใกล้กับศูนย์การค้ากาดสวนแก้ว จ.เชียงใหม่
โรงพยาบาลสมิติเวชมีการร่วมทุนกับโรงพยาบาลแพทย์ศรีราชา สร้างโรงพยาบาลขนาด
125 เตียงในจ.ชลบุรี เพื่อให้บริการกับประชาชนในแถบนั้นและรองรับการขยายตัวของโครงการอีสเทอร์นซีบอร์ด
การขยายตลาดของโรงพยาบาลเอกชนยังมีอีกรูปแบบหนึ่งด้วยการรับบริหารโรงพยาบาล
เอกชนในต่างจังหวัดที่ต้องการยกระดับมาตรฐานการบริการ เช่น โรงพยาบาลเปาโล
ข้าร่วมบริการ โรงพยาบาลช้างเผือก จ.เชียงใหม่ โรงพยาบาลปิยะเวท เข้าบริการโรงพยาบาลศิริเวท
จ.จันทบุรี เป็นต้น
6. แฟรนไชส์คลีนิค
เนื่องจากการลงทุนขยายสาขาในรูปของโรงพยาบาลต้องใช้เงินลงทุนระยะเวลาในการ
ดำเนินการสูงจึงมีการหาทางออกโดยการขยายสาขาในรูปของโพลีคลีนิกโดยใช้วิ.ธีขายแฟรนไชส์
เช่น กลุ่มโรงพยาบาลปิยะเวทร่วมมือกับกลุ่มสหแพทย์โพลีคลีนิเชน เป็นการลดต้นทุนในการขยายจุดขาย
สามารถเพิ่มจุดขาย 1 แห่งด้วยเงินลงทุนเพียง 5-10 ล้านบาท โดยทางสหแพทย์มีโครงการที่จะเปิดสาขาให้ครบ
10 สาขาก่อน แล้วจึงค่อยทำการเปิดขายแฟรนไชส์ในช่วงต้นปี 2537 ทั้งนี้เนื่องจากการขายแฟรนไชส์คลีนิค
และโรงพยาบาลในเมืองไทยต้องทำชื่อเสียงให้เป็นที่รู้จักเสียก่อน
แนวโน้มในอนาคต
ถึงแม้ว่าจะมีโรงพยาบาลเอกชนเพิ่มขึ้นหลายแห่งในช่วงปี 2532-ปัจจุบันแต่ทว่าความ
ต้องการบริการด้านสาธารณสุขของประชาชนยังไม่เพียงพอประกอบกับประชาชนมีรายได้เพิ่มมากขึ้นตามการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจไทย
ทำให้หันมาสนใจและดูแลสุขภาพของตัวเองมากขึ้น ธุรกิจโรงพยาบาลเอกชนจึงเป็นธูรกิจที่ให้ผลตอบแทนสูงและมีโอกาสขยายตัวต่อไปอีกมาก
ด้วยเหตุนี้จึงมีการลงทุนในธุรกิจด้านนี้เพิ่มขึ้นอีกเรื่อย ๆ ประมาณว่าอัตราการเติบโตของโรงพยาบาลเอกชนจะเพิ่มสูงขึ้นประมาณ
1 เท่าตัว แต่โรงพยาบาลเอกชนส่วนมากจะกระจุกตัวอยู่ในกรุงเทพฯ ถึง 51% ของจำนวนเตียงทั้งหมด
คาดว่าในอนาคตจะมีการกระจาบของโรงพยาบาลเอกชนไปยังจังหวัดใกล้เคียงกรุงเทพฯ
และต่างจังหวัดมากขึ้น ในลักษณะของการบริหารในระบบเครือข่ายของโรงพยาบาลที่มีชื่อเสียง
ธุรกิจโรงพยาบาลเอกชนต่างจากธุรกิจประเภทอื่นที่ลูกค้าเข้ามาซื้อบริการเพราะความไว้วางใจในบริการโรงพยาบาลที่ตั้งอยู่กอ่นแล้วจะไม่มีปัญหาในด้านนี้
เพราะได้มีโอกาสสร้างความเชื่อมั่นในตัวผู้บริโภค แล้วแต่โรงพยาบาลที่เพิ่งสร้างใหม่ยังต้องพยายามหาลูกค้าให้กับกิจการของตน
ในการนี้ต้องแข่งขันแย่งชิงกับโรงพยาบาลเก่าซึ่งมิใช่เป็นการง่ายเลย
