Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ มีนาคม 2528








 
นิตยสารผู้จัดการ มีนาคม 2528
ผู้จัดการเผด็จการของญี่ปุ่น             
 


   
search resources

Consultants and Professional Services
อิชิโร อิโซดะ
ไกโซ ซาจิ
ฮิซาโอะ ตะสุบูชิ
ไอซาโอะ นากาอูชิ
ยาชิอากิ ตะสุตะสุมิ
กาซูโอะ อินาโมริ




เมื่อหนังสือพิมพ์ไนชนไกไซ ชิมบุน ซึ่งเป็นอันดับหนึ่งสำหรับหนังสือพิมพ์เกี่ยวกับธุรกิจเปิดเผยรายชื่อบริษัทของญี่ปุ่นที่เยี่ยมยอดที่สุดเมื่อเดือนกรกฎาคมปีกลายปรากฏว่า อันดับที่หนึ่งและสองเป็นบริษัทที่ใช้นโยบายการบริหารงานแบบคล้ายๆ กับเผด็จการทหาร ซึ่งได้แก่บริษัทชื่อเกียวเซรา ผู้ผลิตเซรามิกและบริษัทฟานุค ผู้ผลิตเครื่องมือและหุ่นยนต์ซึ่งควบคุมโดยตัวเลข

นายอิชิโร ไอโซดะ ประธานธนาคารซูมิโตโม ผู้กล่าวประโยคว่า “เนื่องจากโลกทุกวันนี้เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เราต้องการผู้บริหารระดับสูงที่สามารถตัดสินใจเปลี่ยนแปลงอะไรต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว” การบริหารงานและตัดสินใจโดยคนคนเดียวเช่นนี้มักจะพบว่ามีอยู่ในกิจการของบริษัทใดๆ ก็ตามที่เร่งรุดเดินหน้าไปอย่างรวดเร็วและมีแนวโน้มที่จะขยายกิจการออกไปในต่างประเทศ

หลังจากการสัมภาษณ์เจ้าหน้าที่ฝ่ายที่ปรึกษาการบริหารฝ่ายเลือกสรรผู้บริหารและผู้จัดการบริษัทใหญ่ๆ หลายสิบคนโดยนิตยสารฟอร์จูน ซึ่งได้คัดเลือกนักบริหารชั้นเยี่ยมชาวญี่ปุ่นไว้ได้หลายคน บางคนเป็นนักบริหารประเภทมือหนัก อ่อนโยนบ้าง ตีสีหน้าเก่งบ้างและบางคนก็โหดจริงๆ ก็มี แต่ละคนถือได้ว่าเป็นตัวอย่างที่แท้จริงของนักบริหารชาวญี่ปุ่นที่ชาวโลกทั่วไปอยากจะรู้จักความเป็นมาว่าใหญ่โตได้อย่างไร?

อิชิโร อิโซดะ

BOSS OF BOSSES

เพียงหนึ่งวันให้หลังการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ผ่านไป นายอิชิโร อิโซดะ ประธานกรรมการธนาคารซูมิโตโมได้ออกแถลงการณ์ผ่านหนังสือพิมพ์ในญี่ปุ่นถึงประธานาธิบดีโรนัลด์ เรแกน เรียกร้องให้เร่งมือจัดการเกี่ยวกับเรื่องการขาดดุลและการค้าในงบประมาณของสหรัฐฯ เสียโดยเร็ว

ผู้บริหารระดับเดียวกันชาวญี่ปุ่นคนอื่นๆ แม้จะมีความคิดแบบเดียวกับนายอิโซดะแต่ก็ไม่กล้าที่จะทำเช่นเขา ด้วยเกรงว่าจะถูกหาความว่าเห็นแก่ได้ แต่นายอิโซดะไม่ได้คิดเช่นนั้นแม้แต่น้อย เพราะเป็นเวลานานมาแล้วที่เขาชอบจะเข้าไปแทรกแซงเรื่องราวของคนอื่นๆ อย่างอาจหาญเช่นนี้บ่อยๆ

โดยเนื้อหาของธนาคารซูมิโตโมนั้นก็เป็นกิจการที่ยิ่งใหญ่หาใครเทียมยากของญี่ปุ่นอยู่แล้ว นอกจากนี้ยังเป็นศูนย์กลางกิจการอุตสาหกรรมใหญ่ๆ ของญี่ปุ่นชนิดอื่นๆ ด้วย เช่น เอ็นอีซี คอร์ป. ซึ่งเป็นกิจการไฟฟ้าใหญ่ของประเทศ นอกจากนี้ นายอิโซดะ ยังเข้าไป “ล้างบาง” ผู้บริหารทั้งทีมของบริษัทอาซาชิ บริวเวอรี่ เมื่อปี 1982 และก่อนหน้านั้นยังเข้าไปนั่งแป้นเป็นผู้บริหารสูงสุดของโรงงานโตโยโกเกียว ซึ่งนิสสันและโตโยต้าเจ้าของเก่าทอดทิ้งไป พร้อมกับไล่ผู้ก่อตั้งโรงงานดังกล่าว นายโกไฮ มัตซูดะ ออกไป เขากล่าวว่า “จำเป็นจะต้องทำเพราะหากโตโยโกเกียวเลิกล้มกิจการไป อุตสาหกรรมทั้งหมดของเมืองฮิโรชิมาจะพังตามไปด้วย” แล้วต่อจากนั้นไม่นานระหว่างอยู่ในสหรัฐฯ ดิโซดะ จึงเจรจาขายกิจการโรงงานผลิตรถยนต์ดังกล่าวในอัตราหนึ่งในสี่แก่ฟอร์ดมอเตอร์ ในขณะนั่งอยู่หลังรถยนต์ตระเวนเยือนเมืองมิชิแกนอยู่

