จากมิถุนายน 2536 อันเป็นวาระขึ้นสู่ปีที่ 49 ของธนาคารกสิกรไทย แต่ปีนี้ไม่มี
"บัญชา ล่ำซำ" อยู่ร่วมชื่นชมความสำเร็จขององค์กรที่เขามีส่วนสร้างขึ้นมากับมือด้วยผู้หนึ่ง
จากท้ายเล่มในอนุสรณ์งานศพ บัญชา ล่ำซำ ตำนานแห่งตระกูลล่ำซำได้ถูกบันทึกไว้ให้ชนรุ่นลูกหลานเหลน
ได้ทราบถึงรากเหง้านับขึ้นไปถึงเจ็ดชั่วอายุคนอันเป็น "ที่มา"
แห่งตัวตนในปัจจุบัน
ตำนานที่บันทึกด้วยลายมืออันบรรจงเรียบร้อยของภิกขุเย็นเกียรติที่แปลจากต้นฉบับภาษาจีนเกี่ยวกับชีวประวัติของ
"อึ้งเมี่ยวเหงี่ยน" (ภาษาแต้จิ๋วออกเสียงว่า "หวู่เหมี่ยวหยวน")
ผู้เป็นบรรพบุรุษชาวจีนแคะของตระกูล "ล่ำซำ" ซึ่งปัจจุบันสุสานของเขาตั้งอยู่ที่ตำบลฉุ่งแค่วในประเทศจีน
ได้บอกเล่าถึงภูมิหลังที่อึ่งเมี่ยวเหงี่ยนได้รอนแรมทางเรือจากมณฑลกวางตุ้งประเทศจีนมาขึ้นฝั่งที่กรุงเทพ
เนื่องจากเมื่ออายุ 13 ปีกำพร้าพ่อแม่และทางกฎหมายบ้านเมืองยกเลิกข้อห้ามไม่ให้คนจีนออกนอกประเทศ
ประกอบกับคนที่ไปนอกแล้วร่ำรวยเป็นข่าวลือกันไปทั่ว จึงทำให้อึ้งเมี่ยวเหงี่ยนตัดสินใจหอบเสื่อผืนหมอนใบไปตายเอาดาบหน้า
แม้ชีวิตจะตกระกำลำบากเพียงใด "อึ้งเมี่ยวเหงี่ยน" มังกรหนุ่มจากโพ้นทะเลก็ไม่ย่อท้อ
เข้าทำงานที่ร้านขายเหล่า "จิวเพ็กเก" โดยได้รับเงินเล็กน้อยพอประทังชีวิต
จากความขยันที่ไม่เคยปล่อยเวลาล่วงเลยไป เมื่อวางมือจากขายเหล้า ก็เข้าช่วยดูแลกิจการค้าไม้สักซึ่งเถ้าแก่ทำอยู่อีกแห่งหนึ่ง
จากความมานะบากบั่นที่มีเป้าหมายในจิตใจจะเปิดร้านค้าขายไม้ของตนเอง ทำให้อึ้งเมี่ยวเหงี่ยนเรียนรู้จนชำนาญเป็นพิเศษเช่นการวัดหน้าไม้และวัดเส้นผ่าศูนย์กลางของต้นซุง
ในที่สุด ร้าน "กวางหงวนหลง" ของเถ้าแก่อึ้งเมี่ยวเหงี่ยนก็เปิดค้าขายไม้สัก
โดยตั้งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ตำบลจักรวรรดิ สัมพันธวงศ์ ต่อมาได้ย้ายมาที่
211 ถนนเจริญกรุง ป้อมปราบ
แม้จะเป็นเถ้าแก่ แต่อึ้งเมี่ยวเหงี่ยน ก็ยังบุกป่าฝ่าดงเข้าไปในป่าสูง
เพื่อจัดซื้อและลำเลียงออกจากป่ามาจำหน่ายท่ามกลางภยันตรายจากสิงสาราสัตว์
และโจรปล้น
เพื่อความเป็นมงคลพิชิตภัย เถ่าแก่อึ้งเมี่ยวเหงี่ยนจึงใช้ชื่อว่า "นายล่ำซำ"
ขึ้นเป็นรุ่นแรกในประเทศไทย เพื่อระลึกถึงการรอดตายจากครั้งหนึ่งที่พำนักอยู่เมืองจีน
ได้เคยเผชิญหน้ากับหมู่โจรขณะเดินทางสายเปลี่ยว แล้วหัวหน้าโจรถามว่า "คนใส่เสื้อสีน้ำเงินคนนั้นเป็นบุตรคนที่สามของตระกูลอึ้งใช้ไหม?"