อย่างไรก็ตามการที่มีโรงพยาบาลเอกชนเข้ามาในตลาดมากขึ้น แต่คาดว่าการแข่งขันโดยใช้ราคาเป็นสิ่งจูงใจคงไม่รุนแรงนักเนื่องจากตลาดบริการการแพทย์มีลักษณะกึ่งผูกขาด
และอุปสงค์ที่มีต่อบริการทางการแพทย์ยังอีกมากมาย กล่าวได้ว่าโอกาสของธุรกิจโรงพยาบาลเอกชนยังเปิดกว้างสำหรับนักลงทุนที่สนใจและมีลู่ทางที่สดใสในระยะยาว
อาหารเสริมสุขภาพ
ในขณะที่โรงพยาบาลเอกชนเป็นธุรกิจที่เติบโตบนพื้นฐานความจำเป็นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ของมนุษย์
ที่จะต้องได้รับการรักษาพยาบาลเมื่อเจ็บไข้ได้ป่วยอาหารเสิรมสุขภาพก็เป็นสินค้าที่มีจุดขายอยู่ตรงที่การสร้างความแข็งแรงให้ร่างกาย
เพื่อจะได้ไม่ต้องไปใช้บริการของโรงพยาบาล
ตลาดอาหารเสริมสุขภาพมีการขยายตัวสูงมากในกรุงเทพฯ เนื่องจากตลาดนี้มีฐานะทางเศรษฐกิจค่อนข้างดีและยอมรับสินค้าประเภทนี้ง่ายกว่าตลาดในต่างจังหวัด
ผู้ผลิตอาหารเสริมสุขภาพประเภทต่าง ๆ ดำเนินกลยุทธ์การแข่งขันกันเข้มข้น
โดยส่วนใหญ่จะใช้กลยุทธ์การขายตรงเพราะราคาอาหารเสริมสุขภาพอยู่ในเกณฑ์สูง
และเป็นธุรกิจที่ผู้บริโภคจะต้องมีความเชื่อถือในคุณภาพของผลิตภัณฑ์ แต่บางผลิตภัณฑ์ก็ใช้การขายผ่านทางเคาน์เตอร์และประสบความสำเร็จอย่างมาก
เดิมกลุ่มผู้บริโภคเป้าหมายของอาหารเสริมสุขภาพคือผู้ที่มีอายุ 35 ปีขึ้นไป
ผู้ป่วยหรือผู้อยู่ในระยะพักฟื้นคนสูงอายุ แต่ในปัจจุบันตลาดได้ขยายกว้างขึ้นสำหรับคนทุกเพศทุกวัยที่ปรารถนาจะมีสุขภาพสมบูรณืแข็งแรงและขยายอกอตลาดต่างจังหวัดด้วย
โดยเริ่มจากจังหวัดใหญ่ ๆ ก่อน ด้วยการเพิ่มพนักงานขายให้สมาชิกรวมทั้งขยายการจัดตั้งศูนย์กระจายสินค้าในต่างจังหวัด
ตลาดของอาหารเสริมสุขภาพมีอัตราการเติบโตสูงถึง 20-30% ต่อปี และประเมินว่าตลาดทั้งระบบจะมีมูลค่าประมาณ
2,000 ล้านบาท อาหารเสริมสุขภาพแบ่งออกได้หลายชนิด ดังนี้
1. ประเภทซุปไก่สกัด
ตลาดอาหารเสริมสุขภาพประเภทซุปไก่สกัดมีมูลค่าตลาดรวมประมาณ 800 ล้านบาทต่อปี
ผู้นำตลาดในปัจจุบันมีอยู่ 3 ยี่ห้อได้แก่ แบรนด์ ซึ่งผลิตและจำหน่ายโดยบริษัทเซเรบรอส
(ประเทศไทย) จำกัด สก๊อตจำหน่ายโดยบริษัทเอสแอนด์ซันส์ เทรดดิ้ง จำกัด และบอนแบค
ผลิตและจำหน่ายโดยบริษัทไอ.เอ็ม.อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด แต่ละบริษัทต่างก็พยายามขยายประเภทของสินค้าอาหารเสริม
ชนิดอื่น ๆ ให้มีความหลากหลาย เช่น เพิ่มประเภทรังนก หูฉลามซุปไก่ซุปไก่สกัดผสมสมุนไพร
ซุปนกเป็ดน้ำ เป็นต้นเพื่อกระจายกลุ่มผู้บริโภคให้กว้างขวางมากขึ้น จะไม่เน้นการพึ่งพาเฉพาะสินค้าหลักตัวเดิมของบริษัท
แบรนด์เป็นเจ้าของตลาดของอาหารเสริมสุขภาพประเภทซุปไก่สกัดในตอนนี้ โดยครองส่วนแบ่งตลาดกว่า