อิโซดะขึ้นมาเป็นประธานธนาคารซูมิโตโมเมื่อต้นปี 1977 ตอนนั้นกิจการไม่ค่อยจะรุ่งเรืองเท่าไร เพราะไม่มีการตัดสินใจที่ดี เอาแต่รอมติยอมรับทั้งหมดอยู่ เจ้าตัวเล่าเกี่ยวกับช่วงเวลานั้นว่า “ไม่มีใครกล้าตัดสินใจ” ครั้นพอฝ่ายให้กู้ซึ่งเป็นกลุ่มกรรมการ ไม่ใช่คนคนเดียวตัดสินใจปล่อยเงินกู้ก็มักจะตัดสินใจผิดให้กิจการที่ง่อนแง่นกู้เงินไปแล้วเก็บเงินคืนไม่ได้ ร้อนถึงอิโซดะ ต้องปรับปรุงการบริหารใหม่โดยแบ่งการบริหารเป็น 6 ฝ่าย ให้หัวหน้าของแต่ละฝ่ายมีอำนาจตัดสินใจและเขายังประกาศอีกว่าหัวหน้าฝ่ายที่ตัดสินใจผิดก็จะไม่เอาโทษ ขออย่างเดียวอย่าเลี่ยงการตัดสินใจก็แล้วกัน ด้วยเหตุผลที่ว่า “ผมไม่ตำหนิแผลที่เกิดที่หน้าผากหรอก จะตำหนิก็แต่แผลข้างหลัง”

ดื่มให้ผมคนเดียว

ไกโซ ซาจิ

ประธานและประธานกรรมการ บริษัท ซันโตริ จำกัด

ได้ชื่อว่าทำตัวเป็นขุนนางหรือผู้ดีเก่ามากที่สุดคนหนึ่งในหมู่ผู้บริหารระดับสูงสุดชาวญี่ปุ่นด้วยกัน เขียนหนังสือเกี่ยวกับไวน์ไว้แล้ว 2 เล่ม ก่อสร้างหนึ่งในพิพิธภัณฑ์ศิลปะที่ดีที่สุดในญี่ปุ่นไว้ ชอบอาหารดีๆ กอล์ฟ ภาพเขียน และไปไหนมาไหนกับสาวสวยๆ และคราใดที่ท่านประธานซาจิส่งเสียงดังขึ้นมาครั้งใด ก็จะเป็นเพียงในระหว่างการเปล่งเสียงร้องเพลงโอเปร่าของโปรดกับวงกันไซฟิลฮาโมนิค แห่งเมืองโอซากาเท่านั้น

นุ่มนวลและแสนจะเป็นผู้ดีอย่างนี้แต่ก็ไม่มีใครสักคนเดียวในโรงงานซันโตริจะกล้าแนะนำท่านประธานซาจิว่าควรจะทำอะไรดีสักคนเดียว ขนาดขั้นตอนการซื้อไวน์จากสหรัฐฯ จำนวนหนึ่งดำเนินมาจนหมดสิ้นแล้วซึ่งเป็นที่รับรู้กันทุกคน รวมทั้งซาจิด้วย แต่พอถึงกำหนดวันลงนามในสัญญาซื้อ ตัวประธานซาจิไม่มาทำงานในวันนั้นพอดี ด้วย สาเหตุใดก็ไม่ทราบ ทำให้สัญญาการซื้อไวน์ดังกล่าวต้องเลิกล้มไปเพราะไม่มีใครลงนามแทน

ประธานซันโตรินิยมจะเล่นงานพนักงานระดับบริหารของเขาด้วยคำถามว่าทำไม5ประการด้วยกันเสมอๆ เขาอธิบายว่า “ยกตัวอย่างเช่น ในงานปาร์ตี้แห่งหนึ่งจะมีคนเสนอความเห็นอะไรขึ้นมาสักอย่างผมจะเริ่มซักไซ้ด้วยคำถามว่า “ทำไม” เพราะผมต้องการจะรู้รายละเอียดมากกว่านั้น ครั้นเมื่อเขาอธิบายมาผมจะถามว่า “ทำไม” กลับไปอีก ถามว่า “ทำไม” เช่นนี้อยู่ 5 ครั้งด้วยกัน เรียกว่าซักกันจนถึงไขกระดูกทีเดียว”

บิดาของซาจิเป็นผู้ก่อตั้งโรงงานซันโตริขึ้นมาเพื่อผลิตเหล้าแก้กระหายของทหารอเมริกันในญี่ปุ่นยุคก่อน จนกระทั่งปัจจุบันนี้ซันโตริมียอดขายปีละ 4 พันล้านดอลลาร์ ผลิตเหล้าต่างๆ 18 ชนิดออกสู่ตลาดโลก ไวน์อีกแปดสิบกว่าชนิดแล้วยังมียิน ตากิลา และเครื่องดื่มอื่นๆ อีก เป็นกิจการที่ครอบครัวของนายซาจิเป็นเจ้าของทั้งหมด

