Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ASTVผู้จัดการรายวัน27 พฤษภาคม 2553
ส่งออกเม.ย.พุ่ง35%การเมืองไม่มีผล             
 


   
www resources

โฮมเพจ กระทรวงพาณิชย์

   
search resources

กระทรวงพาณิชย์
Import-Export




ส่งออกเม.ย.พุ่ง 35% โตต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 6 หลังเศรษฐกิจโลกฟื้นตัว การเมืองในประเทศป่วนไม่มีผล “พรทิวา” มั่นใจเดือนหน้ายังส่งออกได้ดี ทั้งปีโตตามเป้า 14% แน่

นางพรทิวา นาคาศัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า การส่งออกของไทยในเดือนเม.ย.2553 มีมูลค่า 14,091 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 35.16% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน นับเป็นการเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 6 การนำเข้ามีมูลค่า 14,357 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 46% ส่งผลให้ขาดดุลการค้า 266 ล้านเหรียญสหรัฐ ส่วนในช่วง 4 เดือนแรก (ม.ค.-เม.ย.) 53 ส่งออกมีมูลค่ารวม 58,471.6 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 32.45% การนำเข้ามีมูลค่า 56,627.5 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 54.88% และดุลการเกินดุล 1,844.1 ล้านเหรียญสหรัฐ

สำหรับการส่งออกในเดือนเม.ย.ที่เพิ่มขึ้นถึง 35.16% นั้นเป็นการเพิ่มขึ้นในทุกหมวดสินค้า โดยสินค้าเกษตร/อุตสาหกรรมการเกษตร เพิ่มขึ้น 27.5% จากการเพิ่มขึ้นทั้งในแง่ปริมาณ และมูลค่าของมันสำปะหลัง น้ำตาล อาหารทะเลแช่แข็ง กระป๋อง และแปรรูป กุ้งแช่แข็งและแปรรูป ผักและผลไม้ โดยสินค้าที่ลดลงทั้งปริมาณและมูลค่า ได้แก่ ข้าว เพราะปัญหาการแข่งขันด้านราคากับเวียดนาม ปากีสถาน และอินเดีย รวมถึงการแข็งค่าของเงินบาท

ส่วนสินค้าอุตสาหกรรม เพิ่มขึ้น 37.1% โดยสินค้าที่ส่งออกเพิ่มขึ้นสูงกว่า 20% เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้า ยานยนต์ เม็ดและผลิตภัณฑ์พลาสติก ผลิตภัณฑ์ยาง เครื่องสำอาง ขณะที่อัญมณี เพิ่มสูงถึง 305.9% เพราะการส่งออกทอคำสูงขึ้น 1,138%

ขณะที่ตลาดส่งออกเพิ่มขึ้นต่อเนื่องทั้งตลาดหลัก และตลาดใหม่ โดยตลาดหลักส่งออกเพิ่มขึ้น 21% ต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 6 จากการสูงขึ้นของ สหรัฐฯ 12.5% ญี่ปุ่น 13.6% สหภาพยุโรป (15 ประเทศ) 15% อาเซียน (5 ประเทศ) 36.4% ส่วนตลาดใหม่ เพิ่มขึ้น 48.4% จากการเพิ่มขึ้นของ ฮ่องกง 47% เกาหลีใต้ 22% ออสเตรเลีย 148.3% อินโดจีน 53.8% ตะวันออกกลาง 29.9% ละตินอเมริกา 64% ยุโรปตะวันออก 50.1% เอเชียใต้ 18.9% และจีน 26.9%

ทางด้านการนำเข้าในเดือนเม.ย.ที่เพิ่มขึ้น 46% นั้น เป็นการเพิ่มขึ้นในทุกหมวดสินค้า โดยเชื้อเพลิง เพิ่ม 67.6% สินค้าทุน 45.2% เพราะนักลงทุนมั่นใจภาวะเศรษฐกิจที่ฟื้นตัว ทำให้มีการขยายการลงทุน ประกอบกับโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐเพิ่มดำเนินการ สินค้าวัตถุดิบ/กึ่งสำเร็จรูป เพิ่ม 40.2% สอดคล้องกับภาคการส่งออกที่เพิ่มขึ้น สินค้าอุปโภคบริโภค เพิ่ม 30.8% ยานพาหนะและอุปกรณ์ขนส่ง เพิ่ม 87% จากยอดจำหน่ายรถยนต์ในประเทศ รวมทั้งตลาดส่งออกขยายตัว

นางพรทิวากล่าวว่า การส่งออกของไทยที่เพิ่มขึ้น เป็นเพราะเศรษฐกิจทั่วโลกฟื้นตัว ทำให้ประเทศคู่ค้าเริ่มนำเข้าสินค้าเพิ่มขึ้น โดยปัญหาการเมือง ไม่ได้มีผลกระทบต่อการส่งออก เพราะไทยสามารถชี้แจงให้ประเทศคู่ค้ามั่นใจและเชื่อมั่นในการทำการค้ากับไทย และในเดือนมิ.ย. จะเชิญผู้นำเข้ารายสำคัญที่นำเข้าสินค้าไทยจำนวน 200 รายมาเป็นแขกรัฐบาลไทยภายใต้โครงการไทยแลนด์ เบส เฟรนด์ ซึ่งจะถือเป็นงานแรกที่จะฟื้นความเชื่อมั่นให้กับคู่ค้า

“แม้จะมีปัญหาทางการเมือง แต่ก็ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการส่งออก ซึ่งคู่ค้าก็เข้าใจไทย โดยเชื่อว่าการส่งออกในเดือนพ.ค. แม้จะเป็นเดือนที่มีปัญหา จะยังส่งออกได้ไม่ต่ำกว่า 14,000 ล้านเหรียญสหรัฐ และทั้งปียังยืนยันขยายตัวตามเป้าหมายที่ 14% มูลค่า 174,000 ล้านเหรียญสหรัฐแน่นอน” นางพรทิวากล่าว

ส่วนปัญหาวิกฤติการเงินของประเทศกรีซนั้น ไม่น่าจะมีผลกระทบต่อประเทศอื่นๆ ในยุโรปจนทำให้การส่งออกของไทยไปยุโรปมีปัญหา แต่ห่วงค่าเงินยูโรที่มีแนวโน้มอ่อนค่าลงมากอย่างต่อเนื่อง จึงแนะนำให้ผู้ส่งออกซื้ออัตราแลกเปลี่ยนล่วงหน้าแบบฟิกซ์ค่าเงินไว้ (fix rate) เพื่อป้องกันความเสี่ยง หากเงินยูโรลดลงอีก อย่างไรก็ตาม กรมส่งเสริมการส่งออกจะจัดทีมไปสอบถามผู้ส่งออกไทยที่ทำการค้ากับยุโรป ถึงผลกระทบ ของวิกฤติกรีซในครั้งนี้ ก่อนหามาตรการช่วยเหลือต่อไป   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us