เมื่อเขาตอบว่าใช่เพราะความตกใจกลัว หัวหน้าโจรได้ตะโกนสั่งลูกสมุนว่า "ล่ำซำ
คนนี้ (ล่ำแปลว่าสีน้ำเงินของเสื้อที่สวมวันนั้น และ ซำ แปลว่าบุตรชายคนที่สาม)
ได้ทำบุญทำทานสงสารคนจน อย่าได้ทำอันตรายล่ำซำ ให้เขาไปโดยดีเถิด"
ดังนั้น ที่มาของคำว่า "ล่ำซำ" นั้นมาจากคำเรียกของหัวหน้าโจรปล้นสะดมที่ปล่อยตัวเถ้าแก่อึ้งเมี่ยวเหงี่ยน
เพราะกรรมดีที่ทำบุญสุนทานคนยากคนจนได้กลายเป็นสิ่งคุ้มครองเขาไว้
อึ้งเมียงหวนถึงแก่กรรมเมื่ออายุได้ 59 ปี โดยทิ้งมรดกไว้ให้กับ "อึ้ง
ยุก หลง" ต้นสกุล ล่ำซำ ซึ่งเป็นบุตรชายคนที่สามที่เกิดกับซื้อฮูหยิน
และมีพี่น้องชายอีก 4 คน คือ อึ้งเจียวหลง อึ้งจูหลง อึ้งป๊อกหลง อึ้งหมิ่นหลง
กับน้องสาวสองคนคือ เผือกและเนย ซึ่งแต่งงานกับหลีเต็กเคยหลีอาภรณ์
"อึ้ง ยุก หลง" เป็นปู่ของบัญชาล่ำซำ ซึ่งในวัยเด็ก บัญชาเติบโตใน
"บ้านสิญญาน" ตั้งอยู่ริมถนนสาธรเหนือใกล้กับอาคารหวั่งหลีในปัจจุบันซึ่งเป็นบ้านที่มีอาณาบริเวณกว้างใหญ่
มีบ้านพี่บ้านน้องรวมกันอยู่หลายหลัง
สมาชิกของบ้านสิญญารนี้มีถึง 3 รุ่น ตั้งแต่รุ่น ปู่-ย่า คือ อึ้งยุกหลง
และคุณนายทองอยู่ รุ่นบิดาและอาก็มีโชติล่ำซำ พระและนางนิติการณืประสมจุลินทร์
ล่ำซำ ทางพูน หวั่งหลี เล็ก ล่ำซำ เกษม ล่ำซำ และพิศศรี พิศาลบุตร นอกนั้นเป็นรุ่นเด็กที่เป็นน้องร่วมท้องได้แก่ชูจิตร
สีบุญเรือง ชัชนี จาติกวณิช ชนาทิพย์ จูตระกูล บรรยงค์ ล่ำซำ บรรจบ ล่ำซำ
ยุพิน ล่ำซำ และยุตติ ล่ำซำ และบุตรธิดาของอา ๆ
ชีวิตปฐมวัยของเด็ก ๆ ในสกุลล่ำซำอบอุ่นในครอบครัวใหญ่และถูกเลี้ยงดูแบบมีวินัยและมัธยัสถ์ไม่ฟุ่มเฟือยโดยเฉพาะคุณนายน้อมหรือลูก
ๆ เรียกว่า "นาย" ที่บัญชาถอนแบบมาภายหลังจากบิดาของบัญชาถึงแก่กรรม
ขณะที่บัญชาศึกษาอยู่ต่างประเทศ คุณนายน้อมต้องทำธุรกิจหาเลี้ยงบุตรธิดา
"พี่ชาเป็นคนไม่เห็นแก่ตัว มีอะไรไม่เคยเก็บไว้คนเดียว จะแบ่งปันจัดสรรให้น้อง