80% สก๊อต เป็นอันดับ 2 ด้วยสัดส่วน 16-17% และบอนแบค 1-2% เมื่อมีที่การแข่งขันในตลาดสินค้าเสริมสุขภาพ
ทั้งจากสินค้าประเภทเดียวกันและประเภทอื่น ๆ ทำให้ผู้ประกอบการต้องหากลยุทธ์ใหม่
ๆ มาตอกย้ำให้ผู้บริโภคตระหนักถึงคุณประโยชน์ของผลิตภัณฑ์ของตน แบรนด์ซึ่งแม้จะเป็นผู้นำรายใหญ่และสร้างความภักดีในยี่ห้อ
(BRAND LOYALTY) ให้กับผู้บริโภคมานานก็ยังใช้การโฆษณามาส่งเสริมการขายโดยใช้ครอบครัววรรธนะสินมาเป็นพรีเซนเตอร์
วาง CONCEPT อิงภาพพจน์ของครอบครัวให้ความทันสมัยและสื่อความเป็นคนรุ่นใหม่มากขึ้น
มีกิจกรรมเพื่อสังคมเป็นการสร้างภาพพจน์ เช่น มอบทุนการศึกษาให้โอกาสไปเรียนภาษาอังกฤษภาคฤดูร้อนที่ประเทศอังกฤษ
จับมือกับนิตยสารรักลูกและโรงพยาบาลส่งเสริมโครงการตั้งครรภ์เพื่อสุขภาพให้กับหญิงมีครรภ์นอกจากนี้เมื่อมีการออกผลิตภัณฑ์รังนกก็ได้จัดรายการ
"ดื่มแบรนด์รังนกแท้ มิสิทธิ์ได้เพชรแท้" มีมูลค่ารางวัลรวมมากกว่า
1 ล้านบาท
สำหรับซุปไก่สกัดและรังนกตราสก๊อตก็ต้องเผชิญกับ BRAND LOYALTY ของคู่แข่งที่ฝังรากลึกมานาน
แต่บริษัทก็คิดค้นผลิตภัณฑ์ใหม่คือ ซุปไก่สกัดผสมสมุนไพรและผลิตภัณฑ์รังนกซึ่งมีอัตราการเติบโตสูงมาก
หูฉลามซุปไก่เป็นสินค้าใหม่ที่ทางบริษัทนำออกสู่ตลาด เป็นสินค้าที่ยังไม่มีจำหน่ายในเมืองไทยจึงยังไม่มีคู่แข่งในช่วงแรกราคาจำหน่ายขวดละ
240 บาท โดยใช้แผนการส่งเสริมการขายเป็นภาพยนต์โฆษณา การกระจายสินค้าเน้นไปที่ห้างสรรพสินค้า
ร้านขายยาทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด
บอนแบคเป็นสินค้าที่มีลักษณะพิเศษคือเป็นซุปไก่ดำสกัด มีการปรับปรุงรสชาติของซุปไก่ทั่วไปที่มีรสชาติค่อนข้างคาว
ให้มีรสชาติกลมกล่อมขึ้น และมีการเปลี่ยนแปลงแพกเกจจิ้งให้ทันสมัย เพื่อขยายกลุ่มเป้าหมายจากเดิมที่เป็นผู้สูงอายุซึ่งมีขนาดค่อนข้างเล็กไปยังกลุ่มคนทำงาน
สำหรับการเติบโตของตลาดนี้ นางสาวลักขณา ลีละยุทธโยธิน ผู้จัดการฝ่ายการตลาดบริษัท
เซเราบรอส (ประเทศไทย) จำกัด ให้ความเห็นว่า "อัตราการขยายตัวของตลาดอาหารเสริมทั้งระบบ
ต่อจากนี้เชื่อว่าจะเป็นแบบอัตราก้าวหน้า เนื่องจากรูปแบการแข่งขันในตลาดตอนนี้จะมาเน้นด้านการขยายไลน์สินค้าออหารเสริมชนิดอื่น
ๆ ที่มีเซ็กเม้นต์แตกต่างกันเข้ามามากขึ้นทุกค่ายจะไม่เน้นการพึ่งพา เฉพาะสินค้าหลักตัวเดิมที่มีอยู่"
2. นมผึ้ง (ROYAL JELLY)
นมผึ้งเป็นอาหารเสริมสุขภาพที่ประกอบด้วยโปรตีน วิตามินที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย
ใน