ไกโซ ซาจิ ดำเนินกิจการผลิตน้ำเมาต่อจากบิดา เพราะตัวเองนั้นเป็นนักเคมีประเภทฝึกฝนตัวเอง ต้องการจะใช้การค้นคว้าทางการแพทย์เคมีกับเหล้าสกุลต่างๆ ของซันโตริแพร่หลายออกไปด้วย ซ้ำยังมีความคิดประหลาดๆ ล้ำสมัยอื่นๆ อีกเช่น ติดต่อกับนิตยสารนิวส์วีคเพื่อขอแปลเนื้อหาของนิตยสารฉบับนี้เป็นภาษาญี่ปุ่นเป็นจำนวนสัปดาห์ละ 250,000 เล่ม เพื่อขายให้แก่นักศึกษาและนักธุรกิจเพื่อนร่วมชาติ ที่เขาเชื่อว่าต้องการจะรับรู้เรื่องราวต่างๆ ของสหรัฐฯ ให้ได้มากกว่าที่วงการหนังสือพิมพ์ญี่ปุ่นทำไว้ในปัจจุบัน

จากการทำสำรวจสอบถามพบว่านักศึกษาชายชาวญี่ปุ่นที่เรียนคณะศิลปศาสตร์ต้องการจะเข้ามาร่วมงานกับซันโตริเมื่อเรียนจบแล้วมากที่สุด เป็นข้อพิสูจน์ได้เป็นอย่างดีว่าซันโตริประสบความสำเร็จด้านการตลาดและการบริหารมากมายแค่ไหนในทุกวันนี้ l

ตะสุบูชิ: สตาลินญี่ปุ่น

เมื่อครั้งที่ตกเป็นเชลยศึกของรัสเซียอยู่ที่แมนจูเรียในระยะปลายสงครามโลกครั้งที่ 2 อิซาโอะ ตะสุบูชิ ตั้งข้อสังเกตกับทหารรัสเซียที่ควบคุมพวกเขาว่าทุกคนล้วนแต่พูดถึงโจเซฟ สตาลิน ผู้นำรัสเซียในยุคนั้น ด้วยความยกย่องชื่นชม ทั้งๆ ที่ในสายตาหรือความเห็นของพลโลกส่วนมากเห็นว่าสตาลินคือเผด็จการตัวร้ายที่สุด

ตะสุบูชิเล่าประสบการณ์ตอนนั้นว่า “พวกเขาพูดถึงสตาลินว่าไม่ได้เอาเปรียบทหารแต่อย่างใดทั้งสิ้น ซ้ำยังใช้ชีวิตง่ายๆ แบบปกติธรรมดา”

เรื่องราวของสตาลิน จอมเผด็จการ อาจจะเป็นจริงได้เพียงครึ่งเดียว สำคัญที่ว่าตัวของฮิซาโอะ ตะสุบูชิ มองเห็นตัวเองว่าเป็นเช่นนั้นไปด้วย ในเมื่อตัวเขาและภรรยาชื่อ ซูมิโกะ ซึ่งเป็นเจ้าของกิจการอู่ต่อเรือชื่อ กูรุชิมา กิจการที่เมื่อปี ค.ศ.1983 มีรายได้ 3.3 พันล้านดอลลาร์ เป็นอู่ต่อเรือที่ใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่นทุกวันนี้

แม้จะเป็นเจ้าของกิจการใหญ่โตอย่างว่า แต่ครอบครัวตะสุบูชิกลับใช้ชีวิตความเป็นอยู่อย่างง่ายๆ มีความสนิทสนมกับพนักงานบริษัทถึงขนาดที่ว่าแต่ละเดือนผู้จัดการสายจำนวน 300 คนจะเข้ามารายงานความเคลื่อนไหวกับเขาด้วยตัวเองและโดยตรง

นโยบายของตะสุบูชิคือ กว้านซื้อกิจการอู่ต่อเรือที่ประสบปัญหาและลงมือปรับปรุงกิจการนั้นๆ ขึ้นมาใหม่ให้เจริญขึ้นไปแทน อย่างเช่นอู่ต่อเรือชื่อซาเซโบ ที่กำลังซวดเซจวนจะล้มละลายทั้งๆ ที่แต่ก่อนเคยยิ่งใหญ่ขนาดสร้างเรือให้กองทัพญี่ปุ่น แต่ตะสุบูชิกลับตัดสินใจซื้อกิจการแห่งนี้มาในอัตรา 1ใน 4 ส่วนด้วยวงเงิน 5 ล้านดอลลาร์ แล้วลงมือปรับปรุงกิจการใหม่ เช่น การตัดเงินค่าใช้จ่ายต่างๆ ลงครึ่งหนึ่ง ย้ายคนงานที่ล้นออกไปอยู่โรงงานอื่นๆ ในเครือ อู่แห่งนี้จึงฟื้นคืนตัวขึ้นมา

มีคนเปรียบความสำเร็จของตะสุบูชิว่าเหมือนกับของนายลี ไอคอกกา แห่งบริษัท ไครส์เลอร์ สหรัฐฯ ตรงที่สามารถกู้กิจการใหญ่ที่กำลังจะล้ม ให้ฟื้นตัวทำผลกำไรได้ในเวลาต่อมา สำหรับอู่ดังกล่าวเมื่อปีกลายต่อเรือใหม่ออกมาได้ 19 ลำ มียอดขาย 455 ล้านดอลลาร์และกำไร 20 ล้านดอลลาร์ได้เป็นครั้งแรก