ๆ เท่ากันหมดทุกคน พี่ชาเป็นคนมีกตัญญูต่อ "นาย" ถึงแม้จะมีธุระมากมายก็ได้เยี่ยมเยียนเสมอทุกครั้งที่ไปต่างประเทศก็ไปลา
กลับมาก็ไปหา" คุณหญิงชัชนี จาติกวณิช น้องสาวเล่าให้ฟัง
แต่ระหว่างปี 2488 ช่วงปลายสงครามโลกครั้งที่สองใกล้ยุติประเทศกำลังขาดแคลนบริการธนาคารพาฯชย์ต่างชาติ
ในวันที่ 8 มิถุนายน 2488 บิดาของบัญชา "โชติ ล่ำซำ" ได้ก่อตั้งธนาคารกสิกรไทยขึ้นข้าง
ๆ ภัตตาหารห้อยเทียนเหลาของตระกูลล่ำซำ และธนาคารกสิกรไทยต่อมาได้กลายเป็นมรดก
ธุรกิจที่สำคัญของทายาทล่ำซำ
บัญชาตอนนั้นยังอยู่ระหว่างพักเรียนจากภัยสงคราม บิดาได้ใช้ให้มาช่วยทำงานเป็นผู้ช่วยรักษาเงินสด
แต่บทเรียนธุรกิจครั้งแรกคือเงินในความรับผิดชอบหายไปพันกว่าบาท บิดาต้องควักเงินส่วนตัวจ่ายชดเชยให้ธนาคาร
ช่วงหลังสงครามโลกเพิ่งเลิกใหม่ ๆ ธนาคารได้ขยายไปเปิดสาขาแห่งแรกที่อำเภอหาดใหญ่
จังหวัดสงขลา ปรีชา ซึ่งมีศักดิ์เป็นพี่บัญชาได้เล่าให้ฟังว่างานสำคัญตอนนั้น
คือต้องนำเงินสดจำนวน 4 แสนบาท ขึ้นรถไฟสายใต้ไปพร้อมกับบัญชา ล่ำซำ การเดินทางเต็มไปด้วยความยากลำบาก
เพราะสะพานรถไฟถูกทำลาย ทั้งบัญชาและปรีชาต้องอดตาหลับขับตานอนคุมกระเป๋าเงินสดไม่ให้คลาดสายตาเวลาข้ามแม่น้ำก็จ้างคนขนกระเป๋าอย่างฉุกละหุกและต้องคอยวิ่งไล่ตามอย่างรวดเร็ว
บิดาของบัญชา บริหารธนาคารอยู่จนกระทั่งปี 2491 ก็ถึงแก่กรรม ซึ่งทำให้คน
"กลัวผี" อย่างบัญชาได้สัญญาว่า จะดูแลน้อง ๆ ให้ดีที่สุดตามที่สัญญาไว้
แต่ขออย่าให้คุณพ่อมาหาต่อมา "เกษม ล่ำซำ" ผู้เป็นอาได้ขึ้นบริหารในตำแหน่งกรรมการผู้จัดการธนาคารแทน
แต่แล้วได้เกิดเหตุมรณกรรมจากอุบัติเหตุเครื่องบินตกในปี 2505 บัญชา ล่ำซำ
จึงต้องรับมอบหมายภารกิจยิ่งใหญ่ไว้บนบ่าด้วยแรงสนับสนุนจากอาจุลินทร์ซึ่งเป็นประธานกรรมการขณะนั้น
แม้จะหนักใจในความอ่อนอาวุโสตัวเอง แต่บัญชาได้สานต่อภารกิจสืบต่ออาเกษมได้เป็นปึกแผ่นมั่นคงตราบจนชีวิตหาไม่
ตลอดระยะเวลา 30 ปี ความมุ่งมั่นแสวงหา ความเป็นเลิศในงานและศิลปะ ทำให้บัญชาบริหารงานและบุคลากรให้เป็นนักธนาคารมืออาชีพที่มีภาพพจน์ที่ดีและก้าวหน้าทันสมัย
ขณะที่การงานประสบความสำเร็จสูงสุด บัญชากลับอับโชคเกี่ยวกับสุขภาพ โรคร้ายที่กระเพาะอาหาร
ซึ่งเกาะกุมมาตั้งแต่ครั้งรุ่นหนุ่มสมัย ปี 2490 ต้องเดินทางตรากตรำเพื่อไปเรียนต่อที่สหรัฐอเมริกา
บัญชาล้มป่วยหนักเมื่อถึงกรุงวอชิงตันและได้เพื่อนรัก อย่างเกษม จาติกวณิช
ซึ่งเคยร่วมเป็นกรรมการสโมสรนิสิตจุฬาฯ พาส่งโรงพยาบาล
ต่อมาบัญชาต้องเข้าพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลอีกครั้ง เนื่องจากชีวิตการเรียนในอเมริกาบังคับให้ทุกคนต้องทำงานหนักและแข่งกับเวลา
ทำให้บัญชาต้องทำงานหามรุ่งหามค่ำเป็นอาทิตย์
เมื่อกลับมาเมืองไทยครั้งบิดาเสียชีวิต ในปี 2491 อาการโรคของบัญชาหนักกว่าที่เขาคิด
เขาอาเจียนเป็นเลือด และได้รับการถ่ายเลือดหลายขวดแพทย์ให้การวินิจฉัยว่า
เลือดออกจากแผลของกระเพาะอาหาร ปรากฏว่าหมออุดม โปษะกฤษณะแห่งโรงพยาบาลศิริราชต้องผ่าตัดกระเพาะอาหารออกไปเศษ
3 ส่วน 4
ดังนั้นตลอดระยะเวลา 44 ปีที่ผ่านมา บัญชาจึงเหลือกระเพาะอาหารไว้เพียง
1 ส่วน 4 เท่านั้น !! และตั้งแต่ปี 2531 จวบจนวันสุดท้าย มะเร็งของกระเพาะอาหารได้กัดกร่อนร่างกายให้เสื่อมโทรมลง
บัญชาต้องเข้ารับการรักษาผ่าตัดจากโรงพยาบาลสมิติเวชเป็นระยะ ๆ แต่ก็ไม่สามารถสกัดกั้นเจ้ามะเร็งตัวร้ายที่ลุกลายไปทั่วช่องท้องลำไส้และลาม
ถึงทวารหนัก กระเพาะปัสสาวะ สุดจะเยียวยารักษาต่อไปอีกแล้ว
ในที่สุดตีสี่ของวันที่ 18 กรกฎาคม 2535 ความตายก็นำสันติสุขอันงดงามมาสู่ชีวิตอันยิ่งใหญ่ของ
"บัญชา ล่ำซำ" เทพเจ้าในใจของคนแบงก์กสิกรไทย ซึ่งมีความเห็นต่อชีวิตไว้น่าฟังว่า
"ชีวิตเหมือนตะเกียงมะพร้าว ทุกคนมีไส้ตะเกียงที่มีน้ำมันมาเท่า ๆ กัน
เมื่อมีลมพัดแรงก็ทำให้หมดไปเร็วยิ่งขึ้น คนที่มีความอิจฉาริษยา มุ่งประโยชน์ส่วนตนมากเกินไป
ก็เหมือนกับเป็นการนำลมมาเร่งโหมทำลายตนเองให้ดับเร็วยิ่งขึ้น นั่นคือ การใช้ชีวิตอย่างไม่รักชีวิต"