นมผึ้งมีกรดอะมิโนที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายถึง 20 ชนิดจากรายงานการค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์พบว่าประโยชน์ของนมผึ้งมีมากมาย
เช่น เพิ่มภูมิต้านทานให้กับร่างกายกระตุ้นเนื้อเยื่อให้เจริญเติบโต มีผลตอการทำงานของกระตุ้นเนื้อเยื่อให้เจริญเติบโต
มีผลกต่อการทำงานของต่อมไร้ท่อซึ่งมีหน้าที่ปรับสมดุลของร่างกาย ซึ่งจะทำให้ร่างกายฟื้นคืนสมรรถนะและสามารถทำงานได้อย่างปกติ
เช่น สารเป็ปไทด์มีฤทธิ์คล้ายอินซูลิน มีฤทธิ์กระตุ้นต่อมไทรอยด์ให้สามารถรับไอโอดีนได้มากขึ้น
ลดการแข็งตัวของหลอดเลือกจากไขมันและคอเรสเตอรอลสิ่งที่เป็นข้อด้วยคือ ถ้านำนมผึ้งมาเก็บไว้โดยการแช่แข็งจะทำให้สูญเสียคุณสมบัติไป
แต่คุณค่านั้นจะทำให้กลับคืนมาได้โดยการเติมฟรุคโตสและกลูโคส (ซึ่งมีอยู่ในน้ำผึ้ง)
เมื่อเป็นเช่นนี้ ถ้าจะรับประทานนมผึ้งก็ควรรับประทาน ไปพร้อมกับน้ำผึ้ง
ปัจจุบันนมผึ้งถือเป็นอาหารและยาชนิดใหม่ที่มีคุณค่าและราคาแพง รูปแบบของนมผึ้งที่มี
จำหน่ายในท้องตลาดมีหลายรูปแบบได้แก่
1. ผสมน้ำผึ้งในหลอดยาฉีดสีชาบรรจุภายในก๊าซไนโตรเจน
2. บรรจุในแคปซูล ประกอบด้วยนมผึ้งที่นำมาทำเป็นผงแล้ว โดยใช้วิธี FREEZE
DRIED แล้วผสมกับแลคโตส
3. รับประทานสด ๆ โดยเก็บในช่องแข็ง
ธุรกิจการค้านมผึ้งเริ่มตื่นตัวเมื่อ 4-5 ปีที่แล้วเมื่อมีการนำนมผึ้งมาบรรจุในแคปซูลปรากฏว่าได้รับความนิยมสูง
ตลาดมีการขยายตัวอย่างรวดเร็วกลุ่มลูกค้าเป็นคนชั้นกลางค่อนข้างสูง ตลาดรวมของผลิตภัณฑ์นมผึ้งมีมูลค่าประมาณ
400 ล้านบาท มีอัตราการเจริญเติบโตประมาณ 15% ต่อปี มีการขยายฐานการตลาดให้กว้างขึ้นจากเดิมซึ่งเป็นคนในวัย
35 ปีขึ้นไป เข้ามาสู่กลุ่มเรียนและวัยรุ่น บริษัทที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับนมผึ้งเช่น
บริษัทควีนลีฟวิ่งโปรดักส์ จำกัด จำหน่ายผลิตภัณฑ์นมผึ้งตรา "ควีน"
ห้างหุ้นส่วนจำกัด วี แอนด์ บี แอสโซซิเอท จำกัด ผลิตภัณฑ์นมผึ้งตรา "บีเนเจอรัล"
เป็นต้น
3. กระเทียมสำเร็จรูป
คุณค่าทางอาหารและของกระเทียมเป็นที่ยอมรับกันมานานกว่า 5,000 ปีแล้ว คนไทยมี
การนำเอากระเทียมมาใช้ในการประกอบอาหาร และใช้เป็นส่วนผสมในตำรับยาแผนโบราณบางตำรับ
ประโยชน์ด้านสมุนไพรของกระเทียมได้รับความสนใจอย่างกว้างขวางเมื่อนักวิทยาศษสตร์ได้ศึกษาและมี
หลักฐานต่าง ๆ มากมายที่สามารถพิสูจน์ได้ว่า การรับประทานกระเทียมจะช่วยป้องกันการเกิดโรคหัวใจ
และมีฤทธิ์ในการลดและสลายปริมาณคอเลสเตอรอล ไตรกลีเซอร์ไรด์ในเลือด ช่วยป้องกันการแข็งตัวของเส้นเลือดและช่วยให้หลอดเลือดขยายใหญ่ขึ้น