ฮิซาโอะ ตะสุบูชิ ยังเป็นผู้บรรยายวิชาการบริหารที่โด่งดังของประเทศในขณะนี้ด้วย ถึงกับมีเทปคำบรรยายออกวางขายทั่วประเทศ เช่นเรื่อง “เคล็ดลับการพลิกฟื้นกิจการ” หรือ “จะตักเตือนผู้ใต้บังคับบัญชาอย่างไรดี” เทปทั้งสองเรื่องขายดิบขายดีจนทุกวันนี้ l

ไฮฮา ไอซาโอะ นากาอูชิ: เจ้าสาขา

นายไอซาโอะ นากาอูชิ วัย 62 ปี ประธานฝ่ายบริหารบริษัทไดอิ ซึ่งจัดว่าเป็นกิจการที่สาขากว้างขวางใหญ่โตที่สุดของญี่ปุ่น เป็นชายผู้ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน เพียงแต่ด้วยตัวเขาคนเดียวโดยปราศจากเพื่อนฝูงหรือคนที่รักใคร่เอาใจหรือเข้าใจการกระทำของเขา

นากาอูชิได้รับการเลี้ยงดูสั่งสอนให้พึ่งตนเองมาแต่เด็ก ไม่จำเป็นอย่างพึ่งคนอื่น ซึ่งเป็นการอบรมที่ค่อนข้างจะแปลกไปจากครอบครัวชาวญี่ปุ่นคนอื่นๆ ไม่น้อย เขาเริ่มต้นไต่เต้าสู่วงการธุรกิจและความมั่นคง ด้วยการขายยาเพนนิซิลินในช่วงหลังสงครามโลกจบใหม่ๆ

ราคายาเพนนิซิลินของนากาอูชิที่ตั้งไว้สูงกว่าราคามาตรฐานสักหน่อย ซึ่งมีผลให้เพื่อนฝูงและญาติที่มาช่วยทำการขายถูกจับกุม แต่กลับไม่ทำให้นากาอูชิหวาดหวั่นแต่อย่างไร กลับถือเป็นประสบการณ์และบทเรียนว่าหากจะทำการค้าก็ต้องเสี่ยงอยู่บ้าง

ต่อจากการขายยา นากาอูชิหันมาเปิดร้านขายของชำที่มีสาขาในระยะแรกเริ่มถึง 160 แห่ง สินค้าที่ขายในร้านล้วนมีคุณภาพดี แต่ราคาต่ำ จึงได้รับความนิยมมากขึ้นเป็นลำดับ ซึ่งก็ไม่ได้หยุดแค่นั้นหันมาเปิดร้านขายเสื้อผ้ามาตรฐานสูงจากยุโรป แต่ราคาไม่แพง ชื่อร้านโอแพรงตองพ์ สาขาญี่ปุ่นขึ้น ซึ่งใครๆ ที่เห็นต่างก็บอกว่าเป็นความคิดที่ดี

แต่นากาอูชิไม่ได้หยุดยั้งแค่นั้น กลับมีการเคลื่อนไหวขยายกิจการออกไปอีก และอย่างรวดเร็วชนิดไม่มีใครตามทัน โดยไปเปิดร้านใหม่อีกแห่งหนึ่งที่ย่านกินซ่าอีก เพราะเห็นว่าคู่แข่งของกิจการไปเปิดร้านที่นี่ก่อน

การแข่งขันดังกล่าวทำให้บริษัทไดอิขาดทุนไป 51 ล้านดอลลาร์ จากยอดขายทั้งหมด 5.8 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งนับว่าเป็นการขาดทุนปีที่สองติดต่อกัน และด้วยสาเหตุที่ว่ากู้เงินมาลงทุนมากเกินไปแต่นากาอูชิกลับไม่หวั่นวิตกแต่อย่างใด เมื่อกล่าวว่า “เป็นการขาดทุนที่คาดไว้ล่วงหน้า ในอีกสิบปีข้างหน้าเราจะได้กำไร” ซึ่งหลายคนฟังแล้วก็ไม่ค่อยจะเชื่อนัก แม้จะคุ้นเคยกับการตัดสินใจทุ่มลงทุนโดยรวดเร็วและดูเหมือนจะเสี่ยงกว่าปกติของไอซาโอะ นากาอูชิ มาแล้วก็ตามที l

ผู้ยิ่งใหญ่ย่านกินซ่า: ไซจิ

ไซจิ ตะสุตะสุมิ วัย 57 ปี เป็นหนึ่งในผู้บริหารด้วยตัวเองที่มีรสนิยมด้านสุนทรียภาพอยู่มาก เพราะโดยตัวเขาเองก็เป็นนักกลอนและศิลปินอยู่แล้ว ยังมีเพื่อนในแวดวงศิลปินอยู่อีกหลายคน แต่อีกด้านหนึ่งเขาคือ พ่อค้าที่มีความสามารถ เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของกิจการร้าน และสาขาขายของปลีกไซบุกรุ้พ ซึ่งมียอดขายเมื่อปีกลาย 1.9 พันล้านดอลลาร์ และเป็นประธานร้านไซยุและสาขาซึ่งเลียนแบบกิจการแบบเดียวกันนี้ชื่อ เซียร์ โรบัค ในสหรัฐฯ ร้านหลังนี้มียอดขายเมื่อปีกลาย 3.6 พันล้านดอลลาร์

