|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
นายมนตรี ศรไพศาล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ (บล.)กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด ( มหาชน ) หรือ KEST เปิดเผยว่าบริษัทคาดว่ากำไรสุทธิปีนี้อยู่ที่ 500 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 717 ล้านบาท เนื่องจากได้รับผลกระทบจากการคิดค่าธรรมเนียมซื้อขายหลักทรัพย์(ค่าคอมมิชชั่น) ขั้นบันได ทำให้ค่าคอมมิชชั่นเฉลี่ยอยู่ที่ 0.20% จากปีก่อนที่ค่าคอมมิชชั่นที่ 0.25% และจากการที่มูลค่าการซื้อขายในปีนี้คาดว่าจะอยู่ที่ 20,000 – 25,000 ล้านบาทต่อวัน สูงกว่าปีก่อนที่เฉลี่ย 18,000 ล้านบาท จะสนับสนุนให้บริษัทสามารถมีกำไรได้ตามเป้าหมาย
ทั้งนี้ บริษัทยังคงมั่นใจว่าส่วนแบ่งการตลาด(มาร์เกตแชร์)ปีนี้จะอยู่ที่ระดับ 12-13% เพราะ บริษัทจะเน้นในเรื่องการให้ข้อมูลความรู้แก่นักลงทุนและจะพัฒนาระบบเพื่อให้ลูกค้ามีความสะดวกในการส่งคำสั่งซื้อขาย จึงเชื่อว่าจะมีนักลงทุนเข้ามาเปิดบัญชีการซื้อขายมากขึ้น ณ 10 เมษายน บริษัทมีบัญชีการซื้อขายอยู่ที่ 7.6 หมื่นบัญชี จากสิ้นปีก่อนที่ 7.3 หมื่นบัญชี และจากมูลค่าการซื้อขายหลักทรัพย์ในปัจจุบันถือว่ายังอยู่ในระดับที่สูง 2.1 หมื่นล้านบาท จึงเชื่อว่าในไตรมาส2/53 ส่วนแบ่งการตลาดของบริษัทยังอยู่ระดับใกล้เคียงกับไตรมาส1/53
" บริษัทยังมั่นใจว่ารายได้รวมปีนี้ของบริษัทจะเป็นไปตามเป้าหมายที่ 2.5 พันล้านบาท แต่ในด้านกำไรสุทธินั้นคงไม่ได้ทำสถิติสูงสุดใหม่จากปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 717 ล้านบาท ซึ่งสูงสุดในรอบ 5 ปี แต่ปีนี้คาดว่ากำไรสุทธิของบริษัทจะอยู่ระดับเดียวกับ ปี 49-51 ที่มีกำไรสุทธิ 500 ล้านบาท จากผลกระทบจากการคิดค่าคอมมิชชั่นขั้นบันได " นายมนตรี กล่าว
สำหรับปัจจุบันนักลงทุนสถาบันยังกลับมาส่งคำสั่งซื้อขายกับทางบล.กิมเอ็ง ยังไม่กลับมาระดับปกติ จากช่วงที่มีเหตุการณ์ปะทะกันระหว่างกลุ่มผู้ชุมนุมเสื้อแดง กับหน่วยงานของรัฐบาลนั้นในบริเวณสี่แยกราชประสงค์นั้นซึ่งสำนักงานใหญ่ของบริษัทอยู่ที่เซ็นทรัลเวิร์ล ทำให้นักลงทุนสถาบันไม่มั่นใจว่าบริษัทจะสามารถทำธุรกรรมให้ได้ครบถ้วน จึงขอลดส่งคำสั่งซื้อขายลงทำให้มาร์เกตแชร์ในส่วนของลูกค้าสถาบันลดลง แต่เชื่อว่าในสัปดาห์หน้านักลงทุนสถาบันจะกลับมาส่งคำสั่งซื้อขาย ผ่านบล.กิมเอ็ง ได้ตามปกติ โดยเชื่อว่าสิ้นปีนี้มาร์เกตแชร์ในส่วนนักลงทุนสถาบันอยู่ที่4-5% จากสิ้นเดือนมีนาคมอยู่ที่ 2.25%
นายมนตรี กล่าวว่า ยอดการปล่อยสินเชื่อเพื่อซื้อหลักทรัพย์ (มาร์จิ้นโลน)ปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 2,000 ล้านบาท โดยในช่วงที่ดัชนีปรับตัวลดลงมานั้น บริษัทไม่ได้มีการบังคับขายหุ้นของลูกค้า ทำให้นักลงทุนไม่ได้รับความเสียหาย ขณะที่พอร์ตการลงทุนของบริษัทนั้น ที่ได้เริ่มลงทุนในช่วง มีนาคมที่ผ่าน ซึ่งมูลค่าการลงทุนยังไม่มากนัก เพราะบริษัทได้ตั้งวงเงินในการลงทุนพอร์ต 100 ล้านบาท ขณะที่ยอดการยืมและให้ยืมหลักทรัพย์ (SBL) อยู่ที่ประมาณ 300-500 ล้านบาท
ทั้งนี้ บริษัทคาดว่าปีนี้ จะนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) และตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอ็มไอ (mai) 2-3 บริษัท จากที่บริษัทมีงานอยู่ในมือ 5-10 บริษัท ขณะที่งานการควบรวมกิจการ (M&A) 2-3 จากงานในมือ 4-5 งาน และบริษัทมีงานการเป็นที่ปรึกษาในกาเสนอขายกองทุนอสังหาริมทรัพย์ 2-3 กอง และอื่นๆ โดยคาดว่ามีนี้จะมีรายได้ด้านวาณิชธกิจปีนี้จะอยู่ระดับเดียวกับปีก่อนที่ 40 ล้านบาท จากไตรมาส1/53ที่มีรายได้เพียง 2 ล้านบาท
|
|
|
|
|