ป้องกันโรคคามดันโลหิตสูงได้
ผลิตภัณฑ์กระเทียมสำเร็จรูปที่มีวางจำหน่ายในตลาดพอจะจำแนกได้เป็น 2 ชนิดคือ
1. กระเทียบมแคปซูล ซึ่งแบ่งออกเป็นกระเทียมผงและน้ำมันกระเทียม
2. กระเทียมอัดเม็ด
กระเทียมสำเร็จรูปในประเทศไทยยังไม่ได้รับความนิยมเท่าที่ควร เมื่อเปรียบเทียบกับ
อาหารเสริมประเภทอื่น ๆ กระเทียมสำเร็จรูปที่นิยมบริโภคคือกระเทียมผงบรรจุแคปซูลหรืออัดเม็ด
บริษัทผู้ผลิตที่มีชื่อเสียงในท้องตลาด เช่น ห้างหุ้นส่วนจำกัดขาวละออเภสัช
เป็นผู้ผลิตและส่งออกอาหารเสริมสกัดจากกระเทียมเข้มข้น 100% ใช้ยี่ห้อว่า
"IMMUNITOR"
3. นมพร้อมดื่ม
ผลิตภัณฑ์นม่มีการแข่งขันในตลาดสูงมากและมีผู้ประกอบการรายใหญ่เข้ามาอยู่
เสมอ การที่มีคนสนใจลงทุนในอุตสาหกรรมนี้มาก เนื่องจากการรณรงค์ให้ประชาชนดื่มนมของภาครัฐบาลและเอกชนที่
ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี มีการขยายกลุ่มผู้บริโภคจากเด็กมาเป็นคนทุกเพศทุกวัย
ผลิตภัณฑ์นม พร้อมดื่มมี 3 ประเภทคือ นมพาสเจอร์ไรซ์ นมสเตอริไรส์ และนมยูเอชที
โดยเฉพาะตลาดนมยูเอชทีมี การขยายตัวอย่างรวดเร็ว มีผู้ผลิตรายใหม่ ๆ เข้ามาในตลาดอยู่เสมอยี่ห้อที่เป็นที่รู้จักกันดี
ได้แก่ ไทย-เดนมาร์ค โฟร์โมสต์หนองโพ มะลิ เนสเล่ เมจิ สโนว์ เป็นต้นอนาคตของตลาดนมยูเอชทีนับ
ว่าแจ่มใสมากและคิดว่าจะขยายตัวต่อไปได้ดี
4. โยเกิร์ต
นมเปรี้ยวเป็นอาหารทีมีคุณค่าทางโภชนาการสูงกว่านมสด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
โปรตีนเคซีนในนมเปรี้ยวมีประโยชน์ต่อร่างกายมากเนื่องจากย่อยสลายง่ายกว่าทำให้ร่างกายดูดซึมไปใช้ประโยชน์ได้มาก
นอกจากนี้นมเปรี้ยวยังมีแคลเซียมในปริมาณค่อนข้างสูง ช่วยเสริมสร้างกระดูกและฟันให้แข็งแรง
นมเปรี้ยวที่มีจำหน่ายในท้องตลาด แบ่งเป็น 2 ประเภทคือ
1. โยเกิร์ตชนิดครีม แบ่งออกเป็น 3 ลักษณะคือโยเกิร์ตแบบธรรมดา โยเกิร์ตผลไม้
และโยเกิร์ตที่ผสมน้ำตาล ผู้ครองส่วนแบ่งตลาดคือ โฟร์โมสต์ยี่ห้ออื่น ๆ เช่น
โยเพลท์ ดัชท์มิลล์ เป็นต้น
2. โยเกิร์ตพร้อมดื่ม เป็นโยเกิร์ตชนิดครีมผสมกับน้ำผลไม้ชนิดต่าง ๆ การขยายตัว
ของตลาดอยู่ในเกณฑ์สูงมาก ทั้งการโฆษณาและการส่งเสริมการขายยาคูลท์ เป็นยี่ห้อที่ครองส่วนแบ่งตลาดมากที่สุด
ยี่ห้ออื่น ๆ ได้แก่ โยโมสต์ ดัชมิลท์ เมจิ บีทาเก้น อิมพีเรียล โยเก้น เป็นต้น
ผลิตภัณฑ์นมเปรี้ยวประเภทโยเกิร์ต ที่มาบุกเบิกตลาดเมืองไทยเป็นเจ้าแรก
คือ ยา
คูลท์ ปัจจุบันผู้ผลิตอาหารหลายรายได้เข้าสู่ธุรกิจนี้ ทำให้ตลาดนี้เติบโตมากและลผิตภัณฑ์นมเปรี้ยวในท้องตลาดมีหลากหลายสามารถเลือกบริโภคได้มากขึ้น