เมื่อบิดาเสียชีวิตลงในปี ค.ศ.1964 ไซจิ ตะสุตะสุมิ ได้รับมรดกเป็นร้านสรรพสินค้าแห่งหนึ่งที่มีหนี้สินมากมายตั้งอยู่ใกล้ปลายทางรถไฟชื่อไอกิบูกูโร เจ้าของใหม่เล่าถึงสมัยแรกๆ ที่เข้าไปครอบครองว่า “ทำเลไม่ดี มีแต่แก๊งคนเกเรเต็มไปหมดแถวนั้น เราต้องเริ่มด้วยการไปขอร้องร้านส่งสินค้าให้ขายส่งแก่เราก่อนด้วยตัวเอง เขาถึงยอม”

แต่ไซจิมีเป้าหมายการขยายกิจการของเขาอยู่ในใจแล้ว นั่นคือ ในเมื่อขาดทุนและเป็นหนี้อยู่แล้วก็จะเพิ่มหนี้ให้มากขึ้นไปอีก พร้อมกันนี้จะขยายร้านสาขาออกไปอีกให้ทั่วกรุงโตเกียว ซึ่งปรากฏว่าทำสำเร็จได้ผลดี โดยเฉพาะร้านแรกที่เมืองไอกีบูกูโรนั้นในเวลาต่อมาเขตชานเมืองของโตเกียวขยายมาถึงพอดี จึงขายสินค้าได้มากขึ้น เป็นทั้งร้านสรรพสินค้าและจุดเริ่มต้นของการขนส่งและคมนาคมจุดใหม่ที่เติบโตขึ้นไปอีก จนทำให้ร้านไอกีบูกูโรได้ชื่อว่าเป็นร้านสรรพสินค้าที่ใหญ่ในโลกแห่งหนึ่งไป สินค้าแต่ละปีที่ขายได้คิดเป็นเงินถึง 1 พันล้านดอลลาร์ทีเดียว

ไซจิ ตะสุตะสุมิ ขยับขยายกิจการของตนออกไปโดยใช้วิธีกว้านซื้อพนักงานที่เก่งกาจเข้ามาทำงานให้ ส่วนตัวเขาเข้าควบคุมรายละเอียดต่างๆ เอง แม้แต่รายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ก็ไม่ปล่อยให้ผ่านตาไป เช่นแม้แต่การออกแบบเครื่องแบบพนักงานที่มอบหมายหน้าที่ให้ฝ่ายออกแบบไปแล้ว ไซจิจะมาดูแลด้วยตนเองอีกครั้งหนึ่ง และแม้จะมีพนักงานบางคนที่ทำงานไม่ได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ก็จะไม่ถูกไล่ออก หากจะให้พิจารณาจนรู้ข้อผิดพลาดของตนเอง พนักงานคนนั้นจะเกิดความอับอายลาออกไปเองในที่สุด

ร้านใหม่ที่ย่านกินซ่าที่ไซจิ ตะสุตะสุมิ สร้างขึ้นได้รับการยกย่องว่าสวย มีเสน่ห์ เป็นที่กล่าวขวัญกันทั่วไป แต่สำหรับตัวไซจิแล้วร้านแห่งนี้ไม่ได้อยู่ในความคิดของเขาอีกต่อไป มันผ่านพ้นไปแล้ว ปัจจุบันเขายังหมกมุ่นอยู่กับความคิดริเริ่มใหม่ คือเครดิต การ์ดสำหรับวงการธุรกิจ โครงการร่วมลงทุนทางการประกัน โทรทัศน์ตามสาย และอาจจะสูงขึ้นไปจนถึงเรื่องการก่อตั้งธนาคารใหม่ก็เป็นได้ l

เจ้าพ่อรถไฟ ! ตะสุตะสุมิ

สำหรับพนักงานระดับผู้จัดการ 500 คนของบริษัทไซบุการรถไฟ ภาระแรกสำหรับวันขึ้นปีใหม่ของพวกเขาคือ มาร่วมชุมนุมกันก่อนเวลาตีห้าอย่างพร้อมเพรียง แล้วเดินแถวกันอย่างเป็นระเบียบไปที่สุสานของบิดาของเจ้านายเพื่อคารวะ

เจ้านายหรือประธานบริษัทชื่อ นายโยชิอิอากิ ตะสุตะสุมิ วัย 50 ปี ผู้ทำตัวเปรียบเหมือนเจ้าศักดินาในสมัยก่อนอยู่อีก แต่ก็เป็นความจริงอยู่ในเมื่อเขาได้ชื่อว่าเป็นเจ้าของที่ดินรายใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่นรายหนึ่ง ส่วนพนักงานระดับบริหารที่เข้าแถวเดินทางไปเคารพสุสานของบิดานั้นก็ไม่ได้รับการขอร้องหรือบังคับแต่อย่างใด ซ้ำตัวตะสุตะสุมิเองก็ไม่ได้ไปแสดงความเคารพที่สุสานนี้มาแล้วสองหรือสามปี

ตะสุตะสุมิ ได้รับมรดกจากบิดาเป็นหุ้นส่วนใหญ่ในกิจการจัดสรรที่ดินซึ่งหุ้นส่วนดังกล่าวมีอยู่ในบริษัทรถไฟไซบุเสีย 40% บริษัทรถไฟดังกล่าวมีกิจการเดินรถกว้างขวางหลายเส้นทาง สายหนึ่งเป็นเส้นทางเดินรถระหว่างชานเมืองโตเกียวกับเมืองชิชิบุ ซึ่งบนเส้นทางนี้นายตะสุตะสุมิได้ลงทุนลงแรงสร้างโรงแรม สนามกอล์ฟ บ้านพักเล่นสกี หรือสกีรีสอร์ต และสนามเบสบอลไว้ ทั้งหมดนี้ทำรายได้ให้ถึง 1.4 พันล้านดอลลาร์เมื่อปีกลาย

”ศักดินาตะสุตะสุมิ” ปฏิบัติต่อพนักงานที่ทำงานด้วยเหมือนกับตัวเขาเองเป็นเจ้าของที่ดินให้คนเหล่านั้นเช่า ส่วนเขาเองก็วุ่นวายอยู่กับการควบคุมดูแลการปฏิบัติงานของพนักงาน จนไม่มีเวลาว่างสำหรับการให้สัมภาษณ์หรือถ่ายรูป

ตะสุตะสุมิเคยชี้แจงแก่ผู้ซักถามเกี่ยวกับฐานะของพนักงานระดับผู้จัดการในความดูแลของเขาว่า “ผู้จัดการก็คือกรรมกรประเภทหนึ่ง ไม่ใช่เจ้าของ ดังนั้นเมื่อจะกินอาหารก็ต้องเข้าไปกินในโรงอาหารของบริษัท ไม่ใช่ขึ้นไปนั่งกินในห้องอาหารที่จัดไว้เป็นพิเศษ นอกจากนี้ผู้จัดการเหล่านี้ยังคงจะต้องมีหน้าที่พิเศษด้วยการผลัดเปลี่ยนเวรกันไปทำหน้าที่เป็นยามดูแลสุสานบรรพบุรุษของเจ้าของบริษัทอีกด้วย”

ส่วนหน้าที่ของผู้บริหารสูงสุดเช่นนายตะสุตะสุมินั้นก็มีมากมาย บางครั้งเขาจะนั่งรถไฟเคียงข้างไปกับพนักงานขับเพื่อตรวจตราความสะอาดและอื่นๆ ของสถานีรถไฟตามเส้นทางที่ขบวนรถผ่าน พร้อมกับให้เหตุผลว่า “หน้าที่ของผมคือ การตำหนิ”

หน้าที่อีกประการหนึ่งที่ตะสุตะสุมิทำได้ดีเป็นพิเศษคือผู้ก่อตั้ง อย่างเช่น เมื่อตอนที่เขาตัดสินใจขอซื้อโอนทีมเบสบอลระดับฝีมือปานกลางแห่งหนึ่งมาปลุกปั้นใหม่แล้วเปลี่ยนชื่อทีมมาเป็น “ไซบุ ไลออน” พร้อมกันนี้ก็ยังสร้างสนามแข่งขันเบสบอลขึ้นเพื่อการนี้โดยเฉพาะ ทำการโหมทั้งโฆษณาทีมและควบคุมการฝึกซ้อมนักกีฬาอย่างเข้มแข็ง อีกทั้งยังตั้งสถานีรถไฟขึ้นให้ใกล้กับสนามแข่งขันอีกแห่งหนึ่ง ในที่สุดทีมเบสบอลไซบุไลออนก็ชนะเลิศเป็นแชมเปี้ยนของญี่ปุ่นและรายได้จากสถานีรถไฟที่ตั้งขึ้นใหม่ก็งอกเงยตามไปด้วยอย่างน่าพอใจทั้งคู่

ในเชิงรายละเอียดเกี่ยวกับทีมเบสบอลนั้น โดยแท้จริงแล้วตะสุตะสุมิรู้ทุกสิ่งทุกอย่างหมด ไม่ว่าจะเป็นการจัดเลขที่นั่งของเก้าอี้ในสนาม ตำแหน่งที่จะตั้งห้องส้วม รวมทั้งความประพฤติของนักกีฬาในทีม ซึ่งเขาเน้นแต่แรกว่า ทุกคนจะต้องไม่สูบบุหรี่ ดื่มสุรา หรือปรากฏตัวในรายการโฆษณาทางโทรทัศน์ เป็นระเบียบวินัยที่แม้แต่ทีมเบสบอลในอเมริกาเมื่อมาเห็นจะต้องอายม้วน l

ตายไปแล้วก็ยังต้องอยู่ที่ทำงาน

บริษัทห้างร้านทุกแห่งของญี่ปุ่นต้องการให้พนักงานทำงานเลยกำหนดเลิก แต่หากพนักงานคนนั้นหมดลมหายใจไป ห้างร้านส่วนใหญ่จะไม่เก็บพนักงานคนนั้นไว้อีก ปล่อยให้กลับบ้านไปเสียจะดีกว่า แต่ไม่ใช่วิธีการของกลุ่มเกียวเซราผู้ผลิตเครื่องเซรามิกระดับสูง เพราะที่นี่เมื่อพนักงานเสียชีวิตไปหลังจากการทำพิธีงานศพเรียบร้อยแล้ว กระดูกหรืออัฐิบางส่วนจะให้ภรรยาผู้ตายนำกลับบ้านได้ แต่อีกส่วนหนึ่งจะเก็บรักษาไว้ในสุสานของบริษัทที่สามีเคยทำงาน

