นักลงทุนต่างชาติหนีเสื้อแดงเผาเมือง เทขายหุ้นขนเงินกลับบ้านอีก 4.2 พันล้าน ฉุดหุ้นไทยรูด 15 จุด รวมแค่ 9 วันในเดือนพ.ค.ขายสุทธิถึง 3.1 หมื่นล้าน ฉุดยอดซื้อสุทธิต้นปีเหลือแค่ 7 พันล้านบาท จากยอดกว่า 4 หมื่นล้านเมื่อมีนาคม และส่อลดวูบอีก ด้าน “บล.โกลเบล็ก” มองการเมืองวุ่นไม่เลิก ส่งผลการลงทุนชะลอต่อเนื่อง แต่เชื่อรัฐจะเข้าคลี่คลายสถานการณ์ได้ในเร็วๆนี้ แนะนำหยุดลงทุน ชี้หากยังยืดเยื้อส่อฉุดดัชนีอาจต่ำกว่า 700 จุด ส่วนตลท.เลื่อนปิดเร็วขึ้น 1 ชม.ต่อ
ดัชนีตลาดหุ้นไทยวานนี้ (17พ.ค.)ปรับตัวอยู่ในแดนลบตลอดทั้งวัน โดยปิดที่ระดับ 753.26 จุด ลดลง 15.53จุด หรือ 2.02% มูลค่าการซื้อขาย 17,662.76 ล้านบาท ซึ่งเป็นไปตามความกังวลของนักลงทุน โดยเฉพาะนักลงทุนต่างประเทศที่มีการขายสุทธิอีก 4,219.30 ล้านบาท รวมเพียงแค่ 9 วันของเดือนพฤษภาคม ที่เปิดให้มีการซื้อขาย นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิหุ้นไทยไปแล้ว 31,305.43 ล้านบาท จากยอดซื้อสุทธิร่วม 44,600 ล้านบาทเมื่อช่วงเดือนมีนาคม ส่งผลทำให้ยอดซื้อสะสมสุทธิของนักลงทุนต่างชาติจากต้นปี ในขณะนี้มีเหลือแค่ 7,137.62 ล้านบาท และยังมีโอกาสปรับตัวลดลงอีกภายในสัปดาห์นี้ รวมไปถึงมีโอกาสที่จะเห็นกลับเป็นยอดขายสุทธิของนักลงทุนต่างประเทศเกิดขึ้น ได้ โดยระหว่างวันดัชนีหุ้นไทย ปรับตัวแตะจุดสูงสุดที่ระดับ 753.42 จุด และต่ำสุดที่ระดับ 744.55 จุด
นายชนะชัย จุลจิราภรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์(บล.) โกลเบล็ก จำกัด หรือ GBS เปิดเผยว่า จากสถานการณ์ทางการเมืองที่เริ่มทวีความรุ่นแรงขึ้นในขณะนี้ ส่งผลกระทบต่อภาพรวมของเศรษฐกิจ และการลงทุนในประเทศ อาทิ การท่องเที่ยว ที่หลายประเทศสั่งเบรกการเดินทางเข้ามาในประเทศไทย รวมถึงภาคการลงทุนที่เริ่มชะลอตัวลงอย่างเห็นได้ชัด ประกอบกับแรงเทขายจากกลุ่มนักลงทุนต่างประเทศ ซึ่งการชะลอตัวดังกล่าวเกิดจากปัจจัยความไม่สงบจากเหตุการณ์ความวุ่นวายภาย ในประเทศ
ทั้งนี้ หากสถานการณ์ยังยืดเยื้อออกไปอย่างต่อเนื่อง ก็จะส่งผลทางด้านจิตวิทยาต่อภาคการลงทุนและเศรษฐกิจภายในประเทศมากขึ้น แต่ในขณะเดียวกันโดยส่วนตัวมองว่า ภายในสัปดาห์นี้เหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นน่าจะยุติ หรือคลี่คลายลงได้ ซึ่งจะเห็นจากคำแถลงจากของศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน(ศอฉ.)ที่ เริ่มเข้ามากดดันให้กลุ่มผู้ชุมนุมนปช. ทางออ้อมไม่ว่าจะเป็นการตัดท่อน้ำเลี้ยงของแหล่งเงินในการสนับสนุนการชุมนุม โดยขอความร่วมมือจากสถาบันการเงินให้ส่งข้อมูลทางการเงินเพื่อตรวจสอบแหล่ง ที่มาของเงินในการสนับสนุนการชุมนุม รวมถึงการประกาศให้บุคคลไม่เกี่ยวข้องออกจากพื้นที่เสี่ยง ซึ่งสัญญาณดังกล่าวบ่งบอกว่าภาครัฐบาล และกองทัพ มีแผนที่จะขอพื้นที่ก่อให้เกิดความวุ่นวายคืน เพื่อทำให้สถานการณ์บ้านเมืองกลับเข้าสู่ภาวะปกติ