การขยายตัวของตลาดนมเปรี้ยวยังมีโอกาสอีกมากในอนาคตเพราะคนหันมาสนใจเรื่องสุขภาพกันมาก
ยาคูลท์ซึ่งเป็นผู้นำตลาดพยายามรักษาส่วนแบ่งตลาดไว้อย่างเหนียวแน่น ทั้งการโฆษณาและเพิ่มพนักงานขายจำนวนมากรพ้อมกับการตั้งรางวัลให้พนักงานขายที่หาสมาชิกใหม่ได้
ตลาดของนมเปรี้ยวจะกระจุกตัวอยู่ในภาคกลางโดยเฉพาะในกรุงเทพฯ และ
ปริมณฑล แต่เริ่มมีการขยายไปในเขตจังหวัดใหญ่ ๆ จุดขายสำคัญของนมเปรี้ยวคือ
ช่วยบำรุงร่างกายและช่วยในเรื่องระบบการขับถ่าย ทั้งยังไม่มีส่วนผสมของไขมันที่จะทำให้อ้วน
จึงจับกลุ่มผู้บริโภคที่เป็นวัยรุ่นและคนสูงอายุปัจจุบันผู้ผลิตเริ่มขยายกลุ่มเป้าหมายไปยังผู้หญิงในวัยทำงานมากขึ้น
ตลอดจนมีการปรับปรุงรสชาติให้เหมาะกับผู้บริโภค
6. นมถั่วเหลือง
นมถั่วเหลืองเป็นผลิตภัณฑ์อาหารที่มีการบริโภคกันอย่างแพร่หลาย เนื่องจากเป็นอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการและราคาถูก
สามารถทำได้ทั้งในระดับครัวเรือนจนถึงระดับอุตสาหกรรม นมถั่วเหลืองที่ทำเป็นอุตสาหกรรมมีขายทั้งในลักษณะบรรจุขวดและบรรจุกล่องยูเอชที
ซึ่งมีการำนมผงและไขมันเนยมาเป็นวัตถุดิบผสมลงไปด้วย ทั้งนี้เพื่อให้มีกลิ่นหอมและรสชาติมันมากขึ้น
นอกจากนี้ยังให้ความสะดวกแก่ผู้บริโภคในการเก็บไว้ได้นานอีกด้วย
คุณค่าทางโภชนาการ
แม้ว่าน้ำนมถั่วเหลืองจะมีคุณภาพด้อยกว่านมสดแต่ก็เป็นแหล่งโปรตีนราคาถูก
กล่าวกันว่าถ้าดื่มนมถั่วเหลือง 1 แก้ว จะได้โปรตีนประมาณ 6 กรัมซึ่งใกล้เคียงกับโปรตีนในไข่
1 ฟอง การบริโภคนมถั่วเหลืองจะให้สารอาหารทั้งโปรตีน คาร์โบไฮเตรต และวิตามินเหมาะกับวัยเด็กจนถึงผู้สูงอายุ
เนื่องจากสามารถป้องกันโรคปากนกกระจอกในเด็ก และโรคเหน็บชาในคนสูงอายุ จึงควรดื่มนมถั่วเหลืองทุกวัน
ๆ ละ 1-2 แก้ว
สภาพการตลาด
การแข่งขันในตลาดผลิตภัณฑ์ประเภทนมถั่วเหลืองไม่รุนแรงเมื่อเทียบกับอาหารเสริมสุขภาพประเภทอื่น
ๆ เนื่องจากเป็นอาหารที่หารับประทานได้ง่ายและราคาไม่แพง นมถั่วเหลืองที่จำหน่ายในท้องตลาดทั้งชนิดบรจุขวดและกล่องซึ่งเป็นที่รู้จักกันดี
ไดแก่ไวตามิลค์ แลคตาซอย เป็นต้น สำหรับ ตลาดนมถั่วเหลืองชนิดผงที่มีวางจำหน่ายคือ
ทวิน เป็นนมผงผสมระหว่างนมโคและนมถั่วเหลือง การประชาสัมพันธ์ของรัฐบาล ในการชักชวนให้คนดื่มนมถั่วเหลือง
ซึ่งเป็นแหล่งโปรตีนราคาถูกและหาได้ง่ายย่อมเป็นการกระตุ้นให้ผู้ผลิตหาทางปรับเปลี่ยนภาพพจน์ของสินค้าให้เป็นเครื่องดื่มที่เหมาะกับผู้บริโภคทุกเพศทุกวัย
7. วิตามิน