นายกาซูโอะ อินาโมริ ประธานกรรมการบริษัทเกียวเซรา วัย 52 ปี ชี้แจงเหตุผลเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า “พวกเราใช้เวลาเกือบทั้งหมดในขณะที่มีชีวิตอยู่กับงานที่นี่ ดังนั้นเมื่อความตายมาเยือนก็ยังเป็นสิ่งที่ดีอยู่ที่จะใช้เวลาร่วมกันต่อไประหว่างคนที่ตายไปแล้วกับคนที่อยู่ เพื่อจิบสุรากันสักแก้วหรือสองแก้วบนสุสานแห่งนี้”

นายอินาโมริ คือบุคคลที่สมควรจะได้รับยกย่องสรรเสริญจากพนักงานบริษัททุกคนอย่างแท้จริงในระยะเวลา 25 ปีที่เขาก่อตั้งบริษัทแห่งนี้มา จนกระทั่งได้รับการยกย่องทั้งจากในและนอกประเทศเป็นอย่างมาก ปัจจุบันมีหุ้นส่วนจากต่างประเทศเป็นเจ้าของกิจการนี้อยู่ 10 เปอร์เซ็นต์และบริษัทเกียวเซราสามารถส่งผลิตภัณฑ์เซรามิกของตนซึ่งเป็นชิ้นส่วนสำคัญของชิปในเครื่องคอมพิวเตอร์ได้ในอัตราร้อยละ 70 ของตลาดทั้งหมด นอกจากนี้บริษัทยังเป็นผู้สร้างชิ้นส่วนเซรามิกของรถยนต์ไปจนถึงกระดูกคนเทียมที่ทำด้วยเซรามิกอีกด้วย มียอดขายเมื่อปีกลาย 1 พันล้านดอลลาร์ มีกำไรประมาณ 132 ล้านดอลลาร์

ผู้จัดการคนก่อนให้ทัศนะเกี่ยวกับความเป็นไปของเกียวเซราว่า “ไม่ใช่ดูเหมือนกับกองทัพ แต่นี่คือกองทัพดีๆ นี่เอง” เพราะทุกวันพนักงานทุกคนจะเข้าแถวเรียงตามลำดับฐานะเพื่อรอฟังการอบรมและคำแนะนำจากผู้บังคับบัญชา หากเดินผ่านกันก็จะต้องทำความเคารพและเมื่อครั้งที่อินาโมริและเพื่อนอีก 7 คนตกลงใจร่วมกันก่อตั้งกิจการนี้ขึ้นมา ได้มีการกรีดเลือดสาบานลงนามแสดงความซื่อสัตย์ต่อกันมาแล้ว อินาโมริผู้มีความเชื่อว่าความสามารถของมนุษย์นั้นไม่มีที่สิ้นสุด จึงย่อมเป็นที่เข้าใจกันต่อไปด้วยว่าผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาทุกคนจะต้องได้รับการคาดหมายเช่นนี้ด้วย ซึ่งย่อมจะหมายความไปถึงการทำงานที่หนักหน่วงแบบเดียวกับซูเปอร์แมน

แต่อินาโมริปฏิเสธที่จะยอมรับว่าเขาเรียกร้องมากเกินไป ประธานบริษัทผู้ดูเรียบร้อยและเงียบขรึมกล่าวว่า “ผมเคยพูดกับผู้จัดการกิจการสาขาของเราในอเมริกาว่า ให้ยอมรับฟังพนักงานระดับรองๆ ดูบ้าง แต่ผู้จัดการเหล่านั้นกลับตอบว่า ผมเป็นหัวหน้าเขานี่ครับ ผมก็ได้แต่บอกกับเขาอีกว่าไม่มีใครจะเก่งไปเสียทุกอย่างหรอก ต้องฟังเสียงผู้น้อยดูบ้างและฟังอย่างอ่อนน้อมด้วย”

สำหรับผู้ที่เคยเห็นอินาโมริทำงานจะลงความเห็นว่า เขาไม่ใช่คนแบบเปิดเผยหรือควบคุมอารมณ์ได้เสมอไป เพราะบางครั้งที่โกรธจัดอินาโมริถึงกับขว้างที่เขี่ยบุหรี่ทิ้ง และดูเหมือนจะไม่ยอมฟังเสียงพนักงานต่ำชั้นกว่าแต่อย่างใดทั้งสิ้น จนเป็นที่พูดกันอย่างกว้างขวางว่า “คนที่ทำงานในบริษัทเกียวเซราไม่รู้จักโตหรอก อยู่กันมา 25 ปีแล้ว พวกเขารู้แต่เพียงว่าจะต้องทำงานหนักและฟังคำสั่งลูกเดียวเท่านั้น” l

”สุมิโตโม”

ธนาคารชั้นนำของญี่ปุ่นกำลังมาแรง

จากการเลือกเอาข้อดีของกรรมการผู้จัดการคนก่อนๆ คอห์ โคมัตสุ กรรมการผู้จัดการใหญ่คนใหม่ของธนาคารสุมิโตโม กำลังเร่งรัดก้าวไปสู่การตลาดที่สามารถทำกำไรได้มากยิ่งขึ้น

ก็การเงินน่ะซี !

นี่คือตัวอะไรที่จะเกิดขึ้นต่อไป !

