|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
เข้าสู่ไตรมาสที่สองของปี'53 กระแสของการเดินทางด้วยสายการบินต้นทุนต่ำหรือโลว์คอสต์อแอร์ไลน์ยังคงไม่หวือหวามากนัก ว่ากันว่าเกิดจากผลกระทบด้านการเมืองในประเทศไทยเป็นส่วนใหญ่ แต่หลายค่ายธุรกิจโลว์คอสต์ แอร์ไลน์ต่างก็ไม่หยุดทำโปรโมชั่นออกมากระตุ้นตลาด แม้ว่าขณะนี้บรรยากาศการท่องเที่ยวและการลงทุนในประเทศไทยยังอยู่ในภาวะชะลอตัวอันเนื่องมาจากความไม่สงบทางการเมืองก็ตาม
ล่าสุด แอร์เอเชียไม่ล้มเลิกเป้าหมายเพื่อสร้างความสุขให้กับนักเดินทางที่ต้องการโดยสารด้วยเครื่องบิน ควบคู่ไปกับการสร้างสีสันให้กับตลาดการท่องเที่ยวไทยและภูมิภาคเอเชียให้กลับมาอีกครั้งด้วยการออกแคมเปญ "0 บาท" จำนวนมากถึง 1 ล้านที่นั่ง สู่ 130 เส้นทางบิน รวมกว่า 20 ประเทศ
แคมเปญดังกล่าวดูจะสอดคล้องกับพฤติกรรมของนักเดินทางที่พร้อมจะใช้บริการไม่น้อย เพราะนอกจากจะทำให้เกิดการตื่นตัวด้านการท่องเที่ยวทั้งในไทยและภูมิภาคแล้ว ยังเป็นการแสดงความพร้อมของสายการบินที่จะดึงนักท่องเที่ยวกลับมาใช้จ่ายในไทยอีกครั้ง
"แคมเปญ 0 บาท เป็นหนึ่งในแผนการตลาดที่เป็นเอกลักษณ์ของแอร์เอเชีย ซึ่งออกมาให้ตื่นเต้นเป็นระยะๆ การออกแคมเปญ 0 บาทในช่วงนี้ โดยกำหนดระยะการเดินทางไว้ปีหน้า ก็เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวกลับมาเดินทางหลังจากเหตุการณ์กลับเข้าสู่สภาวะปรกติ และเพื่อให้มั่นใจว่าจะมีนักท่องเที่ยวเดินทางกับเราอย่างแน่นอนในไตรมาสแรกปีหน้า เชื่อว่าแคมเปญนี้จะได้รับเสียงตอบรับดีเหมือนที่ผ่านๆ มา และคาดว่า 1 ล้านที่นั่งจะหมดอย่างรวดเร็วภายใน 5 วันเท่านั้น" ทัศพล แบเลเว็ลด์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายการบินไทยแอร์เอเชีย กล่าว
แม้ว่าผลกระทบรอบด้านในประเทศไทยจะทำให้ธุรกิจการบินชะลอตัวไปบ้างก็ตาม แต่สำหรับด้านผลประกอบการไตรมาสแรก (Q1) ปี 2553 ที่ผ่านมา พบว่า ยอดรายได้และผู้โดยสารของไทยแอร์เอเชีย เพิ่มขึ้น 30% เมื่อเทียบปี 2552 และคาดว่า Q1 ในปี 2554 จะเติบโตอีก 10-15%
ด้วยเหตุผลของการทยอยรับเครื่องบินแอร์บัส A320 ลำใหม่ป้ายแดง มาประจำการจนทุกเที่ยวบินให้บริการด้วยเครื่องบินใหม่เหล่านี้ภายในเดือน ต.ค.2553 และจะทยอยรับจนครบตามยอดสั่งซื้อ 40 ลำในปี 2556 นั่นเอง ซึ่งนอกจากจะเพิ่มความสะดวกสบายให้ผู้ใช้บริการมากขึ้นแล้ว ยังทำให้แอร์เอเชียมีจำนวนผู้โดยสารมากขึ้นในแต่ละเที่ยวบิน (จำนวนที่นั่งเพิ่มมากขึ้นจากเครื่องบินรุ่นเดิม 148 ที่นั่ง เป็นเครื่องบินแอร์บัส เอ 320 จำนวน 180 ที่นั่ง) อีกด้วย