วิตามิน วิตามินเป็นสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย ทำหน้าที่เป็นตัวกระตุ้นและควบคุมการทำงานของร่างกายให้อวัยวะต่าง
ๆทำงานได้เป็นปกติ ในวันหนึ่ง ๆ ร่างกายต้องการสารอาหารประเภทวิตามินและเกลือแร่แต่ละชนิดน้อยมาก
เมื่อเปรียบเทียบกับสารอาหารประเภทอื่น แต่การขาดวิตามินที่สำคัญก็ทำให้ร่างกายไม่สามารถดำรงอยู่ได้
ดังนั้น วิตามินจึงเป็นสารอาหารที่มีความสำคัญมาก
การที่ร่างกายได้รับวิตามินและแร่ธาตุในปริมาณที่เหมาะสม จะสร้างความกระปรี้กระเปร่าให้แก่ร่างกายและทำให้ร่างกายแข็งแรงสดชื่น
คุณค่าของวิตามินที่กล่าวมาทำให้ผลิตภัรฑ์วิตามินมากมายหลายประเภทซึ่งวางจำหน่ายในท้องตลาด
เป็นที่นิยมของผู้ที่ต้องการบำรุงร่างกายให้แข็งแรง แต่ทั้งนี้ ผู้บริโภคต้องคำนึงไว้ว่า
การได้รับวิตามินในปริมาณที่มากเกินระดับที่เหมาะสม อาจก่อให้เกิดอันตรายแก่ร่างกายได้
อื่น ๆ
เจิ้นหัว 851 เป็นผลิตภัณฑ์ของบริษัท ซี.เอช.ไทย 851 แล็บบอราตอรี่ จำกัด
จุดขายของผลิตภัณฑ์มีลักษณะแตกต่างจากอาหารเสริมสุขภาพท่วไปในท้องตลาด คือเป็นอาหารโปรตีนจากธรรมชาติที่ย่อยสลายแล้วในรูปกรดอะมิโนอิสระที่จำเป็นต่อร่างกายสินค้ามีวางจำหน่ยตามร้านขายยาชั้นนำมารวมทั้งห้างสรรพสินค้า
และตัวแทนจำหน่ายในจังหวัดใหญ่ ๆ ทั่วประเทศ เจิ้นหัว 851 มี 2 สูตรคือ สูตรมาตรฐานสำหรับผู้ที่ต้องการบำรุงกำลังทั่วไป
และสูตรเข้มข้นสำหรับผู้พักฟื้น สามารถรับประทานได้ทุกเพศทุกวัย
นายธนา บุณโยภาส ผู้จัดการฝ่ายการตลาดของบริษัทกล่าวว่า "ในปัจจุบันนอกจากจำหน่ายในประเทศแล้ว
บริษัทฯ ยังได้ขยายตลาดต่างประเทศซึ่งได้เริ่มส่งออกไปยังสิงคโปร์ ในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา
และจะส่งไปยังไต้หวัน มาเลเซียและอินโดนีเซียต่อไป ซึ่งก็เป็นไปตามเป้าหมายเดิมที่โรงงานผลิตในประเทศไทย
จะเป็นฐานการผลิตเพื่อส่งออกเจิ้นหัว 851 ไปยังประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก"
โสมจินซาน่า จำหน่ายโดยบริษัท ซูมิตร จำกัด มี 2 ชนิดคือชนิดแคปซูลและชนิดน้ำ
มุ่งเจาะกลุ่มเป้าหมายผู้บริหาร นักธุรกิจ และนักกีฬา ตลาดโสมในประเทศไทยยังไม่กว้างเท่าที่ควรลูกค้าส่วนใหญ่ยังเป็นกลุ่มชาวจีนที่มีฐานะค่อนข้างดี
โสมจินซาน่าจดทะเบียนเป็นยาแผนปัจจุบันทำให้ได้เปรียบคู่แข่งในการทำตลาดในโรงพยาบาล
คลินิก และร้านขายยาทั่วไปแต่ก็มีข้อเสียที่ไม่สามารถโฆษณาสรรพคุณได้เมหือนอาหาร
ปัจจุบันทางบริษัทมีการกระจายสินค้าผ่านช่องทางการแพทย์โดยตรง 30% และที่เหลือผ่านร้านขายยาถึง
70% ซึ่งเป็นกจุดที่บริษัทตอ้งการใช้คุณภาพทางการแพทย์เป็นสิ่งโน้มน้าวให้ประชาชนเชื่อมั่นในคุณภาพโดยแพทย์