แต่ก่อนนี้คนญี่ปุ่นซึ่งส่วนใหญ่มักจะเป็นที่รู้จักกันในฐานะเป็นมหาอำนาจอุตสาหกรรมผู้ผลิตสินค้า แต่ในปัจจุบันนี้ญี่ปุ่นกำลังก้าวขึ้นไปเป็นผู้อำนวยการในระดับโลก เมื่ออุตสาหกรรมการผลิตสินค้าของตนต้องตกอยู่ภายใต้การแข่งขันอย่างรุนแรงยิ่งขึ้นของกลุ่มประเทศ “ญี่ปุ่นใหม่” อย่างเช่นเกาหลีใต้และไต้หวัน

ดังนั้น เพื่อตอบโต้กับแรงกดดันใหม่ๆ โดยสอดคล้องกับโอกาสใหม่ๆ พร้อมกับได้รับความสนับสนุนส่งเสริมจากรัฐบาล บรรดาธนาคารและบริษัทหลักทรัพย์ของญี่ปุ่นจึงได้เริ่มออกไปยังภาคพื้นโพ้นทะเลนอกประเทศญี่ปุ่น เพื่อความเจริญเติบโตของตนเองในอนาคต เพราะญี่ปุ่นได้มีการค้าอยู่ต่างประเทศมากแล้ว ฉะนั้นบรรดาสถาบันการเงินเหล่านี้จึงต้องการที่จะเป็นผู้มีบทบาทมากยิ่งขึ้น บนเวทีระหว่างประเทศในปัจจุบันนี้

และในบรรดาสถาบันการเงินดังกล่าวนั้น ก็ไม่มีสถาบันการเงินใดที่แกร่งกล้าและมีความพร้อมเป็นอย่างดี สำหรับบทบาทก้าวใหม่นี้เท่ากับธนาคารสุมิโตโม !!

ถึงแม้ว่าสุมิโตโมจะเป็นธนาคารที่อยู่ในอันดับ 3 ในปริมาณเงินฝากรวม และรายได้รวมในบรรดาธนาคารทั้งหลายของญี่ปุ่นก็ตาม แต่ธนาคารสุมิโตโมก็เป็นธนาคารที่ทำกำไรได้มากที่สุดมาเป็นเวลานาน และที่ยอมรับกันโดยทั่วไปว่า เป็นธนาคารที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด กล้าได้กล้าเสีย และเป็นผู้มีความคิดใหม่ๆ เก่งที่สุดของญี่ปุ่น

เกือบ 19% ของรายได้ทั้งหมดและ 25 % ของกำไรทั้งหมดของสุมิโตโม ได้มาจากการดำเนินกิจการต่างประเทศ มากยิ่งกว่าธนาคารอื่นใดของญี่ปุ่น นอกจากธนาคารแห่งกรุงโตเกียว ซึ่งเป็นธนาคารที่มีความเชี่ยวชาญพิเศษในด้านการแลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างประเทศ

ปัจจุบันนี้เจ้าหน้าที่ชั้นสูงของธนาคารสุมิโตโมพูดถึงการทำกำไรจากกิจการในต่างประเทศให้ได้ถึง 40% และกรรมการผู้จัดการใหญ่คนใหม่ของธนาคาร คือ คอห์ โคมัตสุ ก็มิได้ปิดบังความปรารถนาของเขาแต่อย่างใด ที่จะทำธนาคารสุมิโตโมให้เป็น “ธนาคารซิตี้แบงก์ของญี่ปุ่น” ให้จงได้

หลักฐานที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดในความมุ่งมั่นดังกล่าวนี้ ที่แสดงออกมาเมื่อเร็วๆ นี้ ก็คือการที่ธนาคารสุมิโตโมได้ซื้อหุ้นในธนาคารกอตธาร์ดของสวิตเซอร์แลนด์ เป็นจำนวนถึง 53% ของหุ้นทั้งหมด จากบริษัทผู้ถือหุ้นบั๊งโค อัมโบรเซียโน แห่งลักเซมเบิร์ก ที่ประสบปัญหายุ่งยากเป็นมูลค่าถึง 144 ล้านดอลลาร์ เมื่อเดือนมีนาคม 1984 ที่ล่วงมานี้ ทั้งนี้นับเป็นครั้งแรกที่นายทุนผู้สนใจจากญี่ปุ่นได้ซื้อธนาคารของยุโรปไป ซึ่งวงการธนาคารระหว่างประเทศถือว่าเป็นการรุกทางยุทธศาสตร์การธนาคารครั้งสำคัญ

รอเบิร์ต เบิร์กฮาร์ต รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ของบริษัทดับเบิลยู ไอคาร์ ซันส์แอนด์โก (โพ้นทะเล) ในกรุงโตเกียว กล่าวว่า “จะเห็นได้ชัดทีเดียวว่า ธนาคารสุมิโตโม … ซึ่งเป็นธนาคารที่จัดการดีที่สุดในญี่ปุ่น พร้อมทั้งมีพลังทางการเงิน และกำลังรุกคืบหน้าในทางการประกอบการ เพื่อแข่งกับธนาคารขนาดใหญ่ๆ ของสหรัฐฯ และของยุโรปในตลาดเงินทุนของโลก” และในรายงานประจำเดือนตุลาคม 1984 ของบริษัทกรีฟซัน แกรนท์ แอนด์โก ซึ่งเป็นบริษัทนายหน้าค้าหุ้นแห่งกรุงลอนดอน ได้กล่าวต่อไปว่า “เป็นที่แน่นอนว่า ธนาคารสุมิโตโมจะยังคงยืนเด่นอยู่ในหมู่สถาบันการเงินชั้นยอดเยี่ยมที่สุดของญี่ปุ่น ซึ่งความจริงก็ของโลกด้วย”


   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us