ศรีไทยซุปเปอร์แวร์เพิ่งจะเฉลิมฉลองวาระการดำเนินงานครบรอบ 30 ปีเต็มเมื่อปลายเดือนที่แล้ว
ภายใต้บรรยากาศที่แฝงด้วยกลิ่นอายของวัฒนธรรมประเพณีไทยอย่างเต็มเปี่ยม
"ปีนี้ครบรอบ 30 ปี ของการเกิดศรีไทยฯ จึงควรเป็นปีที่สร้างฐานให้แข็งแรงเพื่ออนาคตที่แข็งแกร่ง
เราผ่านยุคของการเริ่มต้นบุกเบิก สู่ยุคของการเปลี่ยนแปลงพัฒนา เข้าสู่ยุคของความเป็นสากลแล้ว"
สนั่น อังอุบลกุล กรรมการผู้จัดการบริษัทศรีไทย ซุปเปอร์แวร์กล่าวกับ "ผู้จัดการ"
ปัจจุบันศรีไทยฯ มีส่วนแบ่งตลาดในสินค้าสองประเภทหลักคือ เมลามีนและพลาสติกรวมกัน
65 % ปีที่แล้วมียอดขายรวม 1,800 กว่าล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2535 โดยเฉลี่ยถึง
2 % และวางเป้ายอดขายในปีนี้ว่าจะพุ่งขึ้นไปถึง 2,200 ล้านบาท
สนั่นมีเหตุผลต่อยอดขายที่จะเพิ่มขึ้นในปีนี้ เขาอธิบายว่า การเติบโตของศรีไทยฯ
มีสาเหตุมาจากสภาวะแวดล้อมทั้งภายในและภายนอกสภาวะแวดล้อม ภายในคือกำลังการผลิตของศรีไทยและสยามเมลามีนซึ่งเป็นบริษัทในเครือเวลานี้ขยายได้อย่างเต็มที่ปัจจุบันเมลามีนผลิตได้
700 ตันต่อเดือน ส่วนพลาสติกผลิตได้ 1,400 ตันต่อเดือน
ในส่วนของเมลามีนหลักจากสร้างโรงงานผลิตเพิ่มขึ้นที่เขตอุตสาหกรรมสุรนารีที่จังหวัดนครราชสีมา
และเริ่มเดินเครื่องผลิตสมบูรณ์เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมานี้แล้ว ทำให้สามารถขยายกำลังการผลิตเพิ่มได้อีก
50 % สนองปริมาณความต้องการของตลาดได้ทั้งในประเทศและต่างประเทศ
ตลาดเมลามีนมีทีท่าที่จะขยายตัวสนองรับความต้องการของตลาดที่เพิ่มขึ้นเรื่อย
ๆ การสร้างโรงงานผลิตเพื่อการส่งออกจึงเป็นเป้าหมายสำคัญ พื้นที่ 64 ไร่
ในเขตอุตสาหกรรมสุรนารีซึ่งเวลานี้ใช้เนื้อที่ไปเพียง 32 ไร่นั้นจึงรอเวลาที่จะขยายให้เต็มพื้นที่ในอีก
2 ปีข้างหน้า
"เรามีโครงการย้ายโรงงานเมลามีนจากสุขสวัสดิ์ไปอยู่รวมที่เขตสุรนารี
หนึ่งเพื่อความสะดวกในการรวมศูนย์การบริหารและการควบคุมไว้ที่แห่งเดียวกัน
สองเพื่อสนองตอบนโยบายของรัฐที่ประกาศว่าใครก็ตามที่ไปตั้งโรงงานอยู่ในโซน
3 ของเขตอุตสาหกรรมจะได้รับการส่งเสริมจากบีโอไอไม่ว่าจะเป็นการผลิตเพื่อการส่งออกหรือผลิตเพื่อขายในประเทศก็ตาม"
สนั่นกล่าว
ส่วนสภาวะแวดล้อมภายนอกก็คือ ความต้องการที่เพิ่มขึ้นของตลาดทั้งภายในและภายนอกประเทศ
การเพิ่มขึ้นของตลาดมีผลมาจากเมลามีนสามารถทดแทน จาน ชาม และภาชนะบนโต๊ะอาหารประเภทเครื่องแก้ว
และกระเบื้องได้เป็นอย่างดียอด ขายของเมลามีนจึงได้มากกว่าพลาสติกถึง 55-60%
ของยอดขายทั้งหมดของบริษัทซึ่งมาจากช่องทางจัดจำหน่ายที่ต่างกัน
เมลามีนใช้วิธีการขายตรงโดยผ่านพิธีกรที่มีจำนวน 30,000 คน สามารถทำยอดขายได้
30 % ของยอดขายทั้งหมด ในขณะที่ขายผ่านร้านค้าปลีกและร้านขายส่งได้ทำยอดขายได้
30 % มียอดขายมาจากการส่งออกไปขายยังต่างประเทศ 30 ประเทศอีก 35 % ส่วนที่เหลือ
5 % มาจากการขายผ่านอุตสาหกรรม ร้านอาหารต่าง ๆ ซึ่งสั่งทำพิเศษ
ส่วนพลาสติกนั้น สนั่นเล่าว่า มียอดขายประมาณ 40-45% ของยอดขายทั้งหมดความต้องการสินค้าที่ทำด้วยพลาสติกยังมีน้อยกว่าความต้องการของเมลามีน
ด้วยสาเหตุนี้จึงทำให้ศรีไทยฯ ใช้ความพยายามในการค้นหาการผลิตสินค้าพลาสติกเพื่อทดแทนวัตถุอื่น
ๆ เช่น เก้าอี้ ลัง แพเล็ทหรือกะบะรองยกของ และแบตเตอรี่พลาสติก สินค้าพวกนี้ผลิตและออกสู่ตลาดไปเมื่อ
2 ปีที่แล้วตลาดสนองรับอย่างดีจนต้องผลิตเพิ่ม
โดยเฉพาะแบตเตอรี่พลาสติก สนั่นคาดว่าภายใน 3 ปี ตลาดจะหันมาใช้พลาสติกแทนยางกันหมด
ส่วนสินค้าใหม่ที่ศรีไทยฯ ใช้เวลาคิดค้นและดีไซน์ถึง 3 ปีเต็มคือถังใส่สีทาบ้าน
ซึ่งจะเริ่มออกสู่ตลาดภายในปีนี้นอกจากนี้ก็ยังมีถังขยะสีเขียวที่กทม. นำมาวางตามท้องถนนเวลานี้
สนั่นกำลังใช้ความพยายามในการเจรจากับกทม. และบริษัทในเยอรมันที่นำเข้ามาว่า
ทางเมืองไทยสามารถผลิตได้มาตรฐานเท่าเทียมกับในเยอรมันจึงขอเป็นผู้ผลิตเอง
คาดว่าคงมีการเซ็นสัญญาเป็นผู้ผลิตในไม่ช้านี้
นอกจากนี้ตลาดหมวกกันน็อค ซึ่งกำลังเป็นที่ต้องการของตลาด และมีความจำเป็นมากขึ้น
ๆ จากเฉพาะกทม. เป็นทั่วประเทศ ทำให้ศรีไทยฯ ไม่คิดที่จะอยู่นิ่ง เริ่มทำการศึกษาแล้ว
ขณะนี้กำลังอยู่ระหว่างขั้นตอนคัดเลือกใช้เทคโนโลยีที่ไหนดีที่สุด คาดว่าขึ้นปีที่
31 สินค้าใหม่ ๆ ในไลน์พลาสติกจะออกสู่ตลาดอีกมากมาย
จากเหตุดังกล่าวทำให้คาดการณ์ว่าในส่วนศรีไทยฯ สินค้าพลาสติกจะทำให้ยอดขายเพิ่มสูงกว่า
20 % ของยอดในปีที่ผ่านมาเลยทีเดียว
และอัตราการเติบโตปีละ 20 % นี้เป็นหนึ่งในสี่เป้าหมายของแผน 5 ปีที่ศรีไทยฯ
วางไว้สำหรับอนาคตของตัวเองในวัยที่อายุกิจการขึ้นต้นด้วยเลข 3 แล้ว อีก
4 ข้อที่เหลือคือขยายกำลังการผลิตและการกระจายการลงทุนไปสู่ภูมิภาค เพิ่มการลงทุนในต่างประเทศให้มากขึ้น
โดยปัจจุบันมีการลงทุนในเวียตนามอย่างแน่นอนเพราะได้มีการศึกษาโครงการแล้ว
และเป้าหมายข้อสุดท้ายคือจะมีการร่วมทุนกับต่างชาติมากยิ่งขึ้น