“จากสถานการณ์ความวุ่นวายที่เกิดขึ้นส่งผลกระทบต่อภาคการลงทุนอย่างต่อ เนื่อง โดยยอมรับว่าในช่วงที่ผ่านมานักลงทุนต่างชาติทยอยเทขายหุ้นออกมาต่อเนื่อง และคาดว่าหากเหตุการณ์ยังไม่กลับเข้าสู่ภาวะปกติแนวโน้มที่ต่างชาติจะเท ขายออกมาอีกก็มีความเป็นไปได้สูง เพราะปัจจัยลบในขณะนี้นอกจากสถานการณ์ในประเทศแล้ว กรณีกรีซ ก็เป็นตัวแปรที่สำคัญที่ฉุดการลงทุนในตลาดทุนเช่นเดียวกัน” นายชนะชัย กล่าว
อย่างไรก็ตาม ระยะสั้น แนะนำให้นักลงทุนชะลอการลงทุนโดยติดตามสถานการณ์ทางการเมืองอย่างใกล้ชิด ในขณะเดียวกันหากราคาหุ้นปรับตัวลง แนะนำให้นักลงทุนทยอยเข้าไปลงทุน โดยเลือกหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดี และราคาหุ้นต่ำกว่ามูลค่าความเป็นจริง
ด้านนายจักรกริช เจริญเมธาชัย รองกรรมการผู้จัดการฝ่ายการลงทุน บล.โกลเบล็ก กล่าวว่า จากสถานการณ์ความไม่สงบทางการเมือง ส่งผลให้นักลงทุนต่างชาติทยอยเทขายหุ้นออกมาตั้งแต่ต้นเดือนพฤษภาคมจนถึง ปัจจุบันแล้วกว่า 27,000 ล้านบาท และหากว่าสถานการณ์ยังคงยืดเยื้อ ประกอบกับรัฐบาลไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้ โดยยังคงปล่อยให้มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตอย่างต่อเนื่อง โดยส่วนตัวเกรงว่าจะฉุดให้การลงทุนในตลาดหุ้นปรับตัวลดลง จนส่งผลให้ดัชนีตลาดหุ้นปรับตัวลดลงไปแตะต่ำกว่าระดับ 700 จุดได้
ทั้งนี้สำหรับคำแนะนำ มองว่าในระยะสั้น “ไม่แนะนำให้ลงทุน” จนกว่าสถานการณ์จะกลับสู่ภาวะปกติ เนื่องจากยอมรับว่าจากสถานการณ์ในช่วงระหว่างวันสถานการณ์เปลี่ยนแปลงได้ ตลอดเวลาจะเป็นผลต่อแรงเทขายออกมาจากต่อเนื่อง
ส่วนนักลงทุนที่ลงทุนในระยะยาว แนะนำ”ทยอยลงทุน”โดยแนะให้ลงทุนในพอร์ตการลงทุนในหุ้นเพียง 30% ของพอร์ตการลงทุน โดยแบ่งเป็น 20% ลงทุนให้หุ้นประเทศBig Cap ส่วนอีก 10% ควรลงทุนในกลุ่มSmall Cap ทั้งนี้เป็นการกระจายความเสี่ยงด้านการลงทุน โดยหุ้นที่แนะนำหุ้นลง ยังคงเป็นหุ้นกลุ่มพลังงาน และปิโตรเคมี อาทิ PTT , PTTCH , BANPU , IVL เนื่องจากหุ้นดังกล่าวยังคงเป็นหุ้นนำตลาด ในกรณีที่นักลงทุนต่างชาติกลับเข้ามาลงทุน
คาดต่างชาติขายสุทธิต่อ
นางภัทธีรา ดิลกรุ่งธีระภพ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด หรือ DBSV กล่าวว่า นักลงทุนต่างประเทศนั้นมีความกังวลกับสถานการณ์ทางการเมืองไทยมากขึ้น ซึ่งเห็นได้จากการที่ยังคงมีการขายหุ้นไทยออกมาอย่างต่อเนื่อง จากที่สถานการณ์ทางการเมืองยังไม่เห็นทางออก ทำให้การขายของนักลงทุนต่างประเทศจะยังคงมีอย่างต่อเนื่อง แต่จากการที่ปัจจัยพื้นฐานของประเทศไทยังดีอยู่ แม้ปัญหาทางการเมืองจะมีผลกระทบต่อภาคธุรกิจบ้างก็ตาม จึงเป็นผลทำให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยมีการปรับตัวลดลงไม่แรงมาก
ทั้งนี้ส่วนตัวเชื่อว่าสถานการณ์ทางการเมืองคงจะไม่กดดันทำให้ดัชนีตลาดหุ้น ไทยปรับตัวลดลงแรงมาก โดยตั้งแต่เกิดปัญหาทางการเมืองนั้นบริษัทมีแนะนำให้นักลงทุนมีการถือเงินสด มากขึ้น แต่ขณะนี้เห็นนักลงทุนมีการเข้ามาทยอยซื้อหุ้นในช่วงที่ดัชนีมีการปรับตัวลด ลง เพราะ คาดว่าจะได้รับผลตอบแทนที่ดีในระยะกลางและยาว ซึ่งจะเห็นได้ว่านักลงทุนไทยมีความเชื่อมั่นในการลงทุนมากกว่าต่างประเทศ จากรับทราบข้อมูลที่ดีกว่า
นาย มนตรี ศรไพศาล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)หรือ KEST กล่าวว่า จากปัญหาการปะทะระหว่างกลุ่มผู้ชุมนุมกับเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลนั้นทำให้ บริษัทมีการปิดสาขาที่อยู่ในบริเวณนั้นจำนวน 4-5 สาขา ซึ่งบริษัทได้มีการย้ายพนักงานไปยังสาขาอื่นและสาขาสำรองเพื่อให้บริการ ลูกค้า สำหรับทิศทางตลาดหุ้นไทยจากนี้จะมีความผันผวน เนื่องจาก สถานการณ์ทางการเมืองจะยังไม่ยุติง่ายๆ นักลงทุนควรระมัดระวังซึ่งไม่ควรที่จะลงทุนโดยใช้อารมณ์ และควรติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด โดยควรถือเงินสดมากขึ้นกว่าปกติ แต่หากดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงไปมากก็ถือว่าเป็นจังหวะที่ดีในการเข้าไป ลงทุนเพื่อที่จะได้รับผลตอบแทนสูงในระยะกลางและยาว
ก.ล.ต.แนะรายย่อยติดต่อโบรกฯ
นางจารุพรรณ อินทรรุ่ง ผู้อำนวยการฝ่ายงานเลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต. ) เปิดเผยว่า จากปัญหาทางการเมือง จนมีผลทำให้บริษัทหลักทรัพย์(บล.)บางรายอาจจะให้บริการส่งคำสั่งซื้อขาย (ออร์เดอร์)ไม่ได้สมบูรณ์เต็ม100% ทั้งนี้ก.ล.ต.แนะนำให้นักลงทุนควรที่จะหารือกับทางเจ้าหน้าที่การตลาด (มาร์เกตติ้ง)และบล.ที่ตนเปิดบัญชีซื้อขายอยู่ เพื่อให้แนะนำแนวทาง ที่จะเอื้อต่อการส่งคำสั่งซื้อขายให้ได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งจะทำให้นักลงทุนได้รับความสะดวกยิ่งขึ้น และไม่เสียผลประโยชน์จากการลงทุน รวมถึงนักลงทุนควรที่จะมีการประสานกับโบรกเกอร์เพื่อสอบถามสถานะบัญชีของตน เพื่อที่จะไม่ได้รับความเสียหายมากหากมีการถูกบังคับขายหุ้น
ตลาดหุ้นวันนี้ปิดซื้อขายเร็วขึ้น1ชม.ต่อ
นางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.) เปิดเผย ว่า คณะกรรมการ ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้มีการประชุมและหารือร่วมกับนายกสมาคมบริษัทหลักทรัพย์เพื่อประเมิน สถานการณ์จากเหตุการณ์ความไม่สงบที่เกิดขึ้น ประกอบกับได้พิจารณาความพร้อมของบริษัทสมาชิกแล้วที่ประชุมจึงมีมติให้ยังคง กาหนดเวลาปิดการซื้อขายเร็วขึ้น 1 ชั่วโมงในวันอังคารที่ 18 พ.ค.นี้ โดยจะเปิดการซื้อขายหลักทรัพย์ช่วงเช้าเวลา 10.00 - 12.30 น. ตามปกติ ส่วนการซื้อขายช่วงบ่ายจะปิดเร็วขึ้น 1 ชั่วโมง โดยเปิดระหว่างเวลา 14.30 - 15.30 น. ทั้งตลาดหลักทรัพย์ฯ (SET) ตลาดหลักทรัพย์ (mai) ตลาดตราสารหนี้ (BEX) และตลาดอนุพันธ์ (TFEX)
|