ขณะเดียวกัน การปรับตัวของสายการบิน พบว่าไทยแอร์เอเชียมองโอกาสทางธุรกิจรอบด้านและมีการปรับตัวตามสถานการณ์ เพื่อหวังให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้ใช้บริการมากที่สุด ช่วงเวลาที่ผ่านมาแม้ยังอยู่ในความไม่มั่นใจทางการเมือง แต่ไทยแอร์เอเชียก็ยังเพิ่มเที่ยวบิน จัดโปรโมชั่นตั๋วราคาประหยัด รวมทั้งจัดกิจกรรมเพื่อสังคมต่างๆ จำนวนมาก จึงทำให้นักท่องเที่ยวมีความเชื่อมั่นที่จะใช้บริการ ส่งผลให้จำนวนผู้โดยสารที่เดินทางเป็นไปตามเป้า
"เรายังเดินหน้าตามแผนกลยุทธ์การตลาดที่วางไว้เหมือนเดิม ยังขยายธุรกิจและรับบุคลากรมาร่วมงานกับเราอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งมุ่งเน้นการสร้างภูมิคุ้มกันทางธุรกิจให้ดีขึ้น ผ่านการพัฒนาการให้บริการด้านต่างๆ ที่ผู้ใช้บริการสัมผัสได้ โดยไทยแอร์เอเชียคาดการณ์ว่ายอดรายได้และผู้โดยสารรวมของปีนี้ ยังเติบโตตามเป้าที่วางไว้ แต่ทีมงานของเราทุกคนจะต้องขยันกันมากขึ้นใน Q3 และ Q4 ซึ่งจากประสบการณ์ที่ผ่านมา เชื่อว่าไม่ยากเกินความตั้งใจจริงของพวกเราทุกคนอยู่แล้ว" ทัศพล กล่าว
ขณะที่ พาที สารสิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายการบินนกแอร์ ยอมรับว่ามีการปรับแผนและแนวทางการตลาด เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ในปัจจุบันและรับมือการเข้าสู่ช่วงโลว์ซีซันในขณะนี้เช่นกัน โดยสิ่งที่ต้องทำอันดับแรกคือ การสร้างความหลากหลายการให้บริการของแบรนด์ให้มีนวัตกรรม ของความเป็นแบรนด์ที่ดีและเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายในทุกระดับ
ล่าสุดมีการเปิดตัวแอปพลิเคชั่นบน iPhone และ iPod Touch เพื่อให้ลูกค้าสามารถตรวจสอบราคาค่าโดยสาร ตรวจสอบตารางการบิน ดูข้อมูลการเดินทาง แม้กระทั่งการจองตั๋วโดยสารและชำระผ่านเคาน์เตอร์เซอร์วิสหรือเอทีเอ็มได้อย่างรวดเร็วและง่ายยิ่งขึ้น รวมถึงสามารถเช็กอินและเลือกที่นั่ง พร้อมทั้งใช้เป็นบอร์ดดิ้งพาส อิเล็กทรอนิกส์ แสดงเพื่อขึ้นเครื่องได้ทันที เป็นการตอกย้ำการเป็นสายการบินที่ไฮเทคที่สุดของไทย
พร้อมกันนี้ยังอยู่ระหว่างการศึกษาแผนเปิดเส้นทางบินใหม่ ในเส้นทางสู่ร้อยเอ็ดและแพร่ ซึ่งต้องกลับไปดูเรื่องต่างๆ เช่น เครื่องบิน แต่จะเปิดให้บริการแน่นอน รวมถึงยังสนใจบินในเส้นทางที่พีบีแอร์เคยเปิดบินมาก่อน แต่ต้องศึกษารายละเอียดก่อนด้วย
สำหรับแผนความร่วมมือกับการบินไทย ทั้งในด้านที่จะเข้าไปบิน เวลาบิน ราคา การวางตำแหน่งผลิตภัณฑ์ นับเป็นแผนที่ดีมาก โดยการบินไทยและรัฐบาลก็ได้เห็นชอบแล้ว คือจะมีการโฟกัสไปที่ตำแหน่งของแบรนด์ว่าอะไรคือสิ่งที่ต้องการให้บรรลุเป้าหมาย
