|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
ม.ล. จันทรจุฑา จันทรทัต กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โทรีเซนไทย เอเยนต์ซีส์ จำกัด (มหาชน) หรือ TTA แจ้งผลงานไตรมาส 2 ปี 53 ว่าบริษัทมีผลกำไรสุทธิ 451.39 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนที่ทำไว้ 99.16 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 352.23 ล้านบาท คิดเป็น 355.21% เนื่องจากการฟื้นตัวของอัตราค่าระวางเรือที่แข็งแกร่งขึ้น จำนวนวันเดินเรือทั้งหมดได้ลงลดอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากบริษัทฯ ได้ขายเรือไป 3 ลำ และได้มีการเช่าเรือมาเสริมกองเรือลดลงเมื่อเทียบกับไตรมาสที่ผ่านมา ค่าใช้จ่ายในส่วนของเจ้าของเรือ (owner expenses) โดยรวมลดลง 11.42% เทียบไตรมาสต่อไตรมาส เป็น 4,132 ดอลลาร์สหรัฐอเมริกาต่อวันเดินเรือ ซึ่งเป็นผลจากกลยุทธ์การควบคุมต้นทุนของบริษัทฯ
โดยงวดนี้ บริษัทฯ มีรายได้จากการดำเนินงาน 4,561.99 ล้านบาท ส่วนหนึ่งเพราะบริษัทฯ ได้ขายเรือทั้งหมด 3 ลำ จำนวนเงินทั้งหมดที่ได้รับจากการขายเรือทั้ง 3 ลำนี้ให้กับบุคคลอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องกับบริษัทฯ เป็นเงิน 284.82 ล้านบาท กำไรในทางบัญชีจากการขายเรือ 3 ลำนี้ 87.06 ล้านบาทหลังหักภาษีแล้ว และช่วงครึ่งปีแรกปี 53 บริษัทฯ ได้รับเงินจากการขายเรือ 6 ลำ 599.27 ล้านบาท หรือ 181.31 ล้านบาทหลังหักภาษีแล้ว และกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน
นอกจากนี้ ในไตรมาสนี้ บริษัทฯ ได้ตั้งสำรองหนี้เผื่อสงสัยจะสูญเพิ่มเติมอีก 54.27 ล้านบาท ทำให้มีหนี้เผื่อสงสัยจะสูญรวมทั้งสิ้น 89.84 ล้านบาทในครึ่งปีแรกของรอบปีบัญชี 53 และมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมอีก 20.93 ล้านบาทจากการปิดบริการเรือที่ให้บริการแบบประจำเส้นทาง แต่รายการทั้งสองนี้ถูกหักกลบด้วยกำไรจากการทำ swap อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ 163.51 ล้านบาท ในไตรมาส 2 ปีนี้
นายสุเมธ ตันธุวนิตย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท อาร์ ซี แอล จำกัด (มหาชน) หรือ RCL แจ้งผลงานไตรมาสแรกปีนี้ว่าบริษัทมีผลขาดทุนสุทธิ 341.69 ล้านบาท ลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อนที่ขาดทุน 711.32 ล้านบาท หรือขาดทุนลดลง 369.63 ล้านบาท คิดเป็น 51.96 % เนื่องจากผลจากการดำเนินการลดต้นทุนและค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ลดลง 12 % แต่ยังคงมีผลประกอบการที่ต่ำกว่าจุดคุ้มทุนเนื่องจากราคาน้ำมันได้ปรับตัว สูงขึ้น 10% ขณะที่ปริมาณการใช้น้ำมันเพิ่มขึ้นตามปริมาณการขนส่ง
โดย ธุรกิจเดินเรือขนส่งสินค้าได้ฟื้นตัวจากวิกฤติเศรษฐกิจโลกโดยการค้าโลกที่ ฟื้นตัวและส่งผลให้มีการคาดการ การเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ (GDP) โดยรวมทั่วโลกระดับ 3.4 - 3.5% ซึ่งการฟื้นตัวของธุรกิจเดินเรือขนส่งสินค้านี้มีความแตกต่างไปตามภูมิภาค ซึ่งอินเดีย และจีนมีการฟื้นตัวของปริมาณธุรกิจล้ำหน้าประเทศอื่น และมีตัวเลขใกล้เคียงกับปริมาณธุรกิจในปี 51 อัตราค่าระวางและปริมาณขนส่งตู้สินค้าก็มีระดับใกล้เคียงกับตัวเลขในปี 51
แม้ว่าจะมีปริมาณการขนส่งตู้สินค้ารวมเพิ่มขึ้น แต่อัตราค่าระวางยังไม่อาจปรับขึ้นอย่างเพียงพอ เนื่องจากผู้ให้บริการขนส่งรายอื่นเริ่มเข้ามาแข่งขันและช่วงชิงส่วนแบ่งทาง การตลาด ดังนั้นรายได้รวมก่อนผลต่างอัตราแลกเปลี่ยนกำไรจากการขายสินทรัพย์ และการปรับ
ปรุงการตั้งสำรองผลขาดทุนที่ยังไม่เกิดขึ้นจากตราสารอนุพันธ์ไตรมาสแรกนี้ลด ลง ขณะผลการดำเนินการลดต้นทุนและค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ทำให้ต้นทุนและค่าใช้จ่ายรวมของบริษัทฯ ลดลง แต่ยังคงมีผลประกอบการที่ต่ำกว่าจุดคุ้มทุนเนื่องจากราคาน้ำมันเพิ่มขึ้น
นายชเนศร์ เพ็ญชาติ กรรมการผู้จัดการ บริษัท จุฑานาวี จำกัด (มหาชน) หรือ JUTHA แจ้งผลงานไตรมาสแรกปีนี้ว่าบริษัทมีกำไรสุทธิ 31.59 ล้านบาท เพิ่มจากงวดเดียวกันของปีก่อนที่ทำไว้ 6.52 ล้านบาท ซึ่งผลการดำเนินงานไตรมาสแรกปี 53 ได้รวมผลกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ยังไม่เกิดขึ้นจริง 33.07 ล้านบาท ขณะปี 52 ได้รวมผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ยังไม่เกิดขึ้นจริง 15.73 ล้านบาท
หากพิจารณาผลกำไรสุทธิจากการดำเนินงานในไตรมาส1 ปี 53 และ ปี 52 จะเห็นว่า บริษัทฯ มีผลขาดทุนสุทธิ 1.47 ล้านบาทและกำไรสุทธิ 22.26 ล้านบาท ตามลำดับเนื่องจากการปรับลดลงของค่าระวางตามภาวะเศรษฐกิจโลก ยังคงส่งผลอย่างต่อเนื่องต่อรายได้จากธุรกิจเดินเรือแบบรับจ้างเหมาเป็นระยะ เวลา(TIME CHARTER) และบริษัทฯ มีเรือที่ต้องเข้าอู่แห้งตามกำหนดหนึ่งลำ ทำให้บริษัทฯ มีวันทำการลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อน กอปรกับบริษัทฯ ได้ขายเรือที่มีอายุมากออกไปหนึ่งลำ ซึ่งทำให้มีเรือที่ให้บริการทั้งหมด 5 ลำ ขณะปีก่อนที่มีเรือให้บริการทั้งหมด 7 ลำ ทำให้รายได้เฉลี่ยจากกองเรือลดลง ทำให้กำไรลดลง
|
|
|
|
|