|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
นายเผด็จ หงษ์ฟ้า ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอ็ม พิคเจอร์ส เอ็น เตอร์เทนเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ MPIC เปิดเผยว่า บริษัทคาดว่ากำไรสุทธิในไตรมาส2/53 เพิ่มขึ้น 10-20% จากไตรมาส1/53ที่มีกำไรสุทธิ 2 ล้านบาท เนื่องจาก รับรู้รายได้จากบริษัทย่อยคือบริษัทเอ็มวีดีซึ่งเป็นผู้ผลิตและจัดจำหน่ายวีซีดีและดีวีดี ที่จัดจำหน่ายสินค้าให้ร้านเช่าได้ครอบคลุมที่ดี ขณะที่หนังของเอ็ม พิคเจอร์ส ฯคาดว่าจะสร้างรายได้ที่ดี แม้บริษัทจะได้รับผลกระทบจากการชุมนุมของคนกลุ่มเสื้อแดง
ทั้งนี้ ทำให้ต้องหยุดทำงานจำนวน 10 วันจากที่เข้าไปสำนักงานของบริษัทไม่ได้จากที่อยู่ที่ชั้น5 ของบิ๊กซีราชดำริ ทำให้เข้าไปทำงานไม่ได้ แต่บริษัทไม่ได้ถูกไฟไหม้ ซึ่งขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างการย้ายสำนักงานไปอยู่ที่เมเจอร์สรัชโยธิน และจากความไม่สงบที่เกิดขึ้นนั้น ถือว่าเป็นผลดีกับบริษัทเพราะ ประชาชนไม่ได้ออกนอกบ้านจึงทำให้มีการไปเช่าหนังแผ่นมาดูที่บ้าน
" กำไรสุทธิในไตรมาส2/53จะโตกว่าไตรมาส1/53ประมาณ 10-20% โดยส่วนใหญ่มาจากเอ็มวีดี และในไตรมาส3/53 บริษัทคาดว่าจะมีกำไรสุทธิที่ดีกว่าไตรมาส2/53 และในไตรมาส 4 เป็นช่วงที่บริษัทมียอดการขายดีที่สุด จากที่จะมีการออกวีซีดีและดีวีดีหลายเรื่องและเป็นเรื่องที่ทำรายได้ดี จากฮอลลีวูดส์จึงทำให้บริษัทมั่นใจว่ารายได้และกำไรปีนี้จะเติบโตที่ดี "นายเผเด็จ กล่าว
บริษัทได้มีการใช้เงินในการซื้อหนังเมืองคานส์ จำนวน 30 ล้านบาท จำนวน 19 เรื่อง เพื่อที่จะออกฉายและจำหน่ายในปีหน้า และบริษัทเตรียมที่จะไปซื้อหนังเพิ่มที่สหรัฐอเมริกาในเดือนพฤศจิกายนนี้ อีก โดยบริษัทตั้งงบในการซื้อหนังแต่ละปีจำนวน 150-200 ล้านบาท โดยบริษัทคาดว่ารายได้รวมปีนี้ของบริษัทจะมีจำนวน 1.2-1.3 พันล้านบาท แบ่งเป็นรับรู้จากบริษัทเอ็มวีดี จำนวน 800 ล้านบาท และอีก400 บาท เป็นรายได้ของบริษัท
สำหรับปัจจุบันมีผลขาดทุนสะสมอยู่จำนวน 100 ล้านบาท โดยบริษัทจะพยามที่จะล้างขาดทุนสะสมให้หมดในปีนี้ แต่อาจจะไม่หมดในปีนี้ ส่วนราคาหุ้นของบริษัทนั้นมีการปรับตัวลดลงมาจากภาวะตลาดโดยรวมที่ไม่ดี แต่ก็ยังถือว่ายังอยู่ในระดับที่ดีประมาณกว่า 1 บาท แต่หากผลประกอบการของบริษัทออกมาดีในไตรมาส2/53 เชื่อว่าราคาหุ้นก็จะมีการสะท้อนออกมาที่ดี 3บริษัทคาดว่าจะมีกำไรสุทธิที่ดีกว่าไตรมาส
|
|
|
|
|