|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
ความเคลื่อนไหวตลาดหุ้นไทยวานนี้ (24พ.ค.) ซึ่งเป็นวันแรกหลังจากต้องหยุดพักการซื้อขายไป 2 วัน จากเหตุการณืความไม่สงบทางการเมือง โดยปิดที่ระดับ 744.31 จุด ลดลง 21.23 จุด หรือ -2.77% มูลค่าการซื้อขาย 27,683.30 ล้านบาท ระหว่างวันปรับตัวสูงสุด 760.39จุด และต่ำสุดที่ 742.04 จุด
โดยเมื่อแยกออกเป็นกลุ่มนักลงบทุนพบว่า มีเพียงนักลงทุนทั่วไปแค่กลุ่มเดียวที่ซื้อสุทธิ 8,891.49 ล้านบาท ขณะที่นักลงทุนต่างประเทศขายสุทธิ 7,757.45 ล้านบาท เช่นเดียวกับสถาบัน และบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ (บล.)ที่ขายสุทธิ 939.30 ล้านบาท และ 194.73 ล้านบาท ตามลำดับ
นางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.)เปิดเผยว่า ภาวะตลาดหุ้นไทยวานนี้(24พ.ค.)ที่ปรับตัวลดลงมาก ส่วนตัวคาดว่านักลงทุนรอประเมินสถานการณ์ทางการเมืองก่อน ขณะเดียวกันราคาน้ำมันก็มีการปรับตัวลดลง ขณะที่ในช่วงที่ผ่านมาดัชนีตลาดหุ้นไทยมีกาปรับตัวเพิ่มขึ้นมาตลอด แต่ตลาดหุ้นอื่นๆมีการปรับตัวลดลง จึงมีการเทขายหุ้นออกมา
อย่างไรก็ตาม อยากให้นักลงทุนมีการติดตามข้อมูลในเรื่องปัจจัยทางการเมืองซึ่งมีทิศทางที่ จะคลี่คลายไปในทางที่ดีพอสมควร และต้องติดตามในเรื่องการบริหารจัดการของภาครัฐ รวมถึงผลประกอบการของภาคเอกชนประกอบการตัดสินใจในการลงทุนด้วย ซึ่งบริษัทจดทะเบียนมีกำไรสุทธิในไตรมาส1/53จำนวน 1.57 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 80%เทียบกับไตรมาส1/52 แต่หากเทียบกับไตรมาส4/52 จะโตเพิ่มขึ้น 30% ถือว่ามีการเติบโตที่ดี
“ในช่วงเช้าตลาดหลักทรัพย์ฯมีการทดสอบระบบ ซึ่งสามารถที่จะเชื่อมต่อกับบล.สมาชิกได้ แต่มีบางบล.บางรายที่ยังไม่สามารถเข้าทำงานในสำนักงานจำนวน 3-4 แห่ง จึงต้องมีการไปทำงานที่สาขาสำรอง โดยในช่วงการซื้อขายภาคเช้า ดัชนีมีการปรับตัวลดลง18 จุด หรือ 2% จากนักลงทุนรอดูสถานการณ์ทางการเมือง แต่มูลค่าการซื้อขายหนาแน่นถึง 1.5 หมื่นล้านบาท”นางภัทรียา กล่าว
ส่วนกรณีที่ตลาดหลักทรัพย์ฯได้มีการสอบถามบจ.ให้มีการชี้แจงว่าได้รับผล กระทบกับเหตุการณ์ความไม่สงบอย่างไร ซึ่งขณะนี้เริ่มมีบจ.ทำการชี้แจงเข้ามาซึ่ง บจ.ส่วนใหญ่ที่จะได้รับผลกระทบคือ กลุ่มท่องเที่ยว โรงแรม และพาณิชย์ ส่วนการลงทุนของนักลงทุนต่างประเทศคาดว่าอาจจะมีแรงขายหุ้นไทยออกมาในช่วง นี้ เพราะ จากการสอบถามไปยังบริษัทหลักทรัพย์ต่างประเทศ และนายกสมาคมบริษัทหลักทรัพย์ต่างประเทศนั้น พบว่า นักลงทุนต่างประเทศบางส่วนมีการความพร้อมในการลงทุน แต่นักลงทุนบางกลุ่มนั้นยังรอดูความชัดเจนทางการเมืองเมืองแม้เหตุการณ์จะ คลี่คลาย หากไม่เกิดเหตุรุนแรงอีกน่าจะกลับมาตัดสินใจในการลงทุนในตลาดหุ้นไทย
ทั้งนี้ตลาดหลักทรัพย์ฯได้มีการเลื่อนการไปนำเสนอข้อมูล (โรดโชว์)ในต่างประเทศที่เดิมจะจัดขึ้นในเดือนมิถุนายนนี้ ที่จะเดินทางไป สิงคโปร์ ยุโรป สหรัฐอเมริกา เพื่อรอให้สถานการณ์ทางการเมืองมีความชัดเจนมากขึ้น เพื่อให้มีข้อมูลที่เพียงพอ ทั้งผลประกอบการของบจ.และมีความพร้อมในทุกด้านเพื่อที่จะไปชี้แจงกับนักลง ทุนรต่างประเทศ แล้วจึงจะมีการประเมินและกำหนดวันที่จะไปโรดโชว์ข้อมูลอีกครั้ง โดยขณะนี้ยังไม่สามารถตอบได้ว่าจะไปได้เมื่อไร