"การวางตำแหน่งว่าจะต้องทำอย่างไรในการรุกตลาดที่แตกต่างให้เข้ามาในประเทศของเรา ในเชิงของพรีเมียม มาร์เกต ซึ่งมีกำลังในการจ่ายสูง บอกได้เลยว่าการบินไทยไม่ได้ต้องการแค่แบ็กแพกเกจ แต่ต้องการให้มีการใช้จ่ายสูงเข้ามาในไทย จำนวนอาจจะไม่ต้องมาก แต่มีการใช้เงินเยอะและใช้เวลาอยู่นาน ดังนั้นหน้าที่ของการบินไทยเลยต้องโฟกัสตรงจุดนี้ จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมการบินไทยจึงได้ถอนตัวออกจากตลาดภายในประเทศ (domestic market) เพราะว่าตลาดภายในประเทศราคาถูกมาก ซึ่งเมื่อมีโลว์คอสต์ แอร์ไลน์เกิดขึ้น สิงคโปร์ แอร์ไลน์ก็มีไทเกอร์ แอร์เวย์ส เพราะเขาต้องการรักษาตำแหน่งให้สามารถสู้กันเองได้ โดยการแบ่งให้ชัดเจนและวางตำแหน่งเพื่อจะได้ไม่ตีกัน โดยโพซิชันนิ่งของนกแอร์คือต้องการให้คนไทยบินก่อน ทำตรงนี้ให้แม่นเสร็จแล้วจึงจะเริ่มในเส้นทางระหว่างประเทศ" พาที กล่าว
ที่ผ่านมาอัตราการบรรทุกเฉลี่ย (Load Factor) ของนกแอร์นับตั้งแต่เดือนมกราคม 2553 จนถึงปัจจุบัน เฉลี่ย 86-87% ทุกเดือน ขณะที่มีสถานการณ์การชุมนุมทางการเมือง แต่อัตราการบรรทุกเฉลี่ยของนกแอร์ไม่ลดลง กลับเพิ่มขึ้น สาเหตุน่าจะมาจากคนอยากหนีออกจากกรุงเทพฯ อีกทั้งกำไรในเดือนมกราคมของนกแอร์ ตั้งเป้าได้ 35 ล้านบาท แต่ได้จริงถึง 54 ล้านบาท เดือนกุมภาพันธ์ ตั้งเป้ามีกำไร 12 ล้านบาท ได้จริงประมาณ 43 ล้านบาท เดือนมีนาคม ตั้งเป้ากำไร 35 ล้านบาท ได้จริงถึง 74 ล้านบาท และเดือนเมษายน ตั้งเป้ากำไร 50 ล้านบาท แต่ได้จริงๆ 111 ล้านบาท ดังนั้น ในปี 2553 นี้ นกแอร์จึงมีการตั้งเป้ารายได้ทั้งปีไว้ที่ 350 ล้านบาท จากปี 2552 โดยมีรายได้ประมาณกว่า 336 ล้านบาท
แม้ว่าวัน-ทู-โกจะเป็นสายการบินต้นทุนต่ำเหมือนกับสองค่ายดังกล่าวก็ตาม แต่การวางตำแหน่งทางการตลาดของสายการบินค่ายวัน-ทู-โกก็ไม่เหมือนกับสองค่าย ว่ากันว่าการตั้งราคาเดียวในทุกเส้นทางกลายเป็นกลยุทธ์หนึ่งที่วัน-ทู-โกหยิบนำมาใช้ประโยชน์ควบคู่ไปกับการอัดโปรโมชั่นแคมเปญใหม่ๆออกมากระตุ้นตลาดเพื่อให้ลูกค้าเข้าไปใช้บริการ
ล่าสุด วัน-ทู-โก มีแผนการตลาดเพื่อเพิ่มสิทธิประโยชน์ สำหรับกลุ่มลูกค้าสมาชิกคนสำคัญผู้ถือบัตร i Ticket และ Go Card สายการบินโอเรียนท์ไทย จัดแคมเปญพิเศษ "เพิ่มจุใจ" ตอบแทนลูกค้าสมาชิก ซึ่งสมาชิกบัตร i Ticket รับคะแนนสะสมเพิ่มเป็น 2 bonus points มีมูลค่าเท่ากับ 200 บาท (ปรกติ 1 bonus point มูลค่าเท่ากับ 100 บาท) เพียงซื้อบัตรโดยสารภายในประเทศ ในราคาปรกติ และเมื่อสะสมครบถึง 15 bonus points สามารถนำมาใช้แทนเงินสด ในการแลกซื้อบัตรโดยสารภายในประเทศของสายการบิน
และสำหรับสมาชิกบัตร Go Card เพียงเติมเงิน หรือสมัครบัตรฯ จะได้รับมูลค่าเพิ่มพิเศษอีก 5% ทันที โดยในระดับ Gold ได้เพิ่มเป็น 13% และ Platinum ได้เพิ่มเป็น 15% แคมเปญพิเศษนี้เริ่มตั้งแต่วันที่ 1-31 พฤษภาคม 2553
|
|
|
|
|