และเภสัชกรเป็นผู้บอกสรรพคุณบริษัทจะเปิดตัวให้เป็นที่รู้จักของผู้บริโภคมากขึ้น
ด้วยการเข้าไปจดัรายการส่งเสริมการขายตามห้างสรรพสินค้า และการโฆษณาทางวิทยุและนิตยสาร
มีการวางแคมเปญมุ่งเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้บริโภคที่ซื้อโสมเฉพาะฤดูหนาวให้หันมาซื้อโสมตลอดทั้งปี
สถานการณ์ทางด้านการแข่งขันในตลาดโสมเกาหลีถือว่า โสมจินซาน่าไม่มีคู่แข่งเพราะสกัดจากโสมเกาหลีไม่นำวิตามนอื่น
ๆ เข้ามาผสม ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาตลาดโสมในไทยคึกคักมาก อัตรากรขยายตัวของตลาดโสมเพิ่มขึ้นทุกปี
ๆ ละ 30-40%
โอกาด้า อาโลเอะ เป็นอาหารเสริมทำจากว่านหางจระเข้บรรจุในแพกเกิจจิ้งเป็นกระป๋องที่มีสีสันสวยงามสะดุดตา
ผลิตและจำหน่ายโดยบริษัทโอกาด้า อคร์ปอเรชั่น จำกัด หวังเจาะกลุ่มผู้บริโภคระดับกลางขึ้นไปและกลุ่มผู้ซื้อที่มีกำลังซื้อสูง
ในอนาคตอันใกล้นี้ตลาดอาหรเสริมจะโตไปได้มากเพราะผู้บริโภคเริ่มหันมาสนใจเรื่องสุขภาพมากขึ้นหันมาบริหโภคสินค้าที่มีคุณประโยชน์มากขึ้น
จะสามารถทำให้ตลาดอาหารเสริมเพื่อสุขภาพมีอัตราการเติบโตสูงขึ้นไปอีก
ซัสตาคาล เป็นอาหารทางการแพทย์ชนิดน้ำสำหรับผู้ป่วยที่เบื่ออาหาร หรือไม่สามารถรับประทานอาหารได้ตามปกติมี
2 รสคือ รสช็อคโกแลต และรสวานิลา นำเข้าโดยบริษัทบริสตอล ไมเยอร์สควิบบ์
(ประเทศไทย) จำกัด ช่องทางการจัดจำหน่ายตามโรงพยาบาลและร้านขายยาก่อนหลังจากนั้นจะวางจำหน่ายตามซูเปอร์มาร์เก็ตในห้างสรรพสินค้า
มอลต์ ออร์คิด เป็นผลิตภัณฑ์ที่ทางบริษัทอุตสาหกรรมนมไทยจำกัด นำออกวางตลาดโดยพิจารณาจากสภาพการจราจรที่แออัดของกรุงเทพฯ
ในช่วงที่การจราจรติดขัดควรจะมีอาหารเสริมมารับประทานรองท้อง จึงวางกลุ่มเป้าหมายที่ผู้ใช้รถใช้ถนนและนักเรียน
โดยในปีนี้จะเน้นโรงเรียนที่มีรถรับส่งนักเรียนเพื่อเป็นอาหารว่างของนักเรียนในช่วงเย็นระหว่างกลับบ้าน
การดำเนินชีวิตของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปเวลาส่วนใหญ่ใช้ไปในการทำงาน
จึงมีเวลาเหลือที่จะดูแลสุขภาพของตัวเองน้อยลง อาหารเสริมสุขภาพจึงเข้ามามีบทบาทมากขึ้น
แนวโน้มของตลาดอาหารเสริมบำรุงสุขภาพทั้งระบบในปี 2536 คาดว่ามีอัตราการเจริญเติบโตไม่ต่ำกว่า
30% ผู้ประกอบการทั้งรายเก่าและรายใหม่ต่างก็พยายามหาสินค้าที่แปลกใหม่และโฆษณาสรรพคุณของผลิตภัณฑ์ให้ผู้บริโภคได้รับรู้รวมทั้งมีการส่งเสริมการขายมากมาย
ตลาดนี้ก็ยังเป็นที่ดึงดูดใจของนักลงทุนรายใหม่ซึ่งก็ย่อมเป็นประโยชน์กับผู้บริโภคที่มีโอกาสเลือกได้มากขึ้น