ส่วนการที่ ศอฉ.ห้ามการทำธุรกรรมทางการเงินของบุคคล106 รายชื่อนั้น ตลาดหลักทรัพย์ฯได้มีการประสานทางสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาด หลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เพื่อติดตามในเรื่องการทำธุรกรรมทางการเงิน ซึ่งเบื้องต้นพบว่ามีการทำธุรกรรมไม่มากนัก
สำหรับในเรื่องการชำระราคาหลักทรัพย์ของการซื้อขายตั้งแต่วันที่17-19 พฤษภาคมที่จะมีการชำระราคาในวันที่ 24 พฤษภาคมนั้น ขณะนี้พบกว่ามีการดำเนินการเรียบร้อยดีไม่มีปัญหาอะไร ส่วนในเรื่องความเสียหายของอาคารตลาดหลักทรัพย์ฯนั้นเบื้องต้นมูลค่าความ เสียหายไม่มากนัก โดยอยู่ระหว่างให้ทางประกันภัยมีการประเมิน แต่ตลาดหลักทรัพย์ฯมีการทำประกันครอบคลุมอยู่แล้ว
**โบรกฯชี้นักลงทุนยังกังวลการเมือง
น.ส.ธีรดา ชาญยิ่งยงค์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟิลลิป(ประเทศไทย)กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวันนี้ปรับตัวลง เนื่องจากปัจจัยการเมืองยังไม่จบเรียบรั้อย และรับผลกระทบจากตลาดต่างประเทศที่ได้ปรับตัวลงไปในช่วงที่ตลาดหุ้นไทยหยุด ทำการ ซึ่งเป็นผลจากที่มีความวิตกปัญหาหนี้สินของกรีซ แต่วานนี้ตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคต่างก็รีบาวน์กันบ้างแล้ว ทำให้ภาพรวมคาดว่าตลาดไทยยังคงรับแรงขายจากนักลงทุนต่างชาติ สังเกตุจากหุ้นที่ปรับตัวลงต่างเป็นหุ้นขนาดใหญ่
ทำให้แนวโน้มการลงทุนในวันนี้(25 พ.ค.) หากวิกฤตกรีซยังทำให้ตลาดฯวิตก ตลาดหุ้นไทยก็คงจะมี Sentiment ในทำนองเดียวกัน และปัญหาการเมืองที่ยังไม่เคลียร์ ก็คงจะทำให้นักลงทุนต่างชาติยังไม่ไว้วางใจ พร้อมให้กรอบการแกว่งไว้ที่ 756-730 จุด
**ไตรมาสแรกบจ.กำไรรวมกว่า 1.5 แสนล.
ขณะเดียวกันเย็นวานนี้ ตลาดหลักทรัพย์ประกาศว่า บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ (SET) และตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) จำนวน 524 บริษัท หรือ 93%ของบริษัทจดทะเบียนทั้งหมด 562 บริษัท (รวมกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ 26 กองทุน) ได้ส่งงบการเงินงวดสิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2553 แล้ว โดยมีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นทุกกลุ่มอุตสาหกรรม รวม 157,061 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนซึ่งมีกำไรรวม 85,052 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 85 % โดยส่วนใหญ่มาจากผลประกอบการของบริษัทใน 3 กลุ่มอุตสาหกรรมที่มีกำไรสูงสุด ได้แก่ กลุ่มทรัพยากร กลุ่มธุรกิจการเงิน และกลุ่มอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง เนื่องจากยอดขายที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นสูงขึ้น รวมทั้งมีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน
สำหรับบริษัทจดทะเบียนมีกำไรสุทธิสูงสุด 5 อันดับแรก คือ บมจ. ปตท. (PTT) บมจ.การบินไทย (THAI)บมจ. ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) บมจ. ปูนซิเมนต์ไทย (SCC) และ บมจ.ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB)
|
